คืนนั้นเวลาประมาณ ๑ ทุ่ม อากาศร้อนอบอ้าวเหมือนกับว่าจะมีฝนตกในไม่ช้า “เปรียว”ยืนชะเง้อคอยรถโดยสารที่เพื่อนๆเหมามาเพื่อไปร่วมงานศพของญาติพนักงานที่บริษัทคนหนึ่ง แต่เวลาก็ผ่านไปอย่างเชื่องช้า รถยนต์และจักรยานยนต์ผ่านไปคันแล้วคันเล่า เธอแต่งตัวเสร็จตั้งแต่ ๖ โมงครึ่งแต่ทว่าจนป่านนี้แล้วก็ยังไม่มีวี่แววของรถโดยสารที่เหมามาแม้แต่น้อย เปรียวตัดสินใจว่า ถ้าเกิดอีก ๑๕ นาทีรถยังไม่มา เธอก็คงจะกลับบ้านซึ่งต้องเดินเข้าซอยเปลี่ยวไปประมาณ ๑๐๐ เมตร เธอทนรออยู่อีกประมาณ ๕ นาที เสียงบีบแตรรถโดยสารดังมาแต่ไกล แสงไฟหน้ารถสาดกระทบใบหน้าจนเธอต้องหลับตา และแล้วรถโดยสารกลางเก่ากลางใหม่ก็มาจอดอยู่หน้าศาลาคอยรถโดยสารที่เธอยืนอยู่มาเกือบ ๑ ชั่วโมงแล้ว
“เอ้า....หนูจะไปงานศพหรือเปล่า ขึ้นรถมาเร็วๆ” ชายวัยกลางคนที่เป็นคนขับรถตะโกนเรียกเธอพร้อมทั้งกวักมือเร่งให้เธอก้าวขึ้นรถโดยฉับพลัน
เมื่อเปรียวได้ที่ว่างบนรถโดยสารแล้วเธอก็สังเกตว่าบนรถที่เธอนั่งไปนั้นไม่มีคนที่เธอรู้จักเลย ผู้หญิงวัยกลางคนหยอกล้อกับเด็กหญิงหน้าตาน่ารักซึ่งคงเป็นลูกสาวของเธอ ชายหนุ่มท่าทางคล้ายนักธุรกิจกำลังง่วนอยู่กับหนังสือเล่มโต เด็กนักเรียนชายประมาณชั้นมัธยมปลายคนหนึ่งก็กำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างลงในสมุดการบ้าน หญิงสาวหน้าตายุ่งก็กำลังมองแหวนเพชรที่สวมอยู่ในมือของตนเองโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เธอสังเกตเห็นว่าทุกคนแต่งกายด้วยชุดที่เหมือนกันคือ สวมเสื้อสีขาวและนุ่งผ้าถุงหรือกางเกงสีดำด้วยกันทั้งสิ้น
ครั้นเมื่อเธอจะถามใครต่อใครหรือแม้แต่คนขับรถก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆทั้งสิ้น เปรียวตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง รวบรวมความกล้าถามคุณยายท่าทางใจดีที่นั่งตรงกันข้ามกับเธออีกครั้งหนึ่ง
“ขอโทษนะคะ คุณยาย รถคันนี้จะไปงานศพคุณแม่ของอุทัยวรรณหรือเปล่าคะ” หญิงชรายิ้มกับเปรียวพร้อมทั้งพยักหน้าเบาๆแต่ไม่มีคำพูดใดๆออกมาทั้งสิ้น
ความอึดอัดเริ่มเกิดขึ้นกับเธอ ในสถานการณ์แบบนี้ยากนักที่เปรียวจะตัดสินใจได้ รถโดยสารยังคงแล่นต่อไปเรื่อยๆ เปรียวสังเกตสองข้างทางนั้นมีลักษณะคล้ายป่ายางยามที่ถึงฤดูผลัดใบ มันดูแห้งแล้งไปหมดคล้ายกับจะทำให้หัวใจที่เคยชุ่มชื้นนั้นเหี่ยวแห้งเหมือนใบไม้กรอบๆในฉับพลัน แสงสว่างของคืนข้างแรมนั้นชวนให้หญิงสาววัย ๒๙ ที่นั่งมาในรถโดยสารโดยที่ไม่รู้จักใครสักคนนั้นหวาดหวั่น แต่ด้วยดูสีหน้าท่าทางของผู้โดยสารในรถแล้วที่ดูไม่น่าจะเป็นที่อันตรายและการพยักหน้ารับคำของหญิงชรานั้นก็ทำให้เธอข่มสติอารมณ์ลงได้
เวลาผ่านไป ๒๐ นาทีรถโดยสารก็มาจอดยังลานวัดที่จัดงานศพ ผู้โดยสารทยอยลงจากรถ คุณยายที่เปรียวถามเมื่อสักครู่นี้หิ้วตะกร้าสานบรรจุเชี่ยนหมากไว้ภายในท่าทางงกๆเงิ่นๆค่อยๆก้าวลงจากรถ เปรียวช่วยประคองลงมา จนกระทั่งคุณยายเดินห่างออกไปได้ระยะหนึ่งเธอก็หันกลับมายังรถโดยสาร แต่บัดนี้กลับอันตรธานหายไปอย่างไร้วี่แวว
“เอ๊ะ....แล้วรถมันขับออกไปทางไหนนะ ก็ถนนมันก็ต้องออกทางนี้ทางเดียว” เปรียวนึกฉงนในใจ
รอบๆตัวของเปรียวนั้นมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ คล้ายกับจะมีงานวัดหรืออะไรสักอย่าง ผู้คนแต่งกายด้วยเสื้อสีขาวและนุ่งผ้าถุงหรือสวมกางเกงสีดำคล้ายๆกัน กลิ่นหอมอ่อนๆพัดต้องจมูกเธอเป็นระยะๆ ชาวบ้านเหล่านั้นจับกลุ่มเหมือนกำลังสนทนาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันอยู่เฉกเช่นการพบปะกันโดยทั่วไป หูของเปรียวเหมือนกับจะได้ยินเสียงอึกทึกอื้ออึง เสียงหัวร่อต่อกระซิก แต่ทว่าก็ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นแหล่งกำเนิดเสียงได้ เพราะผู้คนเหล่านั้นดูเหมือนจะสื่อสารกันด้วยแววตามากกว่าการพูด
เปรียวเดินไปรอบๆวัดด้วยความสับสน ครั้นจะออกปากถามใคร ทุกคนก็ไม่มีท่าทีจะโต้ตอบกับเธอเลย เปรียวเหมือนอากาศธาตุที่ไร้ตัวตนในวัดนั้นเสียมากกว่า เธอเดินไปเดินมาด้วยความกังวลจนมาหยุดที่ร้านขายของชำร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณวัด คุณตาสวมเสื้อสีขาวร่องสีน้ำตาลสวมแว่นกระกำลังถือไม้ขนไก่ปัดแผงจำหน่ายสินค้าอยู่โดยมีคุณยายสวมเสื้อสีบานเย็นตาหมากรุกเล็กๆร่องสีขาวที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆนั้นกำลังกินข้าวกับหลนปลาร้าและผักลวกอยู่ เปรียวมีความรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากับทั้งคู่มาก จึงตัดสินใจตรงเข้าไปถามว่า
“คุณตาคะ คุณยายคะ พอจะมีโทรศัพท์ไหมคะ หนูจะโทร.ให้แฟนมารับค่ะ สงสัยว่าหนูจะขึ้นรถมาผิดวัดค่ะ” น้ำเสียงของเปรียวสั่นเครือเหมือนกับหญิงและชายชรานั้นจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเธอแล้ว
หญิงและชายชรานั้นไม่ตอบอะไรทั้งสิ้นแต่ชี้ไปที่อุโบสถหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางวัด เปรียวเดินเข้าไปในบริเวณพัทธสีมาและสังเกตเห็นว่ามีผู้คนกำลังประกอบพิธีคล้ายการเวียนเทียน ทั้งๆที่เปรียวสังเกตว่าคืนนั้นเป็นคืนข้างแรม เธอแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าซึ่งบัดนั้นกลับมีแสงจันทร์วันเพ็ญส่องแสงนวลตาในฉับพลัน แสงนวลนั้นลอดผ่านประตูอุโบสถไปกระทบพระพักตร์ขององค์พระพุทธรูป โสตประสาทของเปรียวรับรู้ถึงเสียงสวดมนต์แว่วมาแต่ไกลๆ สะกดให้เธอเดินตามเสียงนั้นเข้าไปในโบสถ์ เมื่อเท้าก้าวแรกของเธอกระทบเข้ากับพื้นอุโบสถด้านใน พลันก็มีแรงผลักจากอะไรสักอย่างมากระทบกับหน้าอกเธอ
“ปึ้ก” มือของใครคนหนึ่งพาดกลางหน้าอกของเปรียว เธอสะดุ้งเฮือก
“ฮื้อ...ตายจริง ยัยปอย นอนดิ้นอีกแล้ว” เปรียวลืมตาขึ้นในความมืดแล้วค่อยๆยกมือของน้องสาวที่มานอนเป็นเพื่อนที่บ้านเนื่องจากสามีของเปรียวไปราชการต่างจังหวัด เธอทบทวนเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้แล้วรำพึงกับตัวเองเบาๆ
“เราฝันไปเหรอนี่”
เปรียวค่อยๆเอามือยันร่างตัวเองขึ้นเพื่อออกจากห้องนอนไปล้างหน้าล้างตาเนื่องจากนอนไม่หลับ เมื่อหันไปดูนาฬิกาบอกเวลาตีสามแล้ว แต่ก่อนที่เธอจะเดินไปเข้าห้องน้ำนั้นสายตาก็เหลือบไปมองภาพถ่ายขนาดใหญ่ใส่กรอบทอง ๒ ภาพซึ่งแขวนอยู่ใกล้ๆหิ้งพระ เป็นภาพชายชราสวมเสื้อสีขาวร่องสีน้ำตาลและภาพหญิงชราสวมเสื้อสีบานเย็นตาหมากรุกเล็กๆร่องสีขาวส่งสายตายิ้มอย่างอ่อนโยนมาที่เธอ
“คุณปู่.......คุณย่า”
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
หมายเหตุท้ายเรื่อง
( แดนสามัญชน คือสถานที่ที่ดวงวิญญาณบริสุทธิ์อาศัยอยู่เพื่อรอเวลาของการไปเกิดยังภพภูมิใหม่ มีลักษณะคล้ายกับเมืองๆหนึ่ง ดวงวิญญาณจะประกอบอาชีพเหมือนกับตอนที่ยังมีชีวิต การแต่งกายก็แล้วแต่ตามยุคสมัยที่บุคคลนั้นเคยใช้ชีวิตในชาติที่แล้ว)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น