วันนี้มีหนังสือ(ไม่)ดีหนึ่งเล่มมาอวดท่านผู้ชมครับ ปกติหนังสือประเภทนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเอาออกมาอวดกัน เพราะมักจะเป็นมรดกตกทอดจากมือสู่มือเรื่อยๆ และเมื่อถูกใช้งานจนหนำใจแล้วก็มักจะอันตรธานหายไป
หนังสือโป๊เรื่อง “พยัคฆ์สาว”โดย “ไอ้แดง”เล่มนี้จัดว่าอยู่ในยุค “หนังสือปกขาว” คือ หนังสือโป๊สมัยก่อนส่วนปกนั้นจะไม่มีการพิมพ์ใดๆทั้งสิ้นจะมีเพียงปกสีขาวเท่านั้น เป็นที่รู้กันในหมู่หนุ่มรุ่นกระทง แต่เล่มนี้เริ่มมีการพิมพ์ปกหน้าด้วยการใช้นางแบบที่ค่อนข้างวาบหวิว(สำหรับยุคนั้น) บางคนอาจจะว่ามันวาบหวิวตรงไหน แต่ขอบอกเกร็ดสนุกๆให้ว่า แค่หนังสือบรรยายว่าผู้ชายจูบปากผู้หญิงแล้วหรือหนังมีฉากหอมแก้มเฉยๆ คนสมัยก่อนก็ถือว่า “โป๊”แล้ว ไม่เหมือนหนังสมัยนี้ที่บางครั้งดุเดือดกว่าหนังโป๊จริงๆเสียอีก
ถามว่าหนังสือโป๊นั้นมีมาตั้งแต่สมัยใด ก็ยืนยันได้เลยว่ามีมาตั้งแต่ที่มนุษย์เริ่มมีวัฒนธรรมนะสิครับ และก็ไม่ใช่มีแต่เรื่องเพศแบบหญิงชายอย่างเดียวนะครับ เรื่องของรักร่วมเพศก็มีปรากฏมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว อย่างที่ซากเมืองปอมเปอีก็ปรากฏภาพการร่วมเพศระหว่างชายกับชาย , หญิงสาวกับสุนัข หรือแม้แต่ในพระไตรปิฎกก็ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับการที่พระสงฆ์เสพเมถุนกับสัตว์หรือเสพเมถุนทางเวจมรรค จนพระพุทธเจ้าต้องทรงบัญญัติข้อห้ามขึ้น (เล่าตามพระไตรปิฎกนะครับ ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นหรือลบหลู่)
ส่วนภาพโป๊นั้นเริ่มมีตั้งแต่เมื่อไร ก็ตอบได้อีกเช่นกันว่าก็ตั้งแต่เริ่มมีกล้องถ่ายรูปนั่นล่ะครับ จะว่าผมโชคดีหรือเปล่าไม่ทราบไปเห็นตัวอย่างภาพโป๊ของฝรั่งยุคแรกๆเข้า แต่พอจะเขียนบทความนี้กลับค้นไม่พบเสียนั่น เอาเป็นว่าถ้าหาพบแล้วจะเอามาอวดก็แล้วกัน
หวนกลับมาเรื่องของวรรณกรรมไทยบ้างว่าเล่มใดเข้าข่าย “วรรณกาม”บ้าง ก็ขอบอกกันอย่างชัดเจนเลยว่าเกือบจะทุกเรื่องล้วนมีแต่บทอัศจรรย์ทั้งสิ้น ยิ่งเรื่อง “ลิลิตพระลอ”แล้วนับว่ามีบทร่วมเพศที่โลดโผนที่สุดถึงกับขนาดที่ว่าสมัย ๑๔ ตุลานั้นถือว่าเป็น “วรรณกรรมต้องห้าม”เลยทีเดียว
เรื่องต่อมาคือ “ขุนช้างขุนแผน”ฉบับก่อนที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจะชำระนะครับ เดี๋ยวนี้ยังพอมีนักวิชาการหลายท่านนำมาเผยแพร่บ้าง อ่านแล้วเกร็งเลยล่ะครับ (ยังมีสมุทรโฆษคำฉันท์,กาพย์พระไชยสุริยา,พระอภัยมณี,...........หรือวรรณกรรมไทยถิ่นใต้เรื่อง “สรรพลี้หวน”ที่ถือว่าเป็นสุดยอดของวรรณกามเลยก็ว่าได้)
แม้แต่ในหนังสือ “ตำราพรหมชาติ”ยังมีการกล่าวถึงตำราดูองคชาติและโยนีศาสตร์ และเมื่อสองสามปีที่แล้วสำนักพิมพ์มติชนยังได้ตีพิมพ์หนังสือ “ผูกนิพพานโลกีย์”เผยแพร่ ท่านที่สนใจก็ลองไปค้นหาอ่านกันดูนะครับ บอกเสียหมดมันก็ไม่สนุกน่ะสิครับ
หนังสือโป๊เรื่อง “พยัคฆ์สาว”โดย “ไอ้แดง”เล่มนี้จัดว่าอยู่ในยุค “หนังสือปกขาว” คือ หนังสือโป๊สมัยก่อนส่วนปกนั้นจะไม่มีการพิมพ์ใดๆทั้งสิ้นจะมีเพียงปกสีขาวเท่านั้น เป็นที่รู้กันในหมู่หนุ่มรุ่นกระทง แต่เล่มนี้เริ่มมีการพิมพ์ปกหน้าด้วยการใช้นางแบบที่ค่อนข้างวาบหวิว(สำหรับยุคนั้น) บางคนอาจจะว่ามันวาบหวิวตรงไหน แต่ขอบอกเกร็ดสนุกๆให้ว่า แค่หนังสือบรรยายว่าผู้ชายจูบปากผู้หญิงแล้วหรือหนังมีฉากหอมแก้มเฉยๆ คนสมัยก่อนก็ถือว่า “โป๊”แล้ว ไม่เหมือนหนังสมัยนี้ที่บางครั้งดุเดือดกว่าหนังโป๊จริงๆเสียอีก
ถามว่าหนังสือโป๊นั้นมีมาตั้งแต่สมัยใด ก็ยืนยันได้เลยว่ามีมาตั้งแต่ที่มนุษย์เริ่มมีวัฒนธรรมนะสิครับ และก็ไม่ใช่มีแต่เรื่องเพศแบบหญิงชายอย่างเดียวนะครับ เรื่องของรักร่วมเพศก็มีปรากฏมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว อย่างที่ซากเมืองปอมเปอีก็ปรากฏภาพการร่วมเพศระหว่างชายกับชาย , หญิงสาวกับสุนัข หรือแม้แต่ในพระไตรปิฎกก็ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับการที่พระสงฆ์เสพเมถุนกับสัตว์หรือเสพเมถุนทางเวจมรรค จนพระพุทธเจ้าต้องทรงบัญญัติข้อห้ามขึ้น (เล่าตามพระไตรปิฎกนะครับ ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นหรือลบหลู่)
ส่วนภาพโป๊นั้นเริ่มมีตั้งแต่เมื่อไร ก็ตอบได้อีกเช่นกันว่าก็ตั้งแต่เริ่มมีกล้องถ่ายรูปนั่นล่ะครับ จะว่าผมโชคดีหรือเปล่าไม่ทราบไปเห็นตัวอย่างภาพโป๊ของฝรั่งยุคแรกๆเข้า แต่พอจะเขียนบทความนี้กลับค้นไม่พบเสียนั่น เอาเป็นว่าถ้าหาพบแล้วจะเอามาอวดก็แล้วกัน
หวนกลับมาเรื่องของวรรณกรรมไทยบ้างว่าเล่มใดเข้าข่าย “วรรณกาม”บ้าง ก็ขอบอกกันอย่างชัดเจนเลยว่าเกือบจะทุกเรื่องล้วนมีแต่บทอัศจรรย์ทั้งสิ้น ยิ่งเรื่อง “ลิลิตพระลอ”แล้วนับว่ามีบทร่วมเพศที่โลดโผนที่สุดถึงกับขนาดที่ว่าสมัย ๑๔ ตุลานั้นถือว่าเป็น “วรรณกรรมต้องห้าม”เลยทีเดียว
เรื่องต่อมาคือ “ขุนช้างขุนแผน”ฉบับก่อนที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจะชำระนะครับ เดี๋ยวนี้ยังพอมีนักวิชาการหลายท่านนำมาเผยแพร่บ้าง อ่านแล้วเกร็งเลยล่ะครับ (ยังมีสมุทรโฆษคำฉันท์,กาพย์พระไชยสุริยา,พระอภัยมณี,...........หรือวรรณกรรมไทยถิ่นใต้เรื่อง “สรรพลี้หวน”ที่ถือว่าเป็นสุดยอดของวรรณกามเลยก็ว่าได้)
แม้แต่ในหนังสือ “ตำราพรหมชาติ”ยังมีการกล่าวถึงตำราดูองคชาติและโยนีศาสตร์ และเมื่อสองสามปีที่แล้วสำนักพิมพ์มติชนยังได้ตีพิมพ์หนังสือ “ผูกนิพพานโลกีย์”เผยแพร่ ท่านที่สนใจก็ลองไปค้นหาอ่านกันดูนะครับ บอกเสียหมดมันก็ไม่สนุกน่ะสิครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น