มนัสยายังคงนั่งมองนอกหน้าต่างของตู้ขบวนรถไฟไปเรื่อยๆ ทิวทัศน์สองข้างทางแม้จะงดงามเพียงใดก็ไม่อาจสร้างรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าของเธอได้ แววตาของการโหยหาคืนวันอันแสนหวานในอดีตที่ไม่อาจย้อนคืนมาแจ่มชัดขึ้นในมโนภาพของเธอ
“มนัสยา” ธิดาหัวแก้วหัวแหวนของคุณหลวงผู้มั่งคั่งท่านหนึ่งของเมืองสงขลาตัดสินใจขึ้นไปศึกษาต่อที่พระนคร หลังจากที่ “ธันวา” เสมียนหนุ่มในบริษัทของคุณหลวงผู้เป็นบิดาถูกบังคับให้แต่งงานกับ “บุษราวดี” ธิดาสุดที่รักของเถ้าแก่เจ้าของท่าเรือผู้มั่งคั่งอีกท่านหนึ่งของเมืองสงขลาเช่นกัน และที่สำคัญธันวายังแอบไปสร้างพยานรักกับบุษราวดีอย่างลับๆทั้งที่ขณะนั้นเขาสัญญาว่าจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอมนัสยาหลังจากที่เธอเรียนจบจากโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด
“ผ้าพันคอพันผูกใจไว้เคียงคู่
ต่างตาดูต่างไอรักสมัครสมาน
ฝากนวลน้องถนอมแนบต่างดวงมาน
แม้สิ้นกาลโลกดับรักมิคลาย”
มนัสยาบรรจงหยิบผ้าพันคอสีฟ้าอ่อนที่ธันวาได้มอบให้เธอเมื่อครั้งงานแห่ผ้าขึ้นห่มพระเจดีย์บนเขาตังกวนขึ้นมาลูบคลำเบาๆ แม้แปดปีที่พัดพาสีสันของผืนผ้าให้ซีดจางลงแต่ก็ไม่ได้พัดพาอดีตแห่งรักของมนัสยาที่มีต่อธันวาให้ลดลงไปแม้แต่น้อย
“มนัสยา เธอก็รู้อยู่แล้วว่าธันวาน่ะเขามีลูกกับบุษราวดีแล้ว เธอก็ยังจะไปงมงายกับความรักจอมปลอมนี้อีกทำไม” ศิริโฉมในชุดนักเรียนเดินถือกระเป๋าเคียงกันมากับมนัสยาจนเกือบถึงหน้าประตูโรงเรียนกล่าวอย่างฉุนเฉียว
“ศิริโฉม มันเป็นเรื่องของความรู้สึกเธอไม่มีวันเข้าใจหรอก” ดวงตาแดงก่ำปรากฏรอยน้ำตาเอ่อท้นออกมา ศิริโฉมเพิ่งสังเกตเห็นว่าดวงตาของเพื่อนสาวนั้นคงผ่านการร้องไห้มาตลอดคืน แต่เธอไม่ได้สังเกตเลยตลอดเวลาเรียนวันนี้
“จ้ะ ฉันน่ะไม่เข้าใจความรู้สึกของเธอหรอก แม่จินตหราวาตี แต่ฉันขอพูดหน่อยแล้วกันนะว่า ธันวาน่ะเขาไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับเธอหรอก เขาแค่ต้องการใช้เธอเป็นสะพานทอดไปสู่ความก้าวหน้าของเขาตะหาก แต่บังเอิญแม่บุษราวดีน่ะอาสาไปเป็นสะพานให้เขาเสียก่อน” ศิริโฉมร่ายยาวระบายความคิดที่อัดอั้นในใจออกมาก่อนที่จะตัดสินใจออกเดินกระฟัดกระเฟียดไปยังรถเก๋งคันงามที่คนขับรถประจำบ้านรออยู่หน้าประตูโรงเรียน
คำพูดของศิริโฉมก้องอยู่ในโสตประสาทของมนัสยามาตลอด หากแต่ความรักทำให้ดวงตาของหญิงสาวบอดเสียสิ้นแล้ว ความไร้เดียงสา อ่อนต่อโลกประจวบกับธันวาเป็นชายหนุ่มคนแรกที่เข้ามาอยู่ในหัวใจเธอ มนัสยาก็เลือกที่จะสร้างรักลวงตาขึ้นในจินตนาการมาโดยตลอด
แปดปีที่พระนคร ภาพของมนัสยาและธันวาขี่จักรยานเล่นหยอกล้อกันที่หาดสมิหลา , ภาพการไหว้พระอธิษฐานขอพรต่อพระประธานในโบสถ์วัดมัชฌิมาวาสร่วมกัน , ภาพของร้านไอศกรีมเจ้าอร่อยเมื่อครั้งงานสมโภชศาลหลักเมืองที่ชายหนุ่มพาเธอไปรับประทาน และอีกนับร้อยๆภาพยังคงตามไปหลอกหลอนเธออยู่ทุกค่ำคืนที่แสนจะหนาวเหน็บแม้กลางเดือนเมษายน
จดหมายของศิริโฉมซึ่งตอนนี้เธอกลายเป็นภรรยาของเศรษฐีเหมืองแร่เมืองภูเก็ตคนหนึ่งยังคงส่งข่าวคราวของธันวามาให้เธอรับทราบเสมอ เหมือนกับเธอยังคงอยู่เคียงข้างธันวาตลอดเวลา มนัสยาหยิบจดหมายฉบับล่าสุดที่ศิริโฉมเพิ่งส่งมาให้เธอเมื่อเจ็ดวันก่อน แปดปีที่จากสงขลา วันนี้เธอจะหวนกลับไปที่นั่นอีกครั้ง และคงอีกนานกว่าเพื่อนๆที่พระนครจะได้พบเธอ
ผู้คนที่โดยสารมาในตู้ขบวนเดียวกับเธอผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆตลอดเส้นทาง จะมีแต่ชายชราผมสีดอกเลาในชุดราชปะแตนสีมอๆแต่ใบหน้าท่าทางยังคงฉายความมีอำนาจในครั้งอดีตที่นั่งกอดห่อผ้าขาวไว้แน่นโดยมีหญิงสาวในชุดย่าหยาอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกันกับเธอนั่งจับมือชายชราด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงอย่างชัดเจนเท่านั้นที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมตลอดการเดินทาง
แสงเงินแสงทองเริ่มทอทาบขอบฟ้าสีสดใสในเช้าวันใหม่ ณ เมืองหาดใหญ่ มนัสยาถือกระเป๋าเดินทางหวายถักขนาดกะทัดรัดไปยังขบวนรถไฟต่อเข้าไปในตัวเมืองสงขลา โดยมีชายชราและหญิงสาวผู้ร่วมตู้ขบวนเดียวกับเธอจากพระนครเดินนำหน้าลิ่วๆไป
ชีวิตของสาวทันสมัยแห่งพระนครหวนคืนสู่แผ่นดินมาตุภูมิอีกครั้ง นึกถึงตอนที่ธันวาแอบพาเธอนั่งรถไฟไปเที่ยวหาดใหญ่เมื่อแปดปีก่อนแล้วถ่ายรูปที่ระลึกคู่กันที่ร้านเปาจิน ก็อดทำให้มนัสยาหยิบเอารูปนั้นขึ้นมาดูอีกครั้งไม่ได้ กลิ่นอายทะเลพัดมาปะทะใบหน้าเธอตามความเร็วของการขับเคลื่อนขบวนรถไฟเป็นสัญญาณว่า ใกล้จะถึงสงขลาแล้ว
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
“มนัสยา” ธิดาหัวแก้วหัวแหวนของคุณหลวงผู้มั่งคั่งท่านหนึ่งของเมืองสงขลาตัดสินใจขึ้นไปศึกษาต่อที่พระนคร หลังจากที่ “ธันวา” เสมียนหนุ่มในบริษัทของคุณหลวงผู้เป็นบิดาถูกบังคับให้แต่งงานกับ “บุษราวดี” ธิดาสุดที่รักของเถ้าแก่เจ้าของท่าเรือผู้มั่งคั่งอีกท่านหนึ่งของเมืองสงขลาเช่นกัน และที่สำคัญธันวายังแอบไปสร้างพยานรักกับบุษราวดีอย่างลับๆทั้งที่ขณะนั้นเขาสัญญาว่าจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอมนัสยาหลังจากที่เธอเรียนจบจากโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด
“ผ้าพันคอพันผูกใจไว้เคียงคู่
ต่างตาดูต่างไอรักสมัครสมาน
ฝากนวลน้องถนอมแนบต่างดวงมาน
แม้สิ้นกาลโลกดับรักมิคลาย”
มนัสยาบรรจงหยิบผ้าพันคอสีฟ้าอ่อนที่ธันวาได้มอบให้เธอเมื่อครั้งงานแห่ผ้าขึ้นห่มพระเจดีย์บนเขาตังกวนขึ้นมาลูบคลำเบาๆ แม้แปดปีที่พัดพาสีสันของผืนผ้าให้ซีดจางลงแต่ก็ไม่ได้พัดพาอดีตแห่งรักของมนัสยาที่มีต่อธันวาให้ลดลงไปแม้แต่น้อย
“มนัสยา เธอก็รู้อยู่แล้วว่าธันวาน่ะเขามีลูกกับบุษราวดีแล้ว เธอก็ยังจะไปงมงายกับความรักจอมปลอมนี้อีกทำไม” ศิริโฉมในชุดนักเรียนเดินถือกระเป๋าเคียงกันมากับมนัสยาจนเกือบถึงหน้าประตูโรงเรียนกล่าวอย่างฉุนเฉียว
“ศิริโฉม มันเป็นเรื่องของความรู้สึกเธอไม่มีวันเข้าใจหรอก” ดวงตาแดงก่ำปรากฏรอยน้ำตาเอ่อท้นออกมา ศิริโฉมเพิ่งสังเกตเห็นว่าดวงตาของเพื่อนสาวนั้นคงผ่านการร้องไห้มาตลอดคืน แต่เธอไม่ได้สังเกตเลยตลอดเวลาเรียนวันนี้
“จ้ะ ฉันน่ะไม่เข้าใจความรู้สึกของเธอหรอก แม่จินตหราวาตี แต่ฉันขอพูดหน่อยแล้วกันนะว่า ธันวาน่ะเขาไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับเธอหรอก เขาแค่ต้องการใช้เธอเป็นสะพานทอดไปสู่ความก้าวหน้าของเขาตะหาก แต่บังเอิญแม่บุษราวดีน่ะอาสาไปเป็นสะพานให้เขาเสียก่อน” ศิริโฉมร่ายยาวระบายความคิดที่อัดอั้นในใจออกมาก่อนที่จะตัดสินใจออกเดินกระฟัดกระเฟียดไปยังรถเก๋งคันงามที่คนขับรถประจำบ้านรออยู่หน้าประตูโรงเรียน
คำพูดของศิริโฉมก้องอยู่ในโสตประสาทของมนัสยามาตลอด หากแต่ความรักทำให้ดวงตาของหญิงสาวบอดเสียสิ้นแล้ว ความไร้เดียงสา อ่อนต่อโลกประจวบกับธันวาเป็นชายหนุ่มคนแรกที่เข้ามาอยู่ในหัวใจเธอ มนัสยาก็เลือกที่จะสร้างรักลวงตาขึ้นในจินตนาการมาโดยตลอด
แปดปีที่พระนคร ภาพของมนัสยาและธันวาขี่จักรยานเล่นหยอกล้อกันที่หาดสมิหลา , ภาพการไหว้พระอธิษฐานขอพรต่อพระประธานในโบสถ์วัดมัชฌิมาวาสร่วมกัน , ภาพของร้านไอศกรีมเจ้าอร่อยเมื่อครั้งงานสมโภชศาลหลักเมืองที่ชายหนุ่มพาเธอไปรับประทาน และอีกนับร้อยๆภาพยังคงตามไปหลอกหลอนเธออยู่ทุกค่ำคืนที่แสนจะหนาวเหน็บแม้กลางเดือนเมษายน
จดหมายของศิริโฉมซึ่งตอนนี้เธอกลายเป็นภรรยาของเศรษฐีเหมืองแร่เมืองภูเก็ตคนหนึ่งยังคงส่งข่าวคราวของธันวามาให้เธอรับทราบเสมอ เหมือนกับเธอยังคงอยู่เคียงข้างธันวาตลอดเวลา มนัสยาหยิบจดหมายฉบับล่าสุดที่ศิริโฉมเพิ่งส่งมาให้เธอเมื่อเจ็ดวันก่อน แปดปีที่จากสงขลา วันนี้เธอจะหวนกลับไปที่นั่นอีกครั้ง และคงอีกนานกว่าเพื่อนๆที่พระนครจะได้พบเธอ
ผู้คนที่โดยสารมาในตู้ขบวนเดียวกับเธอผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆตลอดเส้นทาง จะมีแต่ชายชราผมสีดอกเลาในชุดราชปะแตนสีมอๆแต่ใบหน้าท่าทางยังคงฉายความมีอำนาจในครั้งอดีตที่นั่งกอดห่อผ้าขาวไว้แน่นโดยมีหญิงสาวในชุดย่าหยาอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกันกับเธอนั่งจับมือชายชราด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงอย่างชัดเจนเท่านั้นที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมตลอดการเดินทาง
แสงเงินแสงทองเริ่มทอทาบขอบฟ้าสีสดใสในเช้าวันใหม่ ณ เมืองหาดใหญ่ มนัสยาถือกระเป๋าเดินทางหวายถักขนาดกะทัดรัดไปยังขบวนรถไฟต่อเข้าไปในตัวเมืองสงขลา โดยมีชายชราและหญิงสาวผู้ร่วมตู้ขบวนเดียวกับเธอจากพระนครเดินนำหน้าลิ่วๆไป
ชีวิตของสาวทันสมัยแห่งพระนครหวนคืนสู่แผ่นดินมาตุภูมิอีกครั้ง นึกถึงตอนที่ธันวาแอบพาเธอนั่งรถไฟไปเที่ยวหาดใหญ่เมื่อแปดปีก่อนแล้วถ่ายรูปที่ระลึกคู่กันที่ร้านเปาจิน ก็อดทำให้มนัสยาหยิบเอารูปนั้นขึ้นมาดูอีกครั้งไม่ได้ กลิ่นอายทะเลพัดมาปะทะใบหน้าเธอตามความเร็วของการขับเคลื่อนขบวนรถไฟเป็นสัญญาณว่า ใกล้จะถึงสงขลาแล้ว
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
เจ๋งมากเลยหง่ะเพื่อนเรา ทำไปได้เน๊อะ อืมมมม เจอกันแล้วน่าดู!!!!! อ๊ะล้อเล่นนา..... แต่ก็เจ๋งจริงจริงน่ะ เจ๋ง เจ๋ง เจ๋ง ก็อย่างว่าหล่ะน่ะ "พันธ์ พันธ์ พันธ์" เขาสร้างมาดีหง่ะ..... ถึงได้เป็นอัจฉริยบุคคลเยี่ยงนี้ อ๊ะ อ๊ะ ทำเป็น งองูสองตัว???
ตอบลบ(จาก....ตัวละครตัวหนึ่ง งัย..อิ๊อิ๊ ใครหนอ??)
เฮ้อเกิดมาก็เป็นได้แค่เพื่อนนางเอก ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้เป็นนางเอกกะเขาบ้าง "มันเป็นเรื่องของความรู้สึกเธอคงไม่เข้าใจหรอก"
ตอบลบ