0.00 น. ของวันที่ 29 กุมภาพันธ์ xxxx “เชษฐ์”เจ้าของรถขันอาสาเพื่อนๆอีก 3 คนไปส่งที่บ้าน ซึ่งทั้งหมดเพิ่งออกจากงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนสาวที่ทำงานบริษัทเดียวกันที่ผับแห่งหนึ่ง
“เฮ้ย..เชษฐ์ ฉันว่าเดี๋ยวเราไปกินข้าวต้มโต้รุ่งกันต่อดีกว่าว่ะ แม่ง..งานเลี้ยงคอกเทลแบบนี้กินไม่ถึงครึ่งกระเพาะเลย” ริษา เพื่อนสาวสุดห้าวออกความเห็นหลังจากเชษฐ์ขับรถออกจากบริเวณผับได้สักครู่หนึ่ง
“เออ...กูก็ว่างั้นแหละ...เดี๋ยวกูแนะนำร้านเด็ดๆให้ รับรองอร่อยแน่” ทรงยศ หนุ่มตี๋เจ้าสำราญสนับสนุนความคิดเห็นของริษา
“แล้วเธอว่าไงล่ะ น้ำฟ้า”เชษฐ์หันไปถามเพื่อนสาวอีกคนที่นั่งข้างที่นั่งคนขับ
“ก็แล้วแต่เพื่อนๆแล้วกัน แต่อย่าให้ดึกนักนะ ไม่งั้นคราวหน้าที่บ้านคงไม่ยอมให้ฉันมาอีกแน่” น้ำฟ้ามีท่าทีกังวลตั้งแต่ที่ริษาเริ่มต้นเปิดประเด็นการไปหาที่เที่ยวต่อแล้ว
“แหม...แม่คุณนี่ก็ย่างเข้าเช้าวันใหม่แล้วนะยะ มันคงไม่มีอะไรจะดึกกว่านี้แล้วแหละ” ริษาพูดด้วยความหมั่นไส้
“เออ..แล้วร้านที่แกว่ามันไปทางไหนวะ บอกทางมาหน่อยเด่ะ พยาธิในท้องข้ามันเริ่มงอแงแล้วสิ” เชษฐ์พูดติดตลก สายตาเหลือบไปมองทรงยศผ่านทางกระจกรถ
“เดี๋ยวผ่านสี่แยกนี้ไปแล้วเลี้ยวซ้ายซอยระหว่างวัดกับห้างxxxเลยว่ะ ทางลัดประหยัดน้ำมัน”
เชษฐ์ขับรถผ่านสี่แยกมาประมาณ 500 เมตรก็ผ่านวัดประจำอำเภอและห้างxxxซึ่งเพิ่งเปิดได้ไม่นาน หลังจากที่บรรดาเจ้าของร้านค้าในอำเภอพากันต่อต้านแต่ก็สู้กระแสนายทุนต่างชาติไม่ได้ ระหว่างสถานที่ทั้งสองแห่งนี้มีซอยลัดเล็กๆอยู่ เชษฐ์ค่อยๆชะลอรถและเลี้ยวเข้าไปในซอย
“ทางนี้ข้าไม่เคยขับมาเลยว่ะ แกไปซอกแซกรู้มาได้ไงวะ ไอ้ยศ”เชษฐ์ถามขึ้น สายตาก็มองสอดส่ายไปสองข้างทาง
“วันก่อนขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ใส่หมวกกันน๊อคก็เลยหลบเข้ามาทางซอยนี้ว่ะ” ทรงยศพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจ
เมื่อเชษฐ์ขับรถเข้ามาในซอยได้ประมาณ 15 นาที สองข้างทางก็ไม่มีวี่แววของบ้านเรือนผู้คนเลย ริษาพูดโพล่งขึ้นมาว่า “เฮ้ย...ไหนวะร้านข้างต้มโต้รุ่งของแก ฉันจะกินวันนี้นะไม่ใช่พร้อมพระฉันเช้า”
ทรงยศเริ่มมีสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจ เขาสอดส่ายสายตาดูสองข้างทางที่มีแต่ป่ารกทึบและมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมเหนือถนนจนแม้แต่แสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญไม่สามารถลอดผ่านมาได้ เหมือนรถที่กำลังขับเข้าไปในอุโมงค์รถไฟก็ไม่ปาน
“วันก่อนกูเข้ามาก็ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีนี่แหละแล้วมันจะทะลุไปออกถนนใหญ่เลย แล้วมันจะมีร้านข้าวต้มโต้รุ่งใหญ่ๆอยู่ทางขวามือฝั่งตรงข้ามถนน...”
ทรงยศพูดไม่ทันขาดคำก็มีรถยนต์เปิดไฟสูงสวนทางเข้ามา ทั้งหมดหรี่ตาลงแล้วลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อแสงจ้านั้นหายไป
“แม่ง...ไม่มีมารยาทเลย ขับรถเปิดไฟสูงแบบนี้ ซื้อใบขับขี่มาเปล่าวะ”เชษฐ์สบถด้วยความหงุดหงิด
“นั่นไงเชษฐ์ ร้านข้าวต้มทางขวามือ ร้านนี้หรือเปล่าจ๊ะ ยศ”น้ำฟ้าชี้นิ้วไปที่ร้านข้าวต้มโต้รุ่งร้านใหญ่ที่คับคั่งไปด้วยผู้คน
“เออ...ร้านนี้แหละ เลี้ยวขวาแล้วไปจอดข้างๆร้านเลย”ทรงยศดูจะมีความมั่นใจมากขึ้นว่าตนเองไม่ได้พาเพื่อนมาหลงทาง
เมื่อเชษฐ์จอดรถแล้วทั้งหมดก็เดินเข้าไปในร้าน ด้วยความหิวริษากับทรงยศรีบขอเมนูจากเด็กเสิร์ฟอย่างรวดเร็วและสั่งอาหารมามากมายจนเชษฐ์กับน้ำฟ้าปรามไม่ทัน
“เธอสองคนสั่งของมาตั้งเยอะ จะกินหมดเหรอจ๊ะ” น้ำฟ้าถามขึ้น
“แม่คุณ...เคยมากินข้าวต้มโต้รุ่งหรือเปล่าจ๊ะ กับข้าวแต่ละอย่างมาจานหนึ่งเท่ากับของเซ่นผี มันต้องสั่งหลายๆอย่างสิถึงจะอิ่ม” ริษากระแนะกระแหนลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของนักธุรกิจใหญ่ประจำอำเภอ
ทรงยศมองบรรยากาศรอบๆแล้วพึมพำกับตัวเองจนริษาอดใจถามขึ้นด้วยความรำคาญไม่ได้
“บ่นอะไรอีกล่ะคะ คุณทรงยศ งึมงำอยู่คนเดียวนั่นแหละ”
“แกไม่สังเกตบ้างเหรอวะ ริษา ว่าร้านนี้มันแปลกๆยังไงไม่รู้ มันไม่เหมือนตอนที่กูมาเลยว่ะ”
“โธ๋เอ๊ย..ร้านเดี๋ยวนี้มันก็ต้องมีการปรับปรุงบ้างสิวะ ขึ้นยังไม่พัฒนาร้านลูกค้าก็ได้หนีไปกินร้านอื่นกันหมดสิ”
“แต่แกไม่เห็นหรือว่าการตกแต่งร้านอ่ะ มันโบราณมากเลยนะ ดูอย่างป้ายxxxสิยังใช้xxxเป็นพรีเซนเตอร์อยู่เลย ไหนจะของในร้าน เสื้อผ้าของลูกค้าแต่ละคน แกว่ามันไม่แปลกเหรอ”
“โห...แกนี่ดูหนังฝรั่งพวกเจาะเวลาหาอดีตมากไปมั้งนี่ ไม่เคยดูทีวีเหรอการจัดร้านสไตล์ย้อนยุคอ่ะ เดี๋ยวนี้เขาทำกันเกร่อ มา...อย่าเพ้อเจ้ออยู่เลย กินข้าวต้มดีกว่าเดี๋ยวจะได้กลับบ้านแล้วแกจะได้ไปนอนฝันต่อ”
กับข้าวทยอยออกมาเรื่อยๆ ทั้งสี่กินด้วยความเอร็ดอร่อยจนลืมเรื่องที่ทรงยศตั้งข้อสังเกตไปหมดสิ้น เมื่อหนังท้องตึงหนังตาเริ่มหย่อน เชษฐ์เรียกเด็กเสิร์ฟมาเช็คบิลเพื่อจะได้รีบไปส่งเพื่อนๆที่บ้านต่อ และกว่าเขาจะถึงบ้านก็คงตีห้าพอดี เพราะบ้านของทั้งสามนั้นอยู่กันคนละทางเลยทีเดียว
“โห...น้องนี่ยังใช้แบงค์สิบอีกเหรอ ไม่เก็บไว้เป็นที่ระลึกล่ะ เดี๋ยวนี้เค้าซื้อขายในอีเบย์กันแพงมากเลยนะ”ทรงยศพูดเมื่อรับเงินทอนจากเด็กเสิร์ฟสาวมา
“จะเก็บไว้ทำไมล่ะคะ ที่บ้านหนูมีเป็นปึกๆสงสัยหนูจะเป็นเศรษฐีก็คราวนี้แหละค่ะ” เด็กเสิร์ฟสาวดูจะหัวเสียมากกับคำพูดของทรงยศ ก่อนที่จะเดินกระฟัดกระเฟียดกลับไปที่เคาน์เตอร์
“อย่าเสียเวลากับเรื่องไร้สาระเลย รีบกลับบ้านกันเถอะ”น้ำฟ้ารีบตัดบทก่อนที่ทรงยศกับริษาจะยิ่งต่อความยาวสาวความยืด
xxxxxxxxxxxxxx
คืนวันต่อมา เพื่อนซี้ทั้งสี่กลับจากเที่ยวผับแล้วตกลงกันว่าจะไปกินข้าวต้มโต้รุ่งร้านเดิมกันต่ออีก
“เออ...วันนี้ร้านมันแปลกๆอีกแล้วนะนี่”ทรงยศเปรยลอยๆขึ้นมาอีก
“เอ่อ...ฉันก็ว่าเหมือนกันว่ะ วันเดียวทำไมมันเปลี่ยนแปลงเยอะขนาดนี้วะเนี่ย” ริษากวาดสายตาไปรอบๆร้านก่อนที่จะสั่งอาหาร เด็กเสิร์ฟเห็นท่าทางของลูกค้าทั้งสี่คนแล้วเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างจึงถามขึ้นว่า
“มีอะไรหรือคะพี่ๆ ทำไมมองร้านของเจ๊หนูแปลกๆอย่างนั้นล่ะคะ”
“เมื่อคืนพี่มากินข้าวต้มที่ร้านน้องแล้วมันไม่ใช่อย่างนี้นี่ ทั้งหน้าร้าน ในร้าน วันเดียวทำไมน้องถึงได้ตกแต่งร้านได้เร็วขนาดนี้อ่ะ”ทรงยศกล่าวขึ้น สายตาก็ยังคงมองรอบๆบริเวณ คราวนี้สีหน้าของเด็กเสิร์ฟเริ่มเปลี่ยนไปเป็นหวาดๆยังไงไม่รู้
“พี่มากินข้าวต้มร้านนี้เมื่อคืนจริงหรือคะ”เด็กเสิร์ฟพูดด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก
“ก็จริงสิน้อง นี่แบงค์สิบเมื่อคืนที่ทอนให้พี่ พี่ยังเก็บไว้เลย” ทรงยศชูธนบัตรใบละสิบบาทให้เธอดู เด็กเสิร์ฟคนนั้นรีบวิ่งไปที่เคาน์เตอร์แล้วพาหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งมาที่โต๊ะที่ทั้งสี่นั่ง เมื่อตาต่อตาประสานกันทั้งสี่ก็ร้องเสียงหลง
“เฮ้ย...นี่มันเด็กเสิร์ฟเมื่อคืนนี่นา ทำไมวันนี้ถึงได้แก่หง่อมอย่างนี้วะ” ริษาสะกดอารมณ์ไว้ไม่อยู่พูดโพล่งออกมา แต่หญิงวัยกลางคนนั้นกลับยืนนิ่งก่อนจะพูดขึ้นช้าๆด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า
“คุณไม่ต้องตกใจหรอกค่ะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในรอบยี่สิบปีที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ทุกๆวันที่ 29 กุมภาพันธ์ร้านเราจะปิดเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับเหตุการณ์เมื่อ 20 ปีก่อนเวลาเที่ยงคืน ขณะที่ร้านนี้กำลังมีลูกค้าแน่นร้าน จะเป็นคราวเคราะห์หรือไงไม่รู้ รถสิบล้อคนขับหลับในพุ่งเข้าชนร้านแล้วเกิดไปกระแทกถังแก๊สระเบิด ทุกคนในร้านรวมทั้งคนขับรถตายหมด เหลือแต่ฉันคนเดียวที่ขณะเกิดเหตุออกไปธุระข้างนอกจึงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด” พูดถึงตอนนี้น้ำตาของเธอคลอเบ้าเอ่อท้นออกมา น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ
“ถ้าอย่างนั้นเมื่อคืนพวกเราไปกินข้าวต้มร้านไหนกันล่ะคะ ก็ร้านนี้ โต๊ะนี้ แล้วตัวคุณเมื่อคืนล่ะคะ” น้ำฟ้าเริ่มงงกับคำพูดของหญิงวัยกลางคน เธอไม่ตอบ แต่กลับเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ ทิ้งความสงสัยไว้กับลูกค้าทั้งสี่
xxxxxxxxxxxxxx
“เฮ้ย..เชษฐ์ ฉันว่าเดี๋ยวเราไปกินข้าวต้มโต้รุ่งกันต่อดีกว่าว่ะ แม่ง..งานเลี้ยงคอกเทลแบบนี้กินไม่ถึงครึ่งกระเพาะเลย” ริษา เพื่อนสาวสุดห้าวออกความเห็นหลังจากเชษฐ์ขับรถออกจากบริเวณผับได้สักครู่หนึ่ง
“เออ...กูก็ว่างั้นแหละ...เดี๋ยวกูแนะนำร้านเด็ดๆให้ รับรองอร่อยแน่” ทรงยศ หนุ่มตี๋เจ้าสำราญสนับสนุนความคิดเห็นของริษา
“แล้วเธอว่าไงล่ะ น้ำฟ้า”เชษฐ์หันไปถามเพื่อนสาวอีกคนที่นั่งข้างที่นั่งคนขับ
“ก็แล้วแต่เพื่อนๆแล้วกัน แต่อย่าให้ดึกนักนะ ไม่งั้นคราวหน้าที่บ้านคงไม่ยอมให้ฉันมาอีกแน่” น้ำฟ้ามีท่าทีกังวลตั้งแต่ที่ริษาเริ่มต้นเปิดประเด็นการไปหาที่เที่ยวต่อแล้ว
“แหม...แม่คุณนี่ก็ย่างเข้าเช้าวันใหม่แล้วนะยะ มันคงไม่มีอะไรจะดึกกว่านี้แล้วแหละ” ริษาพูดด้วยความหมั่นไส้
“เออ..แล้วร้านที่แกว่ามันไปทางไหนวะ บอกทางมาหน่อยเด่ะ พยาธิในท้องข้ามันเริ่มงอแงแล้วสิ” เชษฐ์พูดติดตลก สายตาเหลือบไปมองทรงยศผ่านทางกระจกรถ
“เดี๋ยวผ่านสี่แยกนี้ไปแล้วเลี้ยวซ้ายซอยระหว่างวัดกับห้างxxxเลยว่ะ ทางลัดประหยัดน้ำมัน”
เชษฐ์ขับรถผ่านสี่แยกมาประมาณ 500 เมตรก็ผ่านวัดประจำอำเภอและห้างxxxซึ่งเพิ่งเปิดได้ไม่นาน หลังจากที่บรรดาเจ้าของร้านค้าในอำเภอพากันต่อต้านแต่ก็สู้กระแสนายทุนต่างชาติไม่ได้ ระหว่างสถานที่ทั้งสองแห่งนี้มีซอยลัดเล็กๆอยู่ เชษฐ์ค่อยๆชะลอรถและเลี้ยวเข้าไปในซอย
“ทางนี้ข้าไม่เคยขับมาเลยว่ะ แกไปซอกแซกรู้มาได้ไงวะ ไอ้ยศ”เชษฐ์ถามขึ้น สายตาก็มองสอดส่ายไปสองข้างทาง
“วันก่อนขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ใส่หมวกกันน๊อคก็เลยหลบเข้ามาทางซอยนี้ว่ะ” ทรงยศพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจ
เมื่อเชษฐ์ขับรถเข้ามาในซอยได้ประมาณ 15 นาที สองข้างทางก็ไม่มีวี่แววของบ้านเรือนผู้คนเลย ริษาพูดโพล่งขึ้นมาว่า “เฮ้ย...ไหนวะร้านข้างต้มโต้รุ่งของแก ฉันจะกินวันนี้นะไม่ใช่พร้อมพระฉันเช้า”
ทรงยศเริ่มมีสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจ เขาสอดส่ายสายตาดูสองข้างทางที่มีแต่ป่ารกทึบและมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมเหนือถนนจนแม้แต่แสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญไม่สามารถลอดผ่านมาได้ เหมือนรถที่กำลังขับเข้าไปในอุโมงค์รถไฟก็ไม่ปาน
“วันก่อนกูเข้ามาก็ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีนี่แหละแล้วมันจะทะลุไปออกถนนใหญ่เลย แล้วมันจะมีร้านข้าวต้มโต้รุ่งใหญ่ๆอยู่ทางขวามือฝั่งตรงข้ามถนน...”
ทรงยศพูดไม่ทันขาดคำก็มีรถยนต์เปิดไฟสูงสวนทางเข้ามา ทั้งหมดหรี่ตาลงแล้วลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อแสงจ้านั้นหายไป
“แม่ง...ไม่มีมารยาทเลย ขับรถเปิดไฟสูงแบบนี้ ซื้อใบขับขี่มาเปล่าวะ”เชษฐ์สบถด้วยความหงุดหงิด
“นั่นไงเชษฐ์ ร้านข้าวต้มทางขวามือ ร้านนี้หรือเปล่าจ๊ะ ยศ”น้ำฟ้าชี้นิ้วไปที่ร้านข้าวต้มโต้รุ่งร้านใหญ่ที่คับคั่งไปด้วยผู้คน
“เออ...ร้านนี้แหละ เลี้ยวขวาแล้วไปจอดข้างๆร้านเลย”ทรงยศดูจะมีความมั่นใจมากขึ้นว่าตนเองไม่ได้พาเพื่อนมาหลงทาง
เมื่อเชษฐ์จอดรถแล้วทั้งหมดก็เดินเข้าไปในร้าน ด้วยความหิวริษากับทรงยศรีบขอเมนูจากเด็กเสิร์ฟอย่างรวดเร็วและสั่งอาหารมามากมายจนเชษฐ์กับน้ำฟ้าปรามไม่ทัน
“เธอสองคนสั่งของมาตั้งเยอะ จะกินหมดเหรอจ๊ะ” น้ำฟ้าถามขึ้น
“แม่คุณ...เคยมากินข้าวต้มโต้รุ่งหรือเปล่าจ๊ะ กับข้าวแต่ละอย่างมาจานหนึ่งเท่ากับของเซ่นผี มันต้องสั่งหลายๆอย่างสิถึงจะอิ่ม” ริษากระแนะกระแหนลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของนักธุรกิจใหญ่ประจำอำเภอ
ทรงยศมองบรรยากาศรอบๆแล้วพึมพำกับตัวเองจนริษาอดใจถามขึ้นด้วยความรำคาญไม่ได้
“บ่นอะไรอีกล่ะคะ คุณทรงยศ งึมงำอยู่คนเดียวนั่นแหละ”
“แกไม่สังเกตบ้างเหรอวะ ริษา ว่าร้านนี้มันแปลกๆยังไงไม่รู้ มันไม่เหมือนตอนที่กูมาเลยว่ะ”
“โธ๋เอ๊ย..ร้านเดี๋ยวนี้มันก็ต้องมีการปรับปรุงบ้างสิวะ ขึ้นยังไม่พัฒนาร้านลูกค้าก็ได้หนีไปกินร้านอื่นกันหมดสิ”
“แต่แกไม่เห็นหรือว่าการตกแต่งร้านอ่ะ มันโบราณมากเลยนะ ดูอย่างป้ายxxxสิยังใช้xxxเป็นพรีเซนเตอร์อยู่เลย ไหนจะของในร้าน เสื้อผ้าของลูกค้าแต่ละคน แกว่ามันไม่แปลกเหรอ”
“โห...แกนี่ดูหนังฝรั่งพวกเจาะเวลาหาอดีตมากไปมั้งนี่ ไม่เคยดูทีวีเหรอการจัดร้านสไตล์ย้อนยุคอ่ะ เดี๋ยวนี้เขาทำกันเกร่อ มา...อย่าเพ้อเจ้ออยู่เลย กินข้าวต้มดีกว่าเดี๋ยวจะได้กลับบ้านแล้วแกจะได้ไปนอนฝันต่อ”
กับข้าวทยอยออกมาเรื่อยๆ ทั้งสี่กินด้วยความเอร็ดอร่อยจนลืมเรื่องที่ทรงยศตั้งข้อสังเกตไปหมดสิ้น เมื่อหนังท้องตึงหนังตาเริ่มหย่อน เชษฐ์เรียกเด็กเสิร์ฟมาเช็คบิลเพื่อจะได้รีบไปส่งเพื่อนๆที่บ้านต่อ และกว่าเขาจะถึงบ้านก็คงตีห้าพอดี เพราะบ้านของทั้งสามนั้นอยู่กันคนละทางเลยทีเดียว
“โห...น้องนี่ยังใช้แบงค์สิบอีกเหรอ ไม่เก็บไว้เป็นที่ระลึกล่ะ เดี๋ยวนี้เค้าซื้อขายในอีเบย์กันแพงมากเลยนะ”ทรงยศพูดเมื่อรับเงินทอนจากเด็กเสิร์ฟสาวมา
“จะเก็บไว้ทำไมล่ะคะ ที่บ้านหนูมีเป็นปึกๆสงสัยหนูจะเป็นเศรษฐีก็คราวนี้แหละค่ะ” เด็กเสิร์ฟสาวดูจะหัวเสียมากกับคำพูดของทรงยศ ก่อนที่จะเดินกระฟัดกระเฟียดกลับไปที่เคาน์เตอร์
“อย่าเสียเวลากับเรื่องไร้สาระเลย รีบกลับบ้านกันเถอะ”น้ำฟ้ารีบตัดบทก่อนที่ทรงยศกับริษาจะยิ่งต่อความยาวสาวความยืด
xxxxxxxxxxxxxx
คืนวันต่อมา เพื่อนซี้ทั้งสี่กลับจากเที่ยวผับแล้วตกลงกันว่าจะไปกินข้าวต้มโต้รุ่งร้านเดิมกันต่ออีก
“เออ...วันนี้ร้านมันแปลกๆอีกแล้วนะนี่”ทรงยศเปรยลอยๆขึ้นมาอีก
“เอ่อ...ฉันก็ว่าเหมือนกันว่ะ วันเดียวทำไมมันเปลี่ยนแปลงเยอะขนาดนี้วะเนี่ย” ริษากวาดสายตาไปรอบๆร้านก่อนที่จะสั่งอาหาร เด็กเสิร์ฟเห็นท่าทางของลูกค้าทั้งสี่คนแล้วเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างจึงถามขึ้นว่า
“มีอะไรหรือคะพี่ๆ ทำไมมองร้านของเจ๊หนูแปลกๆอย่างนั้นล่ะคะ”
“เมื่อคืนพี่มากินข้าวต้มที่ร้านน้องแล้วมันไม่ใช่อย่างนี้นี่ ทั้งหน้าร้าน ในร้าน วันเดียวทำไมน้องถึงได้ตกแต่งร้านได้เร็วขนาดนี้อ่ะ”ทรงยศกล่าวขึ้น สายตาก็ยังคงมองรอบๆบริเวณ คราวนี้สีหน้าของเด็กเสิร์ฟเริ่มเปลี่ยนไปเป็นหวาดๆยังไงไม่รู้
“พี่มากินข้าวต้มร้านนี้เมื่อคืนจริงหรือคะ”เด็กเสิร์ฟพูดด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก
“ก็จริงสิน้อง นี่แบงค์สิบเมื่อคืนที่ทอนให้พี่ พี่ยังเก็บไว้เลย” ทรงยศชูธนบัตรใบละสิบบาทให้เธอดู เด็กเสิร์ฟคนนั้นรีบวิ่งไปที่เคาน์เตอร์แล้วพาหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งมาที่โต๊ะที่ทั้งสี่นั่ง เมื่อตาต่อตาประสานกันทั้งสี่ก็ร้องเสียงหลง
“เฮ้ย...นี่มันเด็กเสิร์ฟเมื่อคืนนี่นา ทำไมวันนี้ถึงได้แก่หง่อมอย่างนี้วะ” ริษาสะกดอารมณ์ไว้ไม่อยู่พูดโพล่งออกมา แต่หญิงวัยกลางคนนั้นกลับยืนนิ่งก่อนจะพูดขึ้นช้าๆด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า
“คุณไม่ต้องตกใจหรอกค่ะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในรอบยี่สิบปีที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ทุกๆวันที่ 29 กุมภาพันธ์ร้านเราจะปิดเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับเหตุการณ์เมื่อ 20 ปีก่อนเวลาเที่ยงคืน ขณะที่ร้านนี้กำลังมีลูกค้าแน่นร้าน จะเป็นคราวเคราะห์หรือไงไม่รู้ รถสิบล้อคนขับหลับในพุ่งเข้าชนร้านแล้วเกิดไปกระแทกถังแก๊สระเบิด ทุกคนในร้านรวมทั้งคนขับรถตายหมด เหลือแต่ฉันคนเดียวที่ขณะเกิดเหตุออกไปธุระข้างนอกจึงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด” พูดถึงตอนนี้น้ำตาของเธอคลอเบ้าเอ่อท้นออกมา น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ
“ถ้าอย่างนั้นเมื่อคืนพวกเราไปกินข้าวต้มร้านไหนกันล่ะคะ ก็ร้านนี้ โต๊ะนี้ แล้วตัวคุณเมื่อคืนล่ะคะ” น้ำฟ้าเริ่มงงกับคำพูดของหญิงวัยกลางคน เธอไม่ตอบ แต่กลับเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ ทิ้งความสงสัยไว้กับลูกค้าทั้งสี่
xxxxxxxxxxxxxx
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น