ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติม...ที่นี่

Custom Search

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สงครามกระดานดำ ตอน หลักฐานจอมปลอม



วันนี้ผู้ช่วยฯเครือวัลย์และครูกุ๊กนั่งปรึกษากันเงียบๆอยู่ในห้องวิชาการ ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติมากเพราะผู้ช่วยฯเครือวัลย์นั้นไม่ค่อยที่จะควักกระเป๋าเลี้ยงอาหารเช้าใครง่ายๆแต่ว่าวันนี้ครูกุ๊กกลับได้กินน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋กับขนมขบเคี้ยวอื่นอีกสองสามอย่าง ครูกรรณิการ์เห็นภาพดังกล่าวแล้วแต่ไม่ได้แปลกใจอะไรมากมาย เนื่องจากอีกไม่นานเจ้าหน้าที่จากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินก็จะเข้ามาตรวจสอบงบประมาณของโรงเรียน ครูกรรณิการ์นำเอกสารไปวางที่โต๊ะหัวหน้างานวิชาการก่อนที่จะออกไปข้างนอกเพื่อให้สองคนที่ชะงักบทสนทนานั้นได้พูดกันต่อ

เรื่องของงบประมาณต่างๆนั้นดูจะเป็นตัวเลขจำนวนหลายหลักแต่ที่เห็นๆคือ ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม ครูที่เป็นเจ้าของโครงการนั่นแหละต้องควักกระเป๋าเองแทบทั้งนั้น

“ไงล่ะ ครูพชร เรื่องของการประเมินนักเรียนที่อ่านหนังสือไม่ออกไปถึงไหนแล้ว นี่ครูเป็นหัวหน้าสาระภาษาไทยมาหลายปีแล้วเมื่อไหร่จะขจัดนักเรียนที่อ่านหนังสือไม่ออกให้มันหมดไปจากโรงเรียนเสียที” ผ.อ.จิ๋มอ่านรายงานสรุปผลการประเมินการอ่านของนักเรียนแล้ววางลงบนโต๊ะอย่างแรง
“ผ.อ.อนุมัติงบโครงการไปให้ผู้ช่วยฯเครือวัลย์ตั้งแต่ยังไม่ปิดเทอมแล้วนี่ จนป่านนี้ยังมัวชักช้าอะไรอีก” ผ.อ.จิ๋มส่งสายตาไม่พอใจมายังฝั่งตรงข้ามโต๊ะ

ครูพชรยังคงนั่งเงียบ ในใจนั้นคิดว่างบประมาณเกี่ยวกับการอ่านหนังสือไม่ออกนั้นเป็นจำนวนเงินหลายหมื่นด้วยกัน คูณกับจำนวนปีที่เป็นหัวหน้ากลุ่มสาระก็คงเป็นเงินร่วมแสนบาทได้แล้ว แต่เมื่อเข้าไปถามเรื่องนี้ทีไรผู้ช่วยฯฝ่ายวิชาการกลับเฉไฉไปเรื่องอื่นทุกที ครูพชรนั่งฟังคำของผู้อำนวยการโรงเรียนอยู่จนเสียงโทรศัพท์มือถือของผ.อ.จิ๋มดังขึ้น เธอจึงอนุญาตให้ครูสอนภาษาไทยออกไปสอนต่อได้

“รำคาญจริงๆเลยกับไอ้การบริหารงานแบบโลกในอุดมคตินี่ พูดจาเนรมิตทุกอย่างสวยงามไปหมด คนที่ดีแต่พูดไม่รู้หรอกว่าคนที่ทำงานจริงๆเขาเหนื่อยกันแค่ไหน ไอ้พวกทำขนมด้วยปากพวกนี้” ครูพชรระบายให้ครูสมจินต์กับครูโรจน์ฟังที่ศาลาข้างลานโพคู่

“ก็ตั้งแต่เปลี่ยนผู้ช่วยฯวิชาการคนนี้แหละ โรงเรียนถึงได้ไม่มั่นคงเพราะข่าววงในบอกว่า ผู้ช่วยฯเครือวัลย์นี่มีประวัติไม่ค่อยดี มีครูรุ่นเก่าๆบอกพี่มาหลายคนแล้วว่า อย่าให้แกจับเงินมากๆเด็ดขาด” ครูสมจินต์เล่าขึ้นมาบ้าง

“ไม่เห็นช่วงนี้เหรอ พวกครูที่อยู่ในห้องธุรการแอบทำอะไรกันเงียบเชียบไม่มีใครรู้เลย แม้แต่ครูต้อมยังปิดปากสนิท ป่านนี้ความลับคับพุงท้องแตกตายไปหรือยังก็ไม่รู้” ครูโรจน์เสริมบทสนทนาของครูทั้งสองอีก

เป็นอย่างที่ครูทั้งสามคนพูด เพราะไม่ว่าจะเป็นครูพิชญาที่ดูแลเรื่องอาหารกลางวันนักเรียน ผู้ช่วยฯเกษมและผู้ช่วยฯเครือวัลย์ รวมทั้งครูกุ๊กและครูพรรณีโดยมีผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นประธานต่างพากันประชุมและทำงานกันมืดค่ำ เป็นที่ผิดสังเกตของครูเวรผู้ชายที่ต้องนอนโรงเรียนในเวลากลางคืนอย่างยิ่ง

“จำไว้เลยนะพวกเธอ ถ้าผู้ช่วยฯเครือวัลย์เอาอะไรมาให้เซ็นให้อ่านให้ดีก่อน คนนี้เค้าเก่งในเรื่องของการสร้างหลักฐานเท็จมากเลย วันก่อนเค้าบอกให้พี่เซ็นเอกสารเกี่ยวกับสายชั้น พี่บอกว่าขออ่านก่อนเค้าก็พยายามเบนประเด็นไปเรื่องอื่น บอกว่าเซ็นรับทราบอย่างเดียวก็พอ พี่เลยบอกว่าถ้าไม่ให้อ่านก็ไม่เซ็นแล้วก็เดินหนีออกมาเลย” ครูมัทนาเตือนบรรดาเพื่อนครูที่นั่งกินข้าวเที่ยงโต๊ะเดียวกันฟังเบาๆ เรื่องทำนองนี้ครูริสาและครูปุ๊เคยประสบกับตัวเองมาแล้วจึงเป็นการยืนยันให้เชื่อมากขึ้นกว่าเดิม

“พี่การ์คะ ผู้ช่วยฯพักนี้ทำไมดูลับๆล่อๆจังเลยคะ” ครูสุชาวดีซึ่งเป็นฝ่ายวัดผลของโรงเรียนถามด้วยความสงสัย

“เรื่องบางเรื่องรู้มากไปก็ไม่ดีหรอกนะ” หัวหน้างานวิชาการโรงเรียนพูดตัดบทในทันทีเพราะไม่อยากให้ครูคนอื่นรู้เรื่องความสกปรกในโรงเรียนมากนัก

และแล้วเรื่องก็ผ่านพ้นไปอย่างเงียบเชียบเหมือนกับทุกๆปี แต่ที่พิเศษสำหรับปีการศึกษานี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของผู้ช่วยฯเครือวัลย์ซึ่งครูสุชาวดีได้รับรู้มาคือ การเบิกอนุมัติเงินโครงการโดยที่ไม่มีใครรู้ แต่ปรากฏว่ามีลายเซ็นของครูผู้รับผิดชอบปรากฏอยู่ในเอกสารหลักฐานอย่างชัดเจน

“จริงอย่างที่พี่นาบอกจริงๆด้วย เมื่อวานหนูเอาเอกสารไปให้ผู้ช่วยฯเครือวัลย์เสนอเซ็น บังเอิญไปพบเอกสารขอเบิกเงินโครงการที่ครูพชรเค้าเขียนขอมาแล้วมาบ่นกับหนูว่าไม่เคยเห็นตัวเงินแม้แต่สตางค์แดงเดียว พี่การ์รู้ไหมคะว่าหนูเจออะไร” ครูฝ่ายวัดผลเจตนาซ่อนคำตอบให้หัวหน้าฝ่ายวิชาการสงสัย แต่ทว่าครูกรรณิการ์ไม่ได้มีอาการสะทกสะท้านหรือฉงนสนเท่ห์แต่อย่างใด สร้างความแปลกใจแก่ครูสุชาวดีมาก

“น้องสุเห็นเอกสารปลอมลายเซ็นเตรียมพร้อมที่จะเบิกใช่ไหมล่ะ” ครูกรรณิการ์พูดด้วยเสียงเรียบเฉย

“พี่การ์รู้ได้ไงล่ะคะ” ครูสุชาวดียิ่งเกิดข้อกังขามากกว่าเดิม

“พี่อยู่ที่นี่มาก่อนน้องหลายปีแล้วนะ ยังมีที่สกปรกกว่านี้อีก อยู่นานๆไปน้องจะเข้าใจเอง พี่เคยบอกน้องสุครั้งหนึ่งแล้วจำได้ไหม” ครูกรรณิการ์ตอบก่อนที่จะกลับไปยุ่งกับการลงทะเบียนเอกสารของฝ่ายวิชาการ

อีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นที่น่าหงุดหงิดใจของบรรดาครูพันธุ์ใหม่และพันธุ์ดั้งเดิมก็คือการสร้างหลักฐานต่างๆนานาที่หยุมหยิมจนบางครั้งแทบจะเป็นเรื่องไร้สาระที่เอาไว้คุยกันในสภากาแฟ

“หัวหน้าสาย ป.๖ ของพี่บอกหรือยังล่ะว่า ผ.อ.ออกแบบฟอร์มการโฮมรูมและแบบฟอร์มการใช้แผนการเรียนรู้ให้ส่งหัวหน้าสายชั้นทุกวันศุกร์และส่ง ผ.อ.ทุกวันจันทร์น่ะ” ครูแอ้เอ่ยถามครูริสาในขณะที่กำลังกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหาร

“พี่ปุ๊บอกแล้วล่ะจ้ะน้อง แต่ให้พูดก็พูดเถอะน้อง พี่เห็นปฏิบัติไปได้สองสามอาทิตย์ก็เลิกอีกนั่นแหละ ดูอย่างปีที่แล้วสิ เห็นขู่นักหนาว่าจะตรวจอ่านแผนการสอนของครูทุกคน ทุกอาทิตย์แล้วผลเป็นไง ได้ไม่เท่าไหร่ก็เข้าอีหรอบเดิม คราวนี้จะไปได้ซักกี่น้ำพี่ก็อยากจะรู้นัก” หัวหน้ากลุ่มสาระคณิตศาสตร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

“พี่ริสาพูดเหมือนพี่มัทนาเลยค่ะ ไม่รู้ว่าแกจะมาใส่ใจกับไอ้เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งแบบนี้ทำไม ดูอย่างที่เรียกเราไปประชุมวันก่อนสิคะ แอ้งงเป็นไก่ตาแตกเลยล่ะค่ะ” ครูแอ้เท้าความไปถึงเหตุการณ์บัตรสนเท่ห์ว่อนเน็ตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

“แล้วทำไมต้องคิดว่าเป็นคนในโรงเรียนด้วยล่ะ ทำไมแกไม่คิดบ้างล่ะว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องยืมมือฆ่าคนก็ได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ แม้ว่าครูพชรจะแต่งกลอนเก่งแต่ถามว่าในโลกนี้มีคนแต่งกลอนเก่งคนเดียวเหรอ แล้วบางคอมเมนท์น้องสังเกตไหมว่า บางเรื่องครูเกือบค่อนโรงเรียนไม่รู้ก็มีอยู่เยอะแยะ คนที่เข้าข่ายยังมีอีกหลายคน” ครูริสาเปิดประเด็น บังเอิญสายตาเหลือบไปเห็นครูต้อมกับครูสมรเดินเข้ามาใกล้เธอจึงกระซิบกับครูภาษาอังกฤษชั้น ป.๔ เบาๆ

“พี่ว่าเราไปคุยกันที่ร้านป้าสกาวดีกว่า เหลืออีกครึ่งชั่วโมงถึงจะเข้าเรียนช่วงบ่าย” ครูสาวทั้งสองลุกขึ้นเดินออกจากโรงอาหารพร้อมกันโดยอัตโนมัติ

เสียงเซ็งแซ่จากบรรดานักเรียนที่เล่นกันอยู่บริเวณลานโพคู่ บ้างก็สนุกสนานกับการเล่นกระดานลื่น บ้างก็วิ่งเล่นรอบๆขอบสระบัวที่มีเสียงน้ำตกจำลองให้ความสดชื่น เสียงดังซ่าๆถูกกลบด้วยเสียงหัวเราะของเด็กนักเรียนชั้น ป.๑ ที่กำลังหยอกล้อลูกแมว ๒-๓ ตัวที่ ผ.อ.จิ๋มเก็บมาเลี้ยง

ครูพชรนั่งเล่นหมากฮอสอยู่กับครูสมจินต์ ครูภาษาไทยกำลังเป็นต่อหัวหน้ากลุ่มสาระสุขศึกษาและพลศึกษา แม้มือจะเดินหมากอย่างสุขุมหากแต่บทสนทนาก็ยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ

“ได้ข่าวเรื่องการส่งแผนการสอนให้ ผ.อ.ตรวจหรือยังล่ะพี่” ครูพชรเดินหมากไปที่จุดหนึ่งซึ่งเป็นการลวง

“รู้แล้วสิ ไม่รู้จะไปได้ซักกี่น้ำ แต่ยังไงก็ต้องทำเพื่อความอยู่รอดแม้จะขัดกับคุณธรรมก็ตาม” ครูสมจินต์เดินหมากเข้ามาติดกับดักแล้ว ครูพชรกินหมากตัวนั้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ครูสมจินต์ต้องครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน

“ผมก็ว่างั้นแหละ แม้แต่ตัวผู้ช่วยฯเครือวัลย์ยังไม่เคยสนใจกับงานฝ่ายตัวเองเลย วันก่อนผมไปถามถึงเอกสารประเมินวิทยฐานะ แกให้คำตอบอะไรผมไม่ได้เลยซักอย่าง ไม่รู้เป็นผู้ช่วยฯฝ่ายวิชาการได้ไง” ครูพชรกลับต้องเป็นฝ่ายครุ่นคิดเพราะครูสมจินต์เริ่มกลับมาเป็นต่อ

“แม่เธอซี้กับผ.อ.เขตพื้นที่ฯ ก็น่าจะรู้ๆกันอยู่” ครูสมจินต์กินหมากตัวหนึ่งซึ่งครูพชรเผลอเปิดช่องโหว่ไว้

บางครั้งสิ่งที่เราไม่อยากจะทำ แต่ด้วยระบบระเบียบที่บังคับให้เราต้องทำด้วยความไม่เต็มใจ นักวิชาการการศึกษาเป็นเพียงคนคิดที่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติจริง ก็ต้องมาหนักที่ครูผู้สอนนี่แหละที่ต้องทำตามที่คนอื่นเขาป้อนโปรแกรมไว้ ไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องหรือเสนอแนะผลการปฏิบัติจริง ต้องอยู่กับการบริหารงานแบบโลกในอุดมคติอย่างที่ครูพชรพูดไว้ไม่มีผิด
“อ้าว....ทุกคนมารับแบบฟอร์มบันทึกการใช้แผนการสอน เร็วๆ” ครูปุ๊ชูเอกสารให้ครูในสายชั้น ป.๖ มารับไปคนละ ๑ เล่ม

“แม้ว่าจะคิดเช่นไร หัวใจจำเป็นต้องฝืน ระบบครอบงำสมองกลืน ใครกล้าขัดขืนเจอดี

ชีวิตอยู่ที่หลักฐาน เพื่อการประเมินตัวครูนี้ เอกสารยิ่งมากพันทวี เงินวิทยฐานะปีนี้ได้แน่นอน

กระดาษชี้ค่าผลงาน แม้ว่าเป็นการหลอกหลอน โกหกตอแหลยอกย้อน ปลิ้นปล้อนลวงโลกมายา

ตัวเลขจอมปลอมปั้นแต่ง เสแสร้งยกหางตัวว่า เป็นครูสูงส่งศักดา แต่ทว่าแท้จริงนั้นกลวง”

ครูพชรเขียนบทประพันธ์ที่ตนเองเพิ่งแต่งเสร็จหลังจากที่ชนะหมากฮอสครูสมจินต์เมื่อพักกลางวันที่ผ่านมาลงในสมุดบันทึกของตัวเอง สายตาเหลือบมองเอกสารที่วางอยู่ข้างๆอย่างเซ็งๆก่อนจะลุกเดินไปคุยกับครูปุ๊ที่ยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างห้องพักครูสายชั้น ป.๖

“ดูอย่างพี่แต้วสิ เห็นทำงานเต็มที่ ทุกคนก็เห็นๆกันอยู่ แต่เพราะว่าไม่ได้เก็บหลักฐานเหมือนครูคนอื่นเค้า ตอนนี้พวกที่บรรจุรุ่นเดียวกันกับพี่แกที่มันตอแหลเก่ง เงินเดือนไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้ อนาถจริงๆวงการศึกษาไทย” ครูพชรพูดกับหัวหน้าสายชั้น ป.๖ ทั้งคู่กำลังมองไปที่ครูแต้วที่กำลังตรวจอุปกรณ์แปรงฟันหลังกินข้าวเที่ยงของนักเรียนที่ใต้อาคารเรียนสี่อย่างขะมักเขม้นในขณะที่ครูต้อมก็กำลังเดินถือของและกางร่มให้ ผ.อ.จิ๋มผ่านประตูโรงเรียนออกไปข้างนอก

( ชื่อตัวละครและเรื่องราวนี้เป็นแต่เรื่องสมมติขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงถึงผู้ใด หากได้ล่วงเกินแก่ใครก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ )

( โปรดติดตามตอนต่อไป )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น