เรื่องเล่าในคราวนี้เป็นประสบการณ์ตรงของข้าพเจ้าจริงๆ มิได้อ้างอิงมาจากหนังสือเล่มใดเลย เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าได้สอน ณ โรงเรียนประจำอำเภอแห่งหนึ่งในจังหวัดพังงา ก่อนที่จะสอบบรรจุได้นั้น มีเหตุการณ์หนึ่งซึ่งข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมตลอดชีวิต คือ การตัดสินกลอนเนื่องในวันสุนทรภู่นั้นมีนักเรียนคนหนึ่งได้แต่งกลอนเข้าร่วมประกวด ข้าพเจ้ายึดกฎตายตัวของการตัดสินโดยทั่วไป คือ หากสัมผัสผิดก็คัดทิ้ง จะไม่นำมาพิจารณา คุณครูภาษาไทยก็ทราบดี หากแต่กลอนของนักเรียนคนนี้ทุกวรรคนั้นถือว่าแต่งดี แต่มาติดตรงสัมผัสบังคับในกลอนคำสุดท้ายในวรรคที่สองของบทที่สอง กับ คำสุดท้ายของวรรคที่สามของบทที่สอง เขาได้ใช้สัมผัสเผลอ (ซึ่งข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงต่อไป) ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องนี้ทำให้ข้าพเจ้าต้องไปขอค้นหลักเกณฑ์การตัดสินจากการแข่งขันกลอนในระดับประเทศจากหลายๆแห่งและจากคำแนะนำของอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่งซึ่งมีความรู้ด้านฉันทลักษณ์อย่างยิ่ง เรื่องราวจึงได้ยุติ (เพราะป้าและแม่ของเขานั้นเป็นครูภาษาไทยเช่นเดียวกันกับข้าพเจ้าและกล่าวหาว่าข้าพเจ้าเป็นคนไม่มีความรู้) มาถึงตอนนี้ข้าพเจ้าจะขออธิบายคำว่า “สัมผัสเผลอ”ให้ฟังกันเสียที ขอยกคำกลอนของ “ช่อประยงค์”ดังนี้
“สัมผัสหนึ่งซึ่งจัดสัมผัสเผลอ
คล้ายความเซ่อห่างจุดที่ผุดผ่อง
สัมผัสเผลอเจอน้อยในร้อยกรอง
สัมผัสเผลอเจอน้อยในร้อยกรอง
อ่านดูคล่องแต่ว่าหาต้องการ
มีตัวอย่างอ้างอิงเห็นจริงอยู่
มีตัวอย่างอ้างอิงเห็นจริงอยู่
แทบไม่รู้เผลอไผลใครได้อ่าน
ด้วยสำเนียงเสียงนี้ไม่มีคาน
ด้วยสำเนียงเสียงนี้ไม่มีคาน
กลอนโบราณมีมากลากไปตาม
โอ้ท้องฟ้าครามองหมองหม่นไหม้
โอ้ท้องฟ้าครามองหมองหม่นไหม้
ท้องฟ้าไร้จันทร์ส่องมองวาบหวาม
มองกระแสแม้ใสไม่ได้ความ
มองกระแสแม้ใสไม่ได้ความ
มีแต่น้ำตื่นต้องฟองระรัว
คำว่า “ความ”กับ “น้ำ”ที่สัมผัส
คำว่า “ความ”กับ “น้ำ”ที่สัมผัส
ผิดบัญญัติอักษรน่ายิ้มหัว
สัมผัสนี้ที่มานั้นน่ากลัว
สัมผัสนี้ที่มานั้นน่ากลัว
จะเผลอตัวว่าเสียงสำเนียงเดียว”
การใช้สัมผัสเผลอนั้นในปัจจุบันยังพบใช้กันอยู่ในการแต่งกลอนพื้นบ้าน เช่น กลอนปฏิพากย์ แต่หากเป็นกลอนแบบถูกต้องตามฉันทลักษณ์นั้นถือว่า “ผิด”ทีเดียว หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทเรียนของข้าพเจ้าจะเป็นตัวอย่างที่ดีในการสอนของท่าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น