ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติม...ที่นี่

Custom Search

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สงครามกระดานดำ ตอน ตัวเลขปริศนา



คณะกรรมการประเมินวิทยฐานะเดินทางกลับไปพร้อมกับผ้าไหมราคาแพงลิบเป็นน้ำใจจากบรรดาครูโรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”หลายสิบชิ้นตามคำแนะนำของท่านผู้อำนวยการโรงเรียนกันแล้ว ก็เหมือนกับยกภูเขาสามร้อยยอดออกจากอกเสียที บรรดาครูผู้ชายก็รวมกลุ่มกันนัดหมายตั้งวงก๊งเหล้ากันที่ศาลาลานโพคู่หลังเลิกเรียนเป็นการฉลอง ส่วนครูผู้หญิงก็ไม่พ้นร้านส้มตำรสเด็ดข้างๆโรงเรียน

“ใครจะเอาอะไรไปบอกลูกน้องที่ร้านผมได้เลยนะ” ครูพชรเสนอแนวคิดสนับสนุนเหล้าเบียร์และกับแกล้มจากร้านของตน

“ฟรีใช่ป่ะ” ครูบุ๊งได้ยินก็ตาลุกวาวคิดว่าอ้อยจะเข้าปากช้างเสียวันนี้แหละ

ครูพชรส่ายหัวอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะประกาศเจตนารมณ์ชัดเจน “ผมให้เบียร์สองลัง นอกนั้นจ่ายสด งดเชื่อ เบื่อทวงครับผม”

“เขี้ยวชิบเลย น้องพชรนี่ กับพี่กับเชื้อไม่เลี้ยงกันบ้าง” ครูวิชาญซึ่งนั่งส่องพระกับครูวิรุณอยู่หันมากระทบกระแทก ครูพชรจึงแกล้งหยิบเครื่องคิดเลขมาคำนวณ ครูวิชาญจึงได้รั้งไว้

“เอ้า...ไม่ต้องคิดกำไรขาดทุนหรอก ได้เบียร์สองลังจากแกก็เป็นพระคุณอันสูงส่งชดใช้ถึงชาติหน้าไม่หมดแล้วล่ะ

“ไอ้รุณ แกได้ข่าวเรื่องนายแคล้วถูกหวยหรือยังวะ” ครูวิชาญหันมาถามเพื่อนนักเลงพระที่กำลังง่วนอยู่กับพระใหม่ที่ได้มาจากแผงพระหน้าวัดประจำอำเภอ

“รู้สิ เค้าโจษจันกันให้แซ่ดว่าต้นโพคู่นี้แหละให้หวยแม่นมาสามงวดติดๆกันแล้ว แกไม่เห็นผ้าสีเจ็ดศอกยาวเจ็ดสีนั่นหรือไง” ครูสอนวิชาคอมพิวเตอร์ชี้ไปที่ต้นโพคู่ซึ่งจากเดิมเป็นที่ปีนป่ายสนุกสนานของเด็กนักเรียนแต่ตอนนี้แปรสภาพกลายเป็น “เจ้าพ่อโพเงินกับเจ้าแม่โพทอง” ไปเสียแล้ว

ที่หน้าโคนโพต้นหนึ่งซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “เจ้าพ่อโพเงิน”นั้นมีตั่งตัวเล็กๆตั้งกระถางธูปและเชิงเทียนยาว ในกระถางอัดแน่นไปด้วยก้านธูปและขี้เถ้า ส่วนเชิงเทียนก็เกาะกรังไปด้วยขี้ผึ้งเทียนที่หลอมละลาย มีพานใส่หมาก บุหรี่ และเหล้าขาวจอกเล็กตั้งอยู่เต็มไปหมดจนหาช่องว่างไม่ได้ ส่วนหน้าโคนโพซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “เจ้าแม่โพทอง”ก็มีสภาพคล้ายคลึงกัน หากแต่เครื่องเซ่นนั้นเป็นอย่างที่เจ้าแม่ทั่วๆไปโปรด คือ แป้ง น้ำอบไทยและเครื่องแต่งกายไทยๆแขวนอยู่สองสามชุดและมีผ้าเจ็ดสีเจ็ดศอกพันรอบต้น

“เมื่อวานพี่กลับบ้านเกือบหกโมงเย็นแล้ว ตอนไปเอารถที่โรงจอดรถแล้ว บรื๋อ!!!!!!นึกแล้วขนลุกไม่หาย” ครูอ้อยเริ่มเล่าประสบการณ์ชวนสยองให้บรรดาเพื่อนครูฟังในร้านป้าพะยอม

“ทำไมล่ะพี่อ้อย เกิดปวดขี้ขึ้นมาหรือถึงได้ขนลุก” ครูพชรที่นานๆทีจะมาโรงเรียนเร็วเป็นพิเศษแกล้งพูดดักคออดีตเจ้ามือแชร์ตัวแสบ

“บ้าสิ นายพชร อย่าไปถือคนบ้าเลยฟังต่อดีกว่า” ครูอ้อยหันไปค้อนใส่ครูรุ่นน้องก่อนจะเริ่มเล่าเหตุการณ์ต่อ
คราวนี้บรรดาลูกค้าที่อยู่ในร้านป้าพะยอมก็เขยิบเก้าอี้เข้ามาใกล้ๆครูอ้อย

“หนูก็เดินไปเอารถที่โรงจอดรถ มันก็ต้องผ่านต้นโพคู่ใช่ไหมคะ หนูมีความรู้สึกเหมือนมีใครมอง มันเย็นๆข้างหลังยังไงไม่รู้ เหมือนมีใครมาเป่าหูอยู่ มันเย็นวาบๆ พอดีหนูก็ได้ยินเสียงหัวเราะแหลมเล็กมันดังมากๆเลยค่ะ หนูก็ตกใจหันไปดู พอหันไปดูที่ต้นเสียงบนกิ่งโพหนูก็เห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยนั่งบนกิ่งไม้แล้วยิ้มให้หนู เท่านั้นแหละค่ะหนูก็ใส่เกียร์หมาออกจากตรงนั้นเลย” ครูอ้อยเอามือลูบแขนตัวเองที่ขนลุกเกรียวไปหมด ผู้ฟังต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา

“ก็สมัยก่อนย่าของป้าเล่าว่า ที่ดินของโรงเรียนเฌอคู่น่ะเคยเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่ถูกพม่าตีแตกแล้วฆ่าชาวบ้านตายหมดทั้งหมู่บ้านน่ะสิ สมัยก่อนตอนที่ยังเป็นอาคารไม้อยู่ ครูผู้ชายที่อยู่เวรจะได้ยินเหมือนเสียงคนสู้รบกัน ทั้งเสียงหวีดร้อง เสียงโห่ เสียงปืน เสียงดาบเป็นประจำ” ป้าพะยอมที่เอาแก้วชาเย็นมาเสิร์ฟให้ครูสุชาวดับครูริสาเล่าให้ฟังจนสองสาวถือช้อนค้างไว้อยู่นาน

เรื่องลี้ลับเป็นเรื่องที่เล่ากันไม่จบง่ายๆ เพราะตั้งแต่นักเรียนตัวเล็กๆ ครูหรือคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้างหน้าโรงเรียนก็นำหัวข้อนี้มาเล่าแทบทั้งสิ้นและแน่นอนว่าต้องมีการใส่สีตีไข่ลงไปจนทวีความน่ากลัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“พี่อ้อยคะ เมื่อคืนจุ๋มฝันแปลกๆค่ะ พี่ช่วยตีให้หน่อยสิคะว่าหนูน่าจะซื้อหวยอะไรดี” ครูเรณูซึ่งเป็นครูอัตราจ้างสอนวิชานาฏศิลป์นั่งคุยกับครูอ้อยซึ่งกำลังรวบรวมโพยหวยที่เพื่อนครูในโรงเรียนซื้อกับตัวเองก่อนนำไปให้เจ้ามือ

“ฝันว่าไงน้องเรณูก็เล่ามาสิ” ครูอ้อยหยิบเครื่องคิดเลขออกมาจิ้มอย่างชำนาญ

“หนูฝันว่าหนูไปร่วมพิธีเบิกเนตรพระหรือรูปปั้นอะไรซักอย่างนี่แหละค่ะ มีพระเอาแป้งไปเจิมที่ดวงตาของเทวรูปแล้วหนูก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ระงมเลย” ครูอ้อยผละจากงานที่ทำก่อนที่จะทำท่าคิดอย่างตริตรอง

“ตามตำรานะ ก็น่าจะเป็น สาม สอง เจ็ด หรือแปด ไม่พ้นสี่ตัวนี้แน่นอน เชื่อพี่สิรับรองคราวนี้น้องเรณูรวยเละแน่” ครูอ้อยพยายามหว่านล้อมจนในที่สุดเงินเกือบๆห้าพันบาทก็เข้าไปอยู่ในมือของครูอ้อย

ที่ต้นโพคู่ปรากฏผู้หญิงสองคนกำลังลับๆล่อๆก้มๆเงยๆกันอยู่ ไม่ใช่ใครอื่นไกลก็ครูต้อมกับครูอ้อยกำลังเอาแป้งทาแล้วลูบๆต้นโพอย่างทะนุถนอม ปากก็บ่นคาถารำพันกันขมุบขมิบ

“เห็นแล้วน้องอ้อย สอง แปด เจ็ดหรือหนึ่งนะไอ้ขีดนี้” ครูต้อมเอ่ยตัวเลขที่ตัวเองจินตนาการตามรอยที่เอานิ้วมือถูโดยมีครูอ้อยจดคำพูดลงไว้ในเศษกระดาษ

“เพี้ยง ให้ถูกทีเหอะงวดนี้จะได้ปลดหนี้ปลดสินครูพชรกับครูพรรณีซักที ถ้าหนูถูกหวยนะเจ้าคะจะแก้ผ้ารำถวายตอนเที่ยงวันพร้อมกับพี่ต้อมเลยค่ะ” ครูอ้อยยกมือไหว้ขึ้นท่วมหัว ไม่พ้นสายตาของครูมัทนาซึ่งกำลังสอนอยู่ห้องแถวนั้นพอดี

“เป็นครูบาอาจารย์แต่มางมงายกับไอ้เรื่องแบบนี้ ว่าแล้วว่าทำไมถึงไม่เจริญ ไม่เป็นแบบอย่างอะไรที่ดีๆให้กับนักเรียนได้สักอย่างเลย เอ้า...ดูอะไรคะนักเรียน อ่านเรื่องระบำสายฟ้าต่อสิคะ” ครูมัทนากลับเข้ามาสู่บรรยากาศการสอนต่อ

เรื่องหวยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งของบรรดาครูที่จะพลาดไม่ได้ทุกวันที่ ๑ และ ๑๕ ของเดือนโดยมีผู้ค้ารายใหญ่คือ ครูอ้อย ที่หาลำไพ่พิเศษทุกทางเพื่อหาเงินมาปลดหนี้ของตนเองรวมทั้งหนี้สินที่ยังค้างสมาชิกในวงแชร์อีกหลายหมื่น ส่วนคนที่ทุ่มทุนสร้างเรื่องซื้อหวยก็คงไม่พ้นครูจุ๋มซึ่งบ้าหวยขึ้นสมองมากๆทั้งที่เงินเดือนครูอัตราจ้างก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ข่าวลือจากวงในบอกว่าเธอเป็นเมียน้อยของผู้ใหญ่ในจังหวัดท่านหนึ่งซึ่งใช้เส้นฝากเธอเข้ามาสอนที่โรงเรียนนี้
“พี่อ้อยขา หนูถูกหวยอีกแล้วค่ะ ต้องขอบคุณพี่มากเลยนะคะที่ช่วยตีเลขให้หนู สอง แปด เจ็ดค่ะ” ครูเรณูกรี๊ดเสียงดังลั่นเมื่อข้อความอัตโนมัติในโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเพื่อแจ้งผลการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลประจำงวดนี้ ครูอ้อยกับครูต้อมก็ถูกหวยเช่นกัน แต่ดูทั้งสองไม่ค่อยจะมีความสุขมากนักเมื่อนึกถึงคำพูดที่ไปบนไว้กับ “เจ้าพ่อโพเงินกับเจ้าแม่โพทอง”

“บุ๊งๆ อยากดูผู้หญิงแก้ผ้าไหมวะ” ครูสมจินต์เดินตรงเข้ามาหาครูบุ๊งซึ่งกำลังสอนนักเรียนให้ทำงานปะกระดาษอยู่

“ที่ไหนเหรอพี่ รูปใหม่หรือคลิปหลุดใครอีกล่ะ” ครูบุ๊งหันมาถามด้วยความสนใจ

“ไม่ใกล้ไม่ไกล ใต้ต้นโพคู่นี้แหละ ครูต้อมกับครูอ้อยบนว่าถ้าถูกหวยจะแก้ผ้ารำถวายตอนเที่ยงวัน โน่นคนไปมุงกันเต็มแล้ว” ครูสมจินต์ไม่พูดเปล่ารีบลากมือครูบุ๊งไปยังลานโพคู่ทันที

ที่ลานโพคู่มีผ้าขาวกันอุจาดกั้นไว้เห็นแต่ศีรษะของครูวัยกลางคนสองคนรำเหยงๆโดยมีเพลงไทยเดิมที่ยืมมาจากครูเรณูดังแว่วๆ รอบข้างมีนักเรียนและครูตลอดจนชาวบ้านที่รู้ข่าวยืนอยู่เต็มเหมือนมีงานประจำปี ที่มุมหนึ่งครูพชร ครูพรรณีและบรรดาเจ้าหนี้ของครูอ้อยยืนกันอยู่เต็มเพื่อรอครูอ้อยชำระหนี้รวมทั้งสมาชิกวงแชร์เมื่อคราวก่อนด้วย

“แม่ศรีเอย แม่ศรีสาวสะ ยกมือไหว้พระ ว่าจะมีคนชม แขนเจ้าก็ต่อ คอเจ้าก็กลม ชักผ้าห่มนม ชมแม่ศรีเอย” เสียงเด็กนักเรียนร้องเพลงแม่ศรีที่ครูพชรเคยสอนในห้องเรียนล้อครูทั้งสองกันอย่างครื้นเครง

“ผมว่าเจ้าพ่อเจ้าแม่คงฝันร้ายไปหลายคืนล่ะที่เห็นของดีของสองคนนั่น” ครูพชรกระซิบกับครูพรรณีที่กำลังหาสมุดจดหนี้อยู่เมื่อเพลงไทยเดิมหยุดเล่นแล้ว

หลังเรื่องราวการแก้ผ้ารำแก้บนของครูทั้งสองยุติลงทำให้กระแสการเล่นหวยในโรงเรียนคึกคักยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็จะได้ยินแต่บรรดาครูพูดกันแต่เรื่องหวยและดูเหมือนจะทุ่มทุนซื้อกันหนักกว่าเดิม คนที่มีความสุขยิ้มจนหน้าบานที่สุดคือ ครูพรรณีซึ่งบรรดาเพื่อนครูมาขอกู้เงินไปเล่นหวยเอาอย่างครูอ้อยที่เล่นหวยปลดหนี้บ้าง

“ผ.อ.แกไม่ว่าอะไรบ้างเหรอ ตอนนี้ทั้งโรงเรียนมีแต่ครูบ้าหวยจนไม่เป็นอันสอนกันหมดแล้ว เห็นอะไรนิดอะไรหน่อยก็ตีเป็นเลขหมด ขนาดนักเรียนขี้ใส่กางเกงป้าจินดายังเอามาตีเป็นเลขเลย” ครูแอ้นั่งคุยกับครูมัทนาที่ม้าหินใต้ต้นอโศกที่หน้าอาคารเรียนหนึ่ง

“จะไปว่าอะไรล่ะ ก็ไอ้ที่เป็นแกนนำในเรื่องบ้าๆบอๆนี่ก็พวกนางสนองพระโอษฐ์ตัวโปรดของแกทั้งนั้น แกคงคิดว่าดีเสียอีกที่อีนางพวกนั้นจะได้จ่ายเงินคืนแกบ้างล่ะมั้ง” ครูมัทนาเอาไม้จิ้มสับปะรดเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างระบายอารมณ์

หลังจากนั้นอีกสองสามงวดคงด้วยความที่ “เจ้าพ่อโพเงินกับเจ้าแม่โพทอง”เห็นของดีครูต้อมและครูอ้อยเลยพาลให้หวยไม่แม่น เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย ลานโพคู่จึงแปรสภาพจากศาลเจ้ากลับมาเป็นที่วิ่งเล่นของนักเรียนและที่ประชุมย่อยๆของครูผู้ชายเหมือนเดิม แต่บรรดาคอหวยก็ยังสรรหาแหล่งให้หวยเด็ดๆกันอยู่เป็นประจำ

“น้องแต้วคะ พี่ฝากห้องข้างๆด้วยนะพี่มีธุระต้องออกไปข้างนอกด่วนเลยค่ะ” ครูจินดาชะโงกคอเข้ามาหาครูแต้วที่กำลังนั่งตรวจงานนักเรียนที่ต่อแถวยาวอยู่ข้างโต๊ะครู ครูแต้วพยักหน้าแล้วยิ้มนิดหน่อย ก่อนที่ครูจินดาจะเดินออกไปเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น

“มากันแล้วใช่ไหม รีบไปกันเหอะ ฉันฝากห้องไว้กับน้องแต้วแล้ว เดี๋ยวชักช้าเกิดอาจารย์แกลงประทับทรงแล้วไปไม่ทันจะพลาดเลขเด็ดอีก เห็นว่าที่นี่ให้สามตัวตรงมาหลายงวดแล้วนะ”
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น