ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติม...ที่นี่

Custom Search

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สงครามกระดานดำ ตอน น้ำเก่าไม่เข้ากับน้ำใหม่



ป้าสมร เป็นครูสอนงานบ้านที่โรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”นี้มาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว มีคำโบราณกล่าวว่า “ไก่แก่แม่ปลาช่อนอย่าได้ไว้วางใจ” ก็คงจะใช้ได้กับป้าสมรซึ่งค่อนข้างจะเป็นคนรอบจัดและมีชื่อเสียงในเรื่องที่ไม่ค่อยจะดีนัก

ป้าสมรค่อนข้างจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับผ.อ.จิ๋ม ทำนอง “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” แม้จะมีเรื่องขัดแย้งอย่างไรก็ตาม แต่ผ.อ.จิ๋มเลือกที่จะเอาใจป้าสมรอยู่เสมอเหมือนคำโบราณว่า “ศัตรูต้องเก็บไว้ใกล้ๆตัวมากกว่ามิตรเสียอีก” ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ป้าสมรจะใช้คำพูดที่เกือบน่าเชื่อถือปั่นหัวครูรุ่นเด็กเพิ่งหัดคลานให้กลายเป็นเครื่องมือของตน

“นี่อ่ะ น้องดาวทำดอกไม้เก่งๆแบบนี้น่าจะมาช่วยพี่ทำงานที่ห้องคหกรรมบ้างนะ เอาแบบนี้แล้วกันเดี๋ยวเที่ยงนี้น้องดาวตามพี่ไปดูหนังสือจัดดอกไม้ที่ห้องสมุดดีกว่านะจ๊ะ” ป้าสมรหมุนดอกไม้ใยบัวที่ครูดาวประดิษฐ์เพื่อตกแต่งห้องประชุมของโรงเรียนเล่นเบาๆ

“ค่ะ ป้าสมร เดี๋ยวเที่ยงนี้หนูจะเข้าไปที่ห้องสมุดนะคะ” ครูดาวยิ้มให้ป้าสมรก่อนที่จะง่วนทำงานประดิษฐ์ต่อไป

เที่ยงวันนั้นหลังจากที่ครูดาวทานข้าวเที่ยงที่โรงอาหารเสร็จแล้วก็เดินเล่นไปเรื่อยๆที่ห้องสมุดซึ่งตั้งอยู่ชั้นล่างของอาคารเรียนสาม ระหว่างทางเธอพบกับป้าจินดานั่งตรวจการบ้านกองโตอยู่ที่โต๊ะม้าหิน

“หนูดาวจะไปไหนเหรอจ๊ะ ดูท่าทางลุกลี้ลุกลนจังเลย” ป้าจินดามองลอดแว่นกรอบทองอันโตมาที่ครูสาว

“อ๋อ หนูจะไปปรึกษาเรื่องการทำดอกไม้ประดิษฐ์กับป้าสมรค่ะ”

ป้าจินดากวักมือเรียกเธออย่างรวดเร็วก่อนที่จะดึงตัวเธอให้นั่งลงข้างๆแล้วกระซิบเบาๆ

“นี่ป้าสมรเค้ามาคุยยังไงกับหนูบ้างล่ะนี่”

ครูดาวจึงได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ป้าจินดาฟังอย่างละเอียด ครูดาวเองนั้นเป็นครูที่เพิ่งบรรจุใหม่มาได้สักสองสามปีแล้ว เธอจึงนับว่าเป็นครูที่อายุน้อยที่สุดในโรงเรียน มีความสามารถพิเศษมากมายทั้งในเรื่องของงานประดิษฐ์สมกับที่จบคหกรรมศาสตร์มาจากมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าของเมืองไทย หากพูดถึงครูดาว ครูผู้ชายก็มักจะกล่าวในท่าทีเชิงชู้สาวเสียมาก ดีที่ว่าครูดาวนั้นมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว บรรดาครูรุ่นพี่จึงได้แต่เป็นหมาหยอกไก่

“อุ๊ย.....ตายแล้วหนู นี่อยู่มาตั้งสองสามปีแล้วยังไม่รู้ฤทธิ์ป้าสมรอีกเหรอ ตอนนี้น่ะเจ๊แกกำลังทำวิทยฐานะจ้ะ นี่คงจะเร่งทำผลงานใหญ่เลยล่ะสิท่า เพราะเห็นว่าจะส่งผลงานเมษาหน้านี้เอง หนูอย่าได้ไปหลงคำพูดแกเลยนะ ป้าเห็นพวกครูเด็กๆน่ะถูกแกหลอกใช้มานักต่อนักแล้ว”

ครูดาวยิ้มและรับคำป้าจินดา เธอก็ยังงงๆอยู่กับคำพูดของป้าจินดา เพราะป้าจินดากับป้าสมรนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่บรรจุใหม่ๆแล้ว เธอจึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่ห้องประชาสัมพันธ์ก่อน

“อ้าว หนูดาว มากินมะม่วงน้ำปลาหวานกันสิจ๊ะ” ครูกรรณิการ์ซึ่งนั่งคุยอยู่กับครูต้อมอยู่เรียกเธอมากินผลไม้ด้วยกัน

“ไปไหนมาล่ะจ๊ะ พี่ว่าจะให้ช่วยประกาศเรียกหัวหน้าสายชั้นให้หน่อย พอดีเจอครูต้อมก่อนเลยปักหลักกินมะม่วงน้ำปลาหวานกันนะจ้ะ”

ครูดาวลากเก้าอี้พลาสติกข้างๆมานั่งระหว่างครูกรรณิการ์กับครูต้อม “อ๋อ....หนูว่าจะไปปรึกษาเรื่องดอกไม้ใยบัวกับป้าสมรที่ห้องสมุดน่ะค่ะ”

“ว้าย....อกอีแป้นจะแตก หนูดาวแล้วหนูดาวไปเหรอเปล่าจ๊ะ” ครูต้อมยกมือขึ้นตบอกเบาๆ หูตั้งใจฟังคำตอบจากครูประชาสัมพันธ์คนสวย

“เปล่าหรอกค่ะ พอดีป้าจินดาเรียกหนูไปพบก่อนแล้วบอกให้หนูกลับมาที่ห้องนี่แหละค่ะ”

“อือ โล่งอกไป นี่หนูอย่าได้ไปหลงกลยายสมรนั่นล่ะ ยายนั่นน่ะมันปากหวานก้นบูดเลยล่ะ พี่จะบอกอะไรให้ ผู้หญิงคนนี้น่ะทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองได้ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะได้มาโดยสุจริตหรือทุจริต” ครูต้อมบรรยายเป็นฉากๆ จนครูดาวเก็บสีหน้าสงสัยไว้ไม่อยู่ ครูกรรณิการ์จึงได้สำทับให้หนักแน่นยิ่งขึ้น

“ไม่ต้องตกใจหรอกหนูดาว หนูเพิ่งมาใหม่ไม่รู้หรอกว่าในโรงเรียนนี้น่ะมันมีหลายฝักหลายฝ่าย หลายพรรคหลายพวก ถ้าเข้าพวกผิดก็จบเห่กันเลย ดีนะที่พวกคอทั่งสันหลังเหล็กน่ะมันชิงเออร์ลี่ออกไปมากแล้ว ไม่งั้นพวกครูรุ่นเด็กน่ะถูกรุมมากกว่านี้อีก”น้ำเสียงเรียบของครูกรรณิการ์ดูจะสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องที่ครูดาวจะฟังมากกว่า

ครูกรรณิการ์และครูต้อมอายุราวสี่สิบตอนปลายเริ่มสาธยายถึงเล่ห์กลของป้าสมรตั้งแต่สมัยสาวๆและการทุจริตต่างๆนานานับไม่ถ้วนตั้งแต่สมัยเป็นผู้จัดการร้านสหกรณ์โรงเรียน ขโมยเก้าอี้โรงเรียนไปใช้ในงานขึ้นบ้านใหม่แล้วไม่ส่งคืน หรือพัวพันกับคดีขโมยของต่างๆของเพื่อนครูด้วยกัน และโดยเฉพาะเรื่องราวชู้สาวกับครูผู้ชายโรงเรียนมัธยมข้างๆซึ่งมีครอบครัวอยู่แล้ว และเล่ห์กระเท่ในการใส่ร้ายป้ายสีครูคนอื่น

ครูต้อมหยิบมะม่วงจิ้มน้ำปลาหวานกินอย่างเอร็ดอร่อยก่อนจะพูดต่อ “อ้อ....ตอนไปทัศนศึกษาเพชรบุรีคราวที่แล้ว ทำไมพี่การ์ไม่เล่าให้น้องเขาฟังล่ะ ไม่รู้หนูรู้หรือยัง น้องแต้วไม่เล่าให้ฟังบ้างเหรอ”

“อ๋อ...จริงสิ เรื่องมันมีอยู่ว่าตอนขากลับที่ทัวร์ของเราออกจากเพชรบุรีจะกลับมาที่โรงเรียนอ่ะนะ ป้าสมรแกก็เปิดประเด็นขึ้นมาน่ะสิว่า พวกครูรุ่นน้องน่ะไม่ค่อยมีสัมมาคารวะ แบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่ให้เกียรติครูรุ่นพี่ที่บางคนแก่คราวพ่อคราวแม่เธอเสียอีก ครูรุ่นน้องๆเหมือนกับน้ำมันที่ทำตัวแบ่งฝ่ายกับครูรุ่นพี่ซึ่งเหมือนกับน้ำ ไม่มีวันจะผสมเข้ากันได้ เค้าว่า พวกเค้าอ่ะเป็นกลุ่มน้ำเก่า ส่วนพวกหนูๆน่ะเป็นพวกน้ำใหม่ อุ๊ย....ยังอีกหลายเรื่องเล่าไปสามวันสามคืนไม่จบหรอกค่ะ” ครูต้อมหยิบมะม่วงชิ้นใหม่ขึ้นมาอีกก่อนจะส่งเข้าปากไปโดยลืมจิ้มน้ำปลาหวาน

“ดีที่ว่าตอนนั้นครูพชรแกก็ขอไมค์จากหัวหน้าทัวร์แล้วก็โต้กลับไปว่า การที่ได้มาอยู่ในโรงเรียนนี้ไม่ควรจะแบ่งพรรคแบ่งพวกว่าเป็นพวกน้ำเก่าหรือน้ำใหม่ น้ำเก่าแปลว่าน้ำเน่า น้ำเสียที่ไร้ประโยชน์แม้แต่ปลายังตาย อยู่ไม่ได้ การที่ป้าสมรเปรียบครูรุ่นพี่ว่าเป็นน้ำเก่าจึงเหมือนด่าตัวเอง ส่วนครูรุ่นใหม่นั้นเปรียบเหมือนน้ำใหม่ที่มีออกซิเจนเมื่อผสมกับน้ำเก่าก็จะช่วยปรับสภาพให้น้ำมีประโยชน์ขึ้นมาอีกครั้ง เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า จึงไม่อยากให้เอาความอาวุโสมาเป็นกำแพงกั้นระหว่างครูด้วยกันในโรงเรียนแห่งนี้.....” ครูกรรณิการ์เสริมคำของครูต้อมต่อ บังเอิญสัญญาณหมดเวลาพักเที่ยงดังขึ้น ครูต้อมจึงรีบสะพายกระเป๋าถือใบหรูออกไปจากห้องประชาสัมพันธ์เพราะถึงชั่วโมงสอนของตัวเอง ครูกรรณิการ์ดูครูต้อมเดินไปไกลลิบแล้วจึงหันมาคุยกับครูดาวต่อ

“อย่างครูต้อมน่ะอย่าไปเชื่อคำแกมากเหมือนกันนะ มันน่ะก็พวกเดียวกับป้าสมรน่ะแหละ บริวารรับใช้ใกล้ชิด ผ.อ.จิ๋มทั้งนั้น แต่ถ้าให้เทียบดีกรีแล้วป้าสมรแกมาเหนือเมฆกว่า อยู่โรงเรียนนี้น่ะต้องรู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งนะ ดาว” ครูกรรณิการ์เดินออกไปจากห้องประชาสัมพันธ์ทิ้งให้ครูดาวนั่งงงอยู่ตรงนั้นคนเดียว

( ชื่อตัวละครและเรื่องราวนี้เป็นแต่เรื่องสมมติขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงถึงผู้ใด หากได้ล่วงเกินแก่ใครก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ )

( โปรดติดตามตอนต่อไป )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น