ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติม...ที่นี่

Custom Search

วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สงครามกระดานดำ ตอน พรหมจรรย์แลกตำแหน่ง



“สร้อยแสงแดงพระพาย ขนเขียวลายระยับ ปีกสลับเบญจรงค์ เลื่อมลายยงหงสบาท เอ่อ เออ............” เสียงเพลงไทยเดิมแว่วมาจากห้องนาฏศิลป์ซึ่งปรากฏร่างของสตรีในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาวและโจงกระเบนสีแดงตามอย่างชุดฝึกซ้อมของนางรำทั่วไปยืนเด่นอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ สะท้อนเงาของนักเรียนหญิงชั้น ป.๖ ซึ่งอยู่ในชมรมนาฏศิลป์ประมาณ ๑๐ คน ปฏิบัติท่ารำตามอย่างที่ครูเรณูได้ฝึกซ้อม

“ฐิติมา แขนน่ะให้มันอ่อนช้อยหน่อยสิ โน่น แม่ฟองจันทร์ครูบอกแล้วใช่ไหมว่าเวลารำให้ยิ้มด้วย หน้าบึ้งเป็นถังข้าวหมูเชียว” ครูเรณูสำรวจท่ารำของนักเรียนแต่ละคนเพื่อเตรียมการแสดงในพิธีเปิดนิทรรศการทางวิชาการของกลุ่มโรงเรียนร่วมสหวิทยาเขต

ครูเรณู หรือ “ครูจุ๋ม”เป็นครูอัตราจ้างซึ่งทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้ส่งมาสอนแทนครูวิฬาร์วรรณซึ่งได้เกษียณอายุไปเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว ตัวเธอนั้นจัดว่าสวยสมศักดิ์ศรีบทนางสีดาประจำคณะศิลปกรรมศาสตร์ เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยมาได้ ๔-๕ ปี ดังนั้นจึงเป็นที่จับตามองเป็นพิเศษจากบรรดาครูผู้หญิงรุ่นพี่ว่าจะมีเรื่องราวข่าวคาวให้ซุบซิบนินทากันเหมือนคราวของครูฝนหรือไม่

“เฮ้ย...ไอ้บุ๊ง คราวนี้ไม่คิดจะแอ้มแม่นางสีดาคนงามหน่อยเหรอวะ” ครูโรจน์ซึ่งนั่งเอนหลังสบายอารมณ์ในศาลาข้างต้นโพคู่ถามขึ้น

“ไม่ไหวล่ะพี่ ลักษมีเล่นโทรเช็คผมตลอดเลย แถมยังตรวจเบอร์โทรในมือถือทุกวัน ลองว่ามีเบอร์แปลกๆมาล่ะก็เป็นต้องได้ซักไซ้ไล่เลียงผมให้จนมุมเลยล่ะ” ครูบุ๊งกล่าวถึงภรรยาสุดที่รักซึ่งเคยมาสร้างวีรกรรมในโรงเรียน

“แต่ว่าของแบบนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอกพี่ ช่วยไม่ได้เกิดมาหน้าตาดีก็แบบนี้แหละ” ครูบุ๊งยกมือขึ้นเสยผมก่อนจะเดินตรงไปยังห้องเรียนเพื่อสอนในชั่วโมงต่อไป

“เรณูจ๊ะ อย่าหาว่าผ.อ.หัวโบราณเลยนะ แต่ว่าการแต่งกายของหนู ผ.อ.ว่ามันค่อนข้างจะไม่เหมาะสมกับความเป็นครูนะจ๊ะ มันน่าจะไปเป็นสาวห้างหรือว่าพวกอะไรโคๆตี้ๆมากกว่า กระโปรงสั้นข้างยาวข้าง รองเท้าก็หัวเชิดเหมือนจะไปเป็นพระยาแรกนาได้เลยนะ” ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนพูดพลางสายตาก็สำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าครูนาฏศิลป์สาวหลังจากที่เซ็นชื่อในสมุดลงชื่อปฏิบัติราชการ

วันนี้ครูเรณูทำผมทรงทันสมัยและแต่งตัวเหมือนเดินออกมาจากนิตยสารแฟชั่นเล่มล่าสุดที่เพิ่งวางแผงเลยทีเดียว ในแววตาของ ผ.อ.จิ๋มนั้นเธอสามารถอ่านได้ว่าเป็นการตำหนิอย่างรุนแรงตามประสาคนรุ่นสงครามโลก

“พี่ริสาคะ พี่ว่าหนูแต่งตัวเป็นไงบ้างคะ” ครูเรณูถามครูริสาซึ่งสนิทสนมมากที่สุดในโรงเรียนในขณะที่หมุนตัวให้ดู

“ก็สวยดีนี่จ๊ะ ทำไมเหรอ” ครูริสาซึ่งกำลังหยิบเอกสารเตรียมจะไปสอนแสดงความคิดเห็น

“ก็ผ.อ.น่ะสิคะ บอกว่าหนูแต่งตัวไม่เหมาะสมกับความเป็นครู แถมว่าหนูน่าจะไปเต้นโคโยตี้มากกว่า” ครูนาฏศิลป์มีท่าทีไม่มั่นใจจนไม่กล้าไปสอนนักเรียน

“อุ๊ย....น้องเรณูอย่าไปคิดอะไรมากมายกับคนแบบนั้นเลยจ้ะ ตอนพี่มาแรกๆก็เคยถูกกระทบกระแทกแบบนี้แหละ รู้ไหมว่าพี่ทำยังไง” ครูริสาทิ้งช่วงให้เกิดความสงสัย

“พอวันรุ่งขึ้นพี่ก็ใส่เสื้อแขนยาวสีขาวมีลูกไม้ระบายที่แขนและข้อมือ ปิดคอปิดข้อมือแล้วก็สวมกระโปรงสีดำยาวถึงตาตุ่ม ใส่รองเท้าคัทชู แบบว่าถอดแบบครูไหวใจร้ายหรือครูระเบียบเดินมาเลยจ้ะ ปรากฏว่าครูรุ่นป้าๆเลิกพูดถึงเรื่องการแต่งตัวของพี่ไปเลยล่ะจ้ะ” ครูริสาเล่าเรื่องที่เคยประสบกับตัวเองเมื่อ ๗-๘ปีที่แล้วให้ครูรุ่นน้องฟัง ครูเรณูจินตนาการแล้วอดหัวเราะไม่ได้ รู้สึกใจชื้นขึ้นจึงเดินออกไปสอนนักเรียนอย่างมั่นใจ

คนเราบางครั้งไม่ได้ไปหาเรื่องใครแต่เรื่องก็กลับวิ่งมาชนเราเองก็มีอยู่บ่อยครั้งไป เช่นเดียวกับครูเรณูซึ่งเพิ่งจะมาสอนได้ไม่นาน ครูต้อมปากปีจอที่บรรดาครูตั้งสมญานามให้นั้นก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างเข้มแข็งไปขุดหาข่าวของครูสาวมารายงานให้ผ.อ.ทราบและไม่ลืมที่จะตีฆ้องร้องป่าวคนอื่นๆด้วย

“เมาท์ค่ะเมาท์ รู้ข่าวเด็ดประจำวันนี้หรือยังจ๊ะ รับรองว่าทุกคนรู้แล้วต้องอึ้งแน่นอน” ครูต้อมหยิบเก้าอี้เพื่อนั่งลงข้างๆครูจินดากับครูสมรที่หันมามองเป็นตาเดียวกัน

“ฉันรู้แล้วล่ะว่าแม่เรณูหรือน้องจุ๋มที่รักของพี่มัทนาน่ะเค้าใหญ่มาทางเส้นไหน” ครูต้อมแกล้งพูดเน้นน้ำหนักเสียงเพื่อให้ครูมัทนาซึ่งกำลังคุยอยู่กับครูแอ้และครูกรรณิการ์หันมาฟัง

“แม่เรณูนั่นนะเค้าเป็นเด็กของผู้ช่วยฯเกษมนี่เองค่ะ ได้ข่าวว่าไปรู้จักกันที่โรงแรมที่เรณูเค้าเป็นนักแสดงประจำอยู่ แล้วไม่รู้ไปหว่านล้อมอีท่าไหนเลยได้เข้ามาอยู่ในโรงเรียนนี้แหละค่ะ” ครูต้อมส่งเสียงเจื้อยแจ้วอย่างได้อรรถรสโดยไม่ได้สนใจกับสีหน้าของครูมัทนาที่ส่งสายตาขยะแขยงเหมือนเห็นกองอาจมส่งกลิ่นเน่าบูดมาเตะจมูก

อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่แค่ไหนแม้แต่เรื่องเม็ดข้าวหล่นในโรงอาหารที่มีคนพลุกพล่านก็จะกลายเป็นที่รับทราบของทุกคนในทันทียิ่งกว่าไฟลามทุ่ง

“จำไว้เลยนะแอ้ อย่าเที่ยวเผลอพูดอะไรกับใครไปพล่อยๆล่ะ คนในโรงเรียนนี้น่ะเห็นๆกันอยู่ พี่ไม่อยากพูด” ครูมัทนาหันกลับมาสอนบทเรียนให้กับครูแอ้ก่อนจะเดินออกจากโรงอาหารไปยังห้องพักครูสายชั้น ป.๔

และจากการรายงานข่าวของครูต้อมในวันนั้น ทำให้ทุกคนจับตามองครูเรณูเป็นพิเศษ แม้แต่ครูริสาซึ่งถือว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดแล้วก็อดที่จะระแคะระคายไม่ได้

“จุ๋มจ๊ะ เที่ยงนี้ไปนั่งกินน้ำเย็นๆที่ร้านป้าสกาวไหมจ๊ะ ร้านนี้เค้าทำน้ำผลไม้อร่อยมากเลยนะ” ครูริสาเข้าไปทักครูเรณูที่ระเบียงทางเดินระหว่างอาคารสามและสี่

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ริสา พอดีเที่ยงนี้จุ๋มมีนัดค่ะ” ครูเรณูตอบเลี่ยงๆไม่ได้สบตาครูรุ่นพี่แล้วก็รีบเดินจากไปทันที

ที่ร้านของป้าสกาวหรือสภากาแฟของครูโรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”อีกร้านหนึ่งนอกจากร้านป้าพะยอม ครูโรจน์ ครูสมจินต์ ครูวิรุณและครูวิชาญกำลังนั่งคุยกันโดยมีเครื่องดื่มเย็นๆกันคนละแก้ว ครูวิรุณที่ไม่บ่อยนักที่จะออกจากห้องคอมพิวเตอร์มาได้สะกิดครูวิชาญที่กำลังส่องพระเครื่องอยู่อย่างร้อนรน

“ดูๆเร็วไอ้ชาญ ของดีเว้ย” ครูทั้งโต๊ะไปตามนิ้วของครูวิรุณที่ชี้ไปยังบุคคลสองคน คนหนึ่งคือ ผู้ช่วยฯเกษมที่ทำท่าลับๆล่อๆอยู่ถนนฝั่งตรงข้ามร้านป้าสกาว ส่วนอีกคนคือ ครูเรณูซึ่งรีบวิ่งมาที่รถของผู้ช่วยฯฝ่ายปกครองอย่างรวดเร็วก่อนจะออกรถไปในฉับพลัน

“น่าเสียดายจริงๆ นางสีดานารียอมให้ทศกัณฐ์เจาะไข่แดงฟรีๆเองแล้วเหรอนี่” ครูวิชาญรำพึงกับตัวเองในขณะที่ในสมองก็จินตนาการไปไกลลิบ
ที่ห้องพักครูสายชั้น ป.๖ ครูปุ๊กับครูริสานั่งปรึกษางานเรื่องงานนิทรรศการโรงเรียนกันอยู่ ครูริสาจึงเอ่ยถามหัวหน้าสายชั้น ป.๖

“พี่ว่าเรื่องของน้องจุ๋มนี่จริงหรือเปล่าคะ” ครูริสาเงียบเสียงลงเมื่อนักเรียนเอาสมุดการบ้านมาส่ง เมื่อนักเรียนเดินออกจากห้องพักครูไปจึงได้กลับเข้าบทสนทนาต่อ

“พี่ว่าน่าจะมีมูลนะ เพราะครูพชรเค้าก็บอกว่าเห็นครูเรณูนั่งรถยนต์ของผู้ช่วยฯเกษมผ่านหน้าร้านตอนเย็นอยู่บ่อยๆ”

“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ เห็นหน้าใสๆแบบนั้นไม่คิดเลยว่าจะใจกล้าขนาดนั้น” ครูริสากล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวัง

“ชีวิตใครชีวิตมัน เค้าเลือกเส้นทางนี้แล้วล่ะ” ครูปุ๊หันกลับไปจดบันทึกการจัดกิจกรรมต่อ

หลังจากนั้นไม่นานมีหนังสือสั่งการจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้พิจารณาครูอัตราจ้างเพื่อบรรจุเป็นพนักงานราชการ ปรากฏว่าชื่อของครูเรณูมีในรายชื่อที่ส่งฝ่ายธุรการด้วย

“พี่เกษมคะ เรณูเค้ายังขาดเวลาปฏิบัติงานอยู่เกือบสองเดือนนะคะ ไม่เข้าคุณสมบัติแบบนี้ทำไมส่งชื่อเข้ามาได้ล่ะ” ผู้ช่วยฯเครือวัลย์ซึ่งควบตำแหน่งฝ่ายธุรการด้วยคัดค้านในห้องวิชาการเมื่อครูกุ๊กนำหนังสือราชการมาให้เซ็น

“ส่งชื่อไปเหอะวัลย์ เดี๋ยวพี่เคลียร์ทางผู้ใหญ่เอง” ผู้ช่วยฯเกษมทำหน้าฉุนก่อนจะปิดประตูกระจกห้องวิชาการเสียงดัง “ปัง!”

ผ่านไปไม่นานคำสั่งบรรจุแต่งตั้งก็มาถึงและก็เป็นไปตามที่คาดไว้ มีชื่อของ นางสาวเรณู ลิมปิกรนันท์ หรือครูจุ๋ม อยู่ในนั้นด้วย หลังจากคำสั่งฉบับนั้นปรากฏว่า ทุกสิ่งทุกอย่างของเธอพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการสอนที่จะเข้าสอนเฉพาะเมื่อถึงชั่วโมงตัวเองเท่านั้น ไม่สนใจหรือเกรงใจใครในโรงเรียนแม้แต่น้อย ชนิดที่ว่าข้ามหัว ผ.อ.จิ๋มไปเลยทีเดียว ส่วนในชั่วโมงว่างก็จะนั่งชูคอเป็นตุ๊กตาหน้ารถของผู้ช่วยฯเกษมออกไปช้อปปิ้งข้างนอกทุกวัน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็หรูหราฟู่ฟ่า ทันสมัยที่สุดยิ่งกว่าเมื่อตอนที่ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนได้ตักเตือนเสียอีก จะทำอย่างไรได้ก็ผู้ช่วยฯเกษมนั้นกว้างขวางในหมู่ผู้มีอำนาจหลายท่านซึ่ง ผ.อ.จิ๋มยังสามารถเก็บไว้ใช้งานได้อยู่ และแล้วธาตุแท้ของครูนาฏศิลป์สาวก็เผยโฉมออกมา

“พี่ปุ๊คะ น้องไม่อยากเชื่อเลยนะคะว่าคนเรามันจะเปลี่ยนกันได้ถึงขนาดนี้” ครูริสาอดีตเพื่อนสนิทของครูเรณูบ่นอย่างเซ็งๆกับครูปุ๊

“สันดานหมายังไงมันก็อดกินขี้ไม่ได้หรอก ริสา ทองชุบยังไงซักวันมันก็ต้องลอก” ครูปุ๊ที่นั่งอ่านนิตยสารซุบซิบบันเทิงพูดขณะที่สายตากำลังจดจ่อกับคอลัมน์ดูดวงรายสัปดาห์

“แต่จะไปได้ซักกี่น้ำล่ะ รู้ๆกันอยู่ว่าผู้ช่วยฯเกษมน่ะหนี้สินท่วมหัว ครูพรรณีเอย เถ้าแก่เส็งเอย เจ๊กิมเอยตามทวงหนี้ยิกๆอยู่ทุกเดือน คอยหัวเราะวันที่นางอุทัยเทวีตกจากวอดีกว่า” ครูปุ๊วางนิตยสารลงหลังจากพอใจกับคำทำนายประจำสัปดาห์นี้

เสียงรถยนต์คันงามของผู้ช่วยฯเกษมขับผ่านหน้าอาคารเรียนหนึ่งไปชนิดฝุ่นตลบโดยไม่กลัวว่าจะชนนักเรียนที่กำลังเล่นกันอยู่ในสนามฟุตบอล ภายในเห็นหญิงสาวอายุคราวลูกนั่งอยู่เคียงข้าง ม่านสีกรมท่าจากห้องทำงานของ ผ.อ.จิ๋มแง้มออกครู่หนึ่งก่อนจะปิดลงดังเดิม

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น