ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติม...ที่นี่

Custom Search

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สงครามกระดานดำ ตอน เปิดประตูโรงเรียน



โรงเรียน “เฌอคู่วิทยา” เป็นโรงเรียนประถมศึกษาขนาดใหญ่ในอำเภอที่ค่อนข้างมีความเจริญสูง บนพื้นที่ขนาดสิบไร่ สี่อาคารเรียน หนึ่งโรงอาหาร และหนึ่งอาคารอเนกประสงค์ และต้นโพคู่ใหญ่ที่ให้ร่มเงาแก่นักเรียนมาหลายต่อหลายรุ่นอันเป็นที่มาของชื่อโรงเรียน กับความที่เป็นโรงเรียนที่รองรับนักเรียนเหลือขอที่เข้าโรงเรียนดังๆในอำเภอไม่ได้และนักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจนและมีปัญหาครอบครัว เป็นที่มาของสงครามระหว่างกลุ่มของแม่พิมพ์สองประเภท คือ พวกอนุรักษ์นิยมและพวกหัวก้าวหน้าที่ต้องอาศัยในร่มเฌอคู่ด้วยกันมากว่าสิบปี ภายใต้การบริหารงานของ อดีตรองผู้อำนวยการมือหนึ่งซึ่งไต่เต้าสู่บัลลังก์ผู้อำนวยการโรงเรียนภายในระยะเวลาไม่นานจนพลิกโฉมโรงเรียนนี้ให้มีชื่อเสียงขึ้นมาและเป็นที่ยอมรับของสังคม

แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังความสำเร็จและชื่อเสียงของโรงเรียนนั้น ต้องผ่านสงครามนับครั้งไม่ถ้วนภายในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นระหว่างครูด้วยกัน ครูกับผู้บริหาร โรงเรียนกับผู้ปกครอง มามากมายนับครั้งไม่ถ้วน ที่สำคัญคือ สงครามระหว่าง ความเป็นครูกับความอยู่รอด

ไม่ว่า ปัญหาเหตุใดนักเรียนจึงอ่านหนังสือไม่ออก , ปัญหายาเสพติดในโรงเรียน , ลูกหลานของท่านเมื่ออยู่บ้านกับอยู่โรงเรียนมีพฤติกรรมแบบเดียวกันหรือไม่ , ลักษณะนิสัยของนักเรียนยุคใหม่ ,พ่อแม่รังแกฉันนั้นมีมากในปัจจุบัน และอีกสารพัดเกินกว่าจะบรรยาย

หลายคนที่มีโอกาสผ่านรั้ว “เฌอคู่วิทยา” ที่มีเนื้อที่เพียงแมวดิ้นตายนั้น อาจจะยังไม่ทราบหรอกว่า ชีวิตความเป็นอยู่ของครูและนักเรียนในสมัยที่ตนเรียนหนังสืออยู่นั้นกับในปัจจุบันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากกระแสการปฏิรูปการศึกษา หน้าโรงเรียนซึ่งเดิมมีเพียงร้านขายขนม ขายข้าวแกงจึงแปรเปลี่ยนสภาพเป็นร้านอินเตอร์เน็ตและร้านถ่ายเอกสารและเข้าเล่มตลอดจนรับจ้างพิมพ์งานทั่วไป ซึ่งลูกค้าก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล ก็นักเรียนในโรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”และครูรุ่นเก่าๆที่อย่าว่าแต่ใช้คอมพิวเตอร์เลย ปุ่มสตาร์ทอยู่ตรงไหนยังต้องให้นักเรียนเปิดให้เลยมาว่าจ้างพิมพ์แผนการสอนให้นั่นเอง ถ้าเป็นครูรุ่นเก๋ากึ้กกว่านั้นก็ใช้วิธีถ่ายเอกสารตัดแปะเอาก็มี ยังดีกว่าไม่มีแผนการสอนเลย

ร้านหนึ่งที่อยู่คู่โรงเรียนนี้มาตลอดก็คงจะเป็นร้านข้าวแกงป้าพะยอม หรือ สภากาแฟของครู “เฌอคู่วิทยา”มาตั้งแต่สมัยรุ่นย่าของป้าพะยอมเลยทีเดียว

“ป้าเห็นโรงเรียนนี้มาตั้งแต่จำความได้แล้ว ย่าของป้าเป็นร้านแรกที่มาเปิดขายข้าวแกงที่นี่ ป้าเองก็เป็นศิษย์เก่าเฌอคู่เหมือนกัน รุ่นเดียวกับลุงแคล้ว ภารโรงขี้เมาของหนูนั่นแหละ” ป้าพะยอมสาธยายประวัติโรงเรียนและร้านของแกให้ฟังทุกครั้งที่บรรดาครูๆมากินข้าวเช้าที่ร้านเป็นประจำ ป้าเสิร์ฟชาเย็นให้คุณครูสาวๆสายชั้น ป.๑ ที่นั่งคุยกันอยู่

“โน่น....วันนี้บูดมาอีกแล้ว พวกหนูเตรียมตัวเข้าห้องเย็นเถอะ” ป้าพะยอมหันไปมองฝั่งตรงข้ามของถนนที่มีหญิงสูงวัยร่างอ้วน เตี้ยในชุดผ้าไหมรีดเรียบ ภูมิฐานที่เดินคอตั้งตรงเชิดขึ้นเป็นมุม ๑๑๐ องศาตามที่ครูริสามักจะพูดเวลาคุยกันในห้องพักครูที่มีสีหน้าบอกบุญไม่รับแต่เช้า

“ประกาศนะคะ เรียนเชิญคุณครูพชรพบท่านผู้อำนวยการที่ห้องเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” เสียงหวานๆของครูดาว ประชาสัมพันธ์สาวประจำโรงเรียนประกาศย้ำอีกครั้ง ครูผู้ชายที่นั่งโต๊ะข้างๆครูสาวๆสายชั้น ป.๑ หัวเราะดังลั่น

“ฮ่าๆๆ เรียกไอ้พชรแต่เช้าแบบนี้คงจะได้พบล่ะ ป่านนี้ยังขายของที่ร้านชำให้นักเรียนไม่เสร็จล่ะมั้ง รอทานอาหารเช้าเสร็จก่อนแล้วกันนะ ผ.อ.” ครูโรจน์ยกกาแฟร้อนขึ้นซดเสียงดัง

และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพลงมาร์ชเฌอคู่ดังเป็นรอบที่สอง เป็นสัญญาณของการเตรียมตัวเคารพธงชาติ ครูพชรจึงวิ่งกระหืดกระหอบจากบ้านที่อยู่ถัดโรงเรียนไปสักสี่ห้าคูหาไปยังโต๊ะเซ็นชื่อลงเวลาทำงาน “น้องกุ๊ก” หัวหน้างานธุรการควบตำแหน่งเลขาส่วนตัวของท่านผู้อำนวยการก็เดินเข้ามาหา

“พี่พชรคะ ผ.อ.เชิญที่ห้องค่ะ” เธอกล่าวก่อนจะหอบแฟ้มเอกสารกองโตและหยิบสมุดเซ็นชื่อกลับเข้าไปในห้องธุรการ เป็นสัญญาณว่าครูที่มาสายต้องไปขอเซ็นชื่อที่เธอหรือไม่ก็ต้องไปรายงานตัวกับ ผ.อ. ก่อน

พชรเดินทำหน้าเซ็งเข้าไปที่ห้องท่านผู้อำนวยการที่กำลังจดจ่ออยู่ที่หน้าโน้ตบุ๊ค โดยมีครูต้อมชงกาแฟมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ

“ต้อม เธอออกไปก่อน”

“ค่ะ ผ.อ.”

ครูต้อมเดินเนิบนาบออกไปจากห้องหลังจากที่สบตาพชรด้วยสีหน้าเหยียดหยามในแววตา

“อ้าว มาแล้วเหรอ นักเรียนเข้าแถวหมดก่อนถึงจะมาโรงเรียนได้นะ” น้ำเสียงแหลมเล็กกรีดแทงเข้าไปในใบหูของครูหนุ่มอย่างจัง

“อ๋อ ก็ที่ร้านมันขายของดีนี่ครับ จะปล่อยมือให้พวกลูกน้องมันอย่างเดียวได้ยังไงล่ะครับ ผ.อ. มันโกงไปกี่มากน้อย ใช่ว่าผมจะรู้” ครูพชรแสร้งทำเป็นเลียนเสียงของผู้มีอำนาจสูงสุดในโรงเรียน

“เอ้า ดูนี่หน่อยสิ พ่อครูนักธุรกิจ ผลงานของเธอทั้งนั้น” หญิงร่างอวบที่นั่งบนเก้าอี้ผู้บริหารตัวใหญ่ หนา นุ่ม เสือกกองใบงานของนักเรียนมาตรงหน้าครูหนุ่มผู้สอนวิชาภาษาไทย

“เมื่อวานฉันขึ้นไปตรวจที่สายชั้นของเธอ เห็นใบงานพวกนี้กองอยู่บนโต๊ะในห้องประจำชั้นของเธอ เธอสอนเด็กยังไงล่ะ ลายมือก็แย่ เขียนหนังสือก็ผิด วรรคตอนก็ไม่มี แถมฉันลองทดสอบให้เด็กอ่านหนังสือให้ฟังก็ตะกุกตะกัก”

“ขอโทษนะครับ สายชั้นของผมได้ประเมินการอ่านของนักเรียนแล้ว และห้องที่ผมประจำชั้นอยู่ก็เป็นห้องที่มีเด็กที่มีปัญหาทางการอ่านมาก นั่นเป็นงานที่ผมให้เด็กหัดทำครับ” พชรอธิบายที่มาของความบกพร่องที่ ผ.อ.จ้องจะจับผิดเป็นฉากๆจน ผ.อ.จิ๋มอึ้งไปพักหนึ่งก่อนที่จะปรับสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม

“อ๋อ...ดีแล้ว ผ.อ.เห็นด้วยนะสำหรับการแยกประเภทเด็กเก่งและเด็กอ่อน เด็กเก่งเราก็ต้องพัฒนาหาข้อสอบเข้า ม.๑ มาให้เด็กลองทำ เออ...แล้วครูปุ๊น่ะทำโครงการสอนเสริมนักเรียนศึกษาต่อ ม.๑ เข้ามาหรือยังล่ะ ส่วนงานของพชร เธอก็ต้องประเมินการอ่านตั้งแต่เปิดเรียนนี้เลย แล้วก็ประเมินทุกๆเดือนว่าเด็กมีพัฒนาการดีขึ้นแค่ไหน ถ้าเด็กของเราสามารถสอบเข้าโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอได้มาก ผ.อ.จะให้สองขั้นยกสายชั้นเลย” น้ำเสียงของผู้บริหารโรงเรียนคลายลงอย่างชัดเจน

“ขอบคุณครับ ผ.อ. ครูปุ๊และพวกเราทำโครงการเสนอขึ้นมาแล้ว คงจะอยู่ที่ฝ่ายวิชาการน่ะครับ ยังไงต้องลองถามผู้ช่วยวิชาการอีกทีหนึ่งนะครับ”

พชรยิ้มแต่ในใจนั้นคิดว่า “ทีแรกกะจะหาเรื่องฉัน พอฉันแก้ลำได้หน่อยทำมาเป็นลูบหลัง ไอ้สองขั้นน่ะเหรอ ก็เห็นมีแต่พวกรองมือรองตีนมันทั้งนั้นที่ได้กันอยู่ เด็กปอหกสอบได้ปีหนึ่งเกือบยกห้อง หนอย...จะมาหลอกว่าให้สองชั้น ตอแหลลงตับชิบเป๋ง”

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขออนุญาตไปโฮมรูมเด็กก่อนนะครับ”

“เชิญจ้ะ” พชรยกมือไหว้ ผ.อ.จิ๋มก่อนจะเดินออกจากห้องไป ในขณะที่ท่านผู้อำนวยการก็กลับไปง่วนอยู่ที่จอคอมพิวเตอร์ต่อ

“เป็นไงบ้าง พชร ผ.อ.ว่าอะไรบ้างล่ะ” ครูต้อมกับครูแฟงเข้ามาจับไม้จับมือด้วยท่าทีเป็นห่วง

“ไม่มีอะไรหรอกพี่ ปรึกษาเรื่องงานนิดหน่อย” พชรหันมายิ้มให้คนทั้งคู่ก่อนจะรีบเดินออกไป

“เรื่องอะไรจะบอกพวกแกล่ะ ได้เอาไปนินทากันสนุกปากล่ะสิ หนอย...ทำมาเป็นห่วง” ครูหนุ่มเดินพึมพำไปที่ห้องเรียนของตัวเอง มองนาฬิกาข้อมือบอกเวลาแปดโมงสี่สิบห้านาที

“เอ้า...นักเรียนเปิดหนังสือภาษาไทยไปที่หน้า ๑๕๖ ครับ และอ่านพร้อมๆกัน”

“แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน”

เสียงท่องอาขยานจากห้องที่ครูพชรสอนดังก้องไปทั้งอาคารสี่ เหมือนอยากจะให้ลมพัดผ่านลอดเข้าไปที่ห้องท่านผู้อำนวยการ

พักเที่ยงวันนั้นที่โรงอาหาร ครูแต้วยังคงเดินดูความเรียบร้อยของนักเรียนในการรับประทานอาหารกลางวัน โต๊ะยาวซึ่งจัดให้ครูนั่งทานข้าวเที่ยงอยู่นั้น เสียงซุบซิบดังมาจากกลุ่มครูรุ่นเดอะสี่ห้าคนในชุดผ้าไหมหรูหรา

“นี่เธอ ตอนนี้พี่เตรียมการประเมินเลื่อนเป็น คศ.๓ แล้วนะ จะส่งเมษาหน้านี่แหละ คราวนี้ถ้าพี่ทำผ่านนะ พี่จะเลี้ยงส้มตำน้องๆที่ช่วยพี่ทุกคนเลย” เสียงของป้าสมร ครูสอนงานบ้านอวดด้วยความภาคภูมิใจ

“แต่ฉันเห็นเธอส่งมาสามสี่รอบ แก้ตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ยังไม่เห็นจะผ่าน นี่เมษานี้ยังจะกล้าส่งอีกเหรอ” ป้าจินดา ครูคณิตศาสตร์ ป.๒ ถามเชิงหมั่นไส้ก่อนจะยกช้อนขึ้นซดน้ำแกงเลียง

“อ๋อ รอบนี้พี่ได้อาจารย์จากมหาลัยเป็นที่ปรึกษาจ้ะ รับรองว่าผ่านแน่นอน” ป้าสมรเกทับขึ้นมา

“ที่จริงน่ะป้าๆก็เงินเดือนมากแล้ว ไม่อยากจะทำหรอกนะ ให้เด็กรุ่นใหม่ๆทำจะดีกว่า ไอ้เราแก่ๆแบบนี้เปิดใช้คอมพ์ยังไม่คล่องเลย ไว้เวลาหนูๆทำวิทยฐานะแล้วมาปรึกษาป้าได้นะจ๊ะ” ป้าสมรส่งยิ้มหวานเลี่ยนๆชวนผะอืดผะอมมาที่กลุ่มครูรุ่นอายุแตะสามสิบนิดๆ ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ

“ค่ะ ป้าสมร” แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่างานของป้าสมรนั้นเป็นงานที่ “เมค”ขึ้นมาทั้งนั้น ไอ้หลักการและเหตุผลตลอดทฤษฎีต่างๆที่แกอ้างขึ้นมาก็จำคนอื่นเขามาพูดทั้งนั้น งานเอกสารก็จ้างเพื่อนทั้งนั้น เวลาสอนก็เข้าสาย ออกก่อนหมดชั่วโมง บางทีนึกจะไม่เข้าสอนในวิชาตัวเองเอาดื้อๆก็มี แต่อาศัยว่าเป็นคนสนิทของ ผ.อ. จึงไม่มีใครกล้าหือเพราะกลัวป้าสมรแกจะกลับดำเป็นขาวแกล้งครูรุ่นน้องอีก

“อ้อ แอ้จ๊ะ เดี๋ยวคาบงานบ้านของพี่น่ะ พี่ฝากห้อง ๔/๓ ด้วยนะจ๊ะ พอดีพี่จะเอางานไปปรึกษาอาจารย์ที่มหาลัยหน่อย” ป้าสมรหันมาทางครูแอ้ ครูประจำชั้นข้างห้องเพื่อฝากชั่วโมงสอนอีก นี่เป็นครั้งที่สามแล้วในรอบของการเปิดเทอมใหม่ที่ป้าสมรยังไม่เคยเข้าไปสอนห้อง ๔/๓ ที่ครูแอ้ประจำชั้นเลย

“ค่ะ ป้า เดี๋ยวหนูสอน ๔/๔ จะช่วยดูห้อง ๔/๓ ให้ค่ะ”

ยังไม่ทันที่ครูแอ้จะเริ่มทานข้าวเที่ยงต่อ เสียงประกาศจากเครื่องขยายเสียงโรงเรียนก็ดังขึ้นจากประชาสัมพันธ์สาวประจำโรงเรียน

“ประกาศนะคะ ขอเชิญหัวหน้าสายชั้นทุกสายชั้นประชุมพร้อมกันที่ห้องประชุมเวลาเที่ยงตรงค่ะ” ตามมาด้วยเสียงประกาศย้ำอีกครั้ง

( ชื่อตัวละครและเรื่องราวนี้เป็นแต่เรื่องสมมติขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงถึงผู้ใด หากได้ล่วงเกินแก่ใครก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ )

( โปรดติดตามตอนต่อไป )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น