กางเกงใน ถือว่าเป็นผ้าผืนน้อยชิ้นลับ สำคัญและเซกซี่ที่สุดของผู้ชาย โดยพื้นฐานมันมีหน้าที่สำคัญ 2 ประการด้วยกันครับ คือเพื่อความสะอาดและการปกป้อง นอกจากนี้มันยังช่วยกระชับ "น้องชายตัวแสบ" ให้อยู่นิ่งกับที่ (บางทีมันแอบลุกในเวลาที่ไม่ต้องการ ) และปลอดภัยจากการเสียดสีอันไม่พึงประสงค์อีกด้วยคราวนี้เราจะมาลองย้อนดู ทำความรู้จักกับ ที่มาของผ้าผืนน้อยชิ้นนี้กันครับ
ย้อนกลับไปๆ สมัยโน้นเลยครับ เอาให้เก่าสมเป็นห้อง Memoirs "อดัม" ครับ จำเค้าได้มั๊ย?? มนุษย์คนแรกของโลกใบนี้ "ใบไม้" ถือเป็น สิ่งปกปิดของสงวน ชิ้นแรกของผู้ชาย ต่อมาได้วิวัฒนาการมาเป็นหนังสัตว์ และผ้า เพราะมัน อุ่น นุ่ม ที่สำคัญคงทนกว่าใบไม้ครับ ส่วนวิธีการสวมใส่นั้นก็พัฒนารูปแบบกันไปแต่ละยุค แต่ละสมัยเช่น ผู้ชายอียิปต์จะพันส่วนลับของร่างกายด้วยผ้าเตี่ยว และยึดไว้ด้วยแถบผ้าหรือเข็มขัดหนุ่มกรีกและโรมันนิยมสวมเสื้อคลุมตัวยาวส่วนหนุ่มยุคกลางหันมาใส่กางเกงรัดรูปคล้ายถุงน่องแต่เทรนด์ในอดีตเหล่านี้ ก็เป็นเรื่องของการแต่งกายโดยรวม ที่เราคงเรียกกันให้ชัดได้ยากว่าเป็น "ชั้นนอก" หรือ "ชั้นใน" หรืออย่างกรณีของหนุ่มกรีกและโรมัน เขาสวมอะไรอยู่ใต้เสื้อคลุมยาวนั้นหรือไม่ เราก็ไม่รู้ประวัติศาสตร์ชั้นในชายเป็นเรื่องคลุมเครือครับ มาจนถึงศตวรรษที่ 17 เราจึงทราบแน่ชัดว่าบรรดาชนชั้นสูงเริ่มมีนิสัยของการสวมใส่ที่เรียกว่า "ชุดชั้นใน" ในขณะที่สามัญชนอย่างเราๆ ยังคงรักษาเทรนด์ "นอน-เที่ยว-ใน-นอก" กรูขอเหมารวมตัวเดียวกันหมด 555 ...
จนกระทั่งศตวรรษที่ 19 ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครับ สมัยนั้นแม้นวัตกรรมการทอผ้าจะส่งผลโดยตรงต่อวิวัฒนาการของแฟชั่น แต่ชุดชั้นในก็ยังต้องใช้เวลาอีกกว่าหลายทศวรรษ กว่าจะมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนทั่วไปจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในช่วงข้ามสู่ศตวรรษที่ 20 เมื่อคนหันมาใส่ใจกับสุขอนามัยที่ดีในชีวิตประจำวัน และพิถีพิถันกับการแต่งกายที่ถูกสุขลักษณะมากขึ้น คนจึงเริ่มมีนิสัยของการสวมใส่ชุดชั้นในกระแสนี้บูมขึ้น เมื่อแพทย์ชาวเยอรมัน Dr.Gustav Jager นำชุดชั้นในยี่ห้อ "Jagerwasche" ออกสู่ท้องตลาด ภายใต้คอนเส็ปต์ของชุดชั้นในเพื่อสุขอนามัยที่ดี โดยเลือกใช้ผ้านุ่ม ใส่สบายตัว และระบายอากาศได้ดี ขณะเดียวดัน การผลิตในระดับอุตสาหกรรมยังช่วยทำให้สินค้าเสื้อผ้ามีราคาถูกลง ทำให้ใครๆก็สามารถซื้อหาชุดชั้นในไว้สวมใส่ได้ นับแต่นั้นมาการสวมใส่ชุดชั้นใน จึงไม่ใช่เรื่องของชนชั้นอีกต่อไปร่ายเกริ่นยาวมาพอสมควร คราวนี้เราจะมาเจาะรายละเอียดกันในแต่ทศวรรษบ้างครับ
เริ่มจาก 1900s (ช่วงต้นๆของยุคปฏิวัติอุตสาหกรรรมครับ)กางเกงในหรือชุดชั้นในชายแบบแรกที่เป็นรู้จักกันแพร่หลายที่สุดคือ Union Suit ผลงานการออกแบบของ Jacques Schiesser ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในงาน World's Fair ที่กรุงปารีส "Union Suit" นี้เป็นชุดติดกันของเสื้อและกางเกงชั้นใน มีทั้งแบบกางเกงขาสั้นและขายาว เป็นแบบหนึ่งที่นิยมกันมาจนถึงทศวรรษ '50(ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึงชุดของนักยกน้ำหนัก หรือนักมวยปล้ำในปัจุบันครับ คล้ายๆแบบนั้นละครับ แต่ด้านบน ไม่ใช่เสื้อกล้ามเว้าลึกแบบนั้น)
1920s แม้ทศววรษนี้จะไม่มีดีไซน์ใหม่ๆออกมา แต่ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งครับ เพราะทศวรรษนี้มีการคิดค้นด้ายยึดได้ "Lastex" ขึ้นเป็นครั้งแรก ลาสเท็กซ์กลายเป็นกุญแจสำคัญของการผลิตชุดชั้นในชายที่เข้ารูป และสบายแก่การสวมใส่ อีกทั้งยังทำให้แฟชั่นกระดุมและริบบิ้นตกยุคไป1930s บรษัท Heinzeleman ในสคุทการ์ท เยอรมนีได้ให้กำเนิดกางเกงใน "Piccolo" ที่เรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของกางเกงในแบบ Brief (ที่เรารู้จักและสวมใส่กันอยู่ทุกวันนี้ครับ) บรีฟรุ่นแรกเรียกกันว่า "Classic Brief" นั้นออกแบบโดย Jocky มีจุดเด่นที่ช่องเปิดด้านหน้ารูปตัว Y คว่ำ เมื่อเปิดตัวครั้งแรกในปี 1935 มันได้กลายเป็น best seller ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และครองตำแหน่งมาอีกกว่า 20 ปี1940s ทศวรรษนี้ สไตล์ "Boxer" เริ่มเข้ามามีบทบาท (แบบที่พวกหนุ่มอเมริกันนิยมใส่กันตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ครับ) โดยเฉพาะตลาดยุโรป และเรียกคะแนนนิยมได้มากพอควร ขณะเดียวกัน เริ่มมีการคิดที่จะนำวัสดุใยสังเคราะห์ชนิดต่างๆ เช่นไนลอน และเพอร์ลอน มาใช้ในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าด้วยครับ
1950s หลังสงครามผ่านพ้นไป คนได้หันมาใส่ใจกับสุขอนามัยและความสะอาดกันอีกครั้ง จึงทำให้คนนิยมใส่เสื้อผ้าที่ผลิตจากวัสดุใยสังเคราะห์ ซึ่งมีทั้งความคงทน ง่ายต่อการซัก และแห้งเร็ว ดังนั้นชุดชั้นในชายในช่วงนั้น ส่วนใหญ่จึงผลิตจากไนลอน เพอร์ลอน และวิสคอส
1960s เป็นยุคที่ความรัก เสรีภาพ และการเป็นขบถกำลังเบ่งบาน แฟชั่นกางเกงในชายก็ขยับตัวไปสู่การพลิกโฉมอีกครั้ง brief classic เริ่มถูกปรับให้มีส่วนเว้าส่วนโค้งมากกว่าเดิม (เริ่ม sexy ขึ้น) เป็น "Bikini" ส่วนสีที่ใช้ก็เริ่มเปลี่ยนบุคลิก จากสีเรียบเคร่งขรึมมาสู่สีพาสเทล1970s เป็นยุคของสีและลวดลาย สำหรับแฟชั่นในยุคนั้น ไม่มีกางเกงในสีไหนหรือลายอะไรที่จะถูกมองว่าแจ๋น หวาน หรือลายพร้อยเกินไปสำหรับผู้ชายอีกแล้วครับ
1980s ยุคนี้เศรษฐกิจโลกเฟื่องฟูมากครับ ได้กำเนิดเสรีชนยุคใหม่ นั่นคือ "ยัปปี้" ผู้ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย และชอบแสดงออกความสำเร็จนั้นด้วยวัตถุและภาพลักษณ์ภายนอก ในยุคนี้ความเป็น "ผู้ชายเก่ง" ไม่ได้วัดกันด้วยประสบการณ์ชีวิต และสติปัญญาที่ผ่านการหมักบ่มอีกต่อไป หากเป็นเรื่องที่ต้องแสดงให้ "เห็น" ทำให้สินค้าแบรนด์เนมของดีไซเนอร์ชื่อดังกลายเป็นสรณะที่สาวกหญิงและชายแสวงหาเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองยุค '80 ยังเป็นยุคของ "Body Cult" ผู้คนคลั่งไคล้การเล่นยิมเพื่อฟิตร่างกาย และชอบที่จะอวดสรีระฟิตเปรี๊ยะที่ได้มาด้วยความเหนื่อยยากกระแสดังกล่าวช่วยส่งให้ชุดชั้นในชายก้าวขึ้นสู่ Catwalk อย่างมั่นใจ Trend Setter ที่เรียกเสียงฮืฮาในช่วงนั้นคือ "Nikolas Apostolopoulous" ดีไซเนอร์ชาวกรีก ผู้มาพร้อมกับ brief ฟิตเปรี๊ยะ ขอบขาเว้าสูง และขอบเอวกว้าง ที่สำคัญเขากล้าใช้สีดำ สีที่ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน brief ของนิโคลัสกลายเป็นเทรนด์เซ็ตเตอร์ สำหรับ "Tanga" (เดี๋ยวเราจะเล่ารายละเอียดของมันให้ฟังในครั้งต่อไปครับ) และสีดำก็กลายมาเป็นสีเซกซี่ที่สุดสีหนึ่งของแฟชั่นกางเกงในชาย
"Calvin Klien" ถือเป็นเทรนด์เซ็ตเตอร์แห่งยุคอีกคนหนึ่ง เค้ามาพร้อมกับแคมเปญโฆษณาที่ชัดเจน "Erotic" และ "Sexuality" เราว่าหลายคนคงพอจะจำ ad หลายๆตัวของเค้าได้ มันดูเรียบง่ายแต่เซกซี่ ภาพนายแบบในท่าโพสกึ่งนู้ดของเขา ได้กลายมาเป็นต้นแบบของภาพแฟชั่นอยู่หลายปี ทั้งยังช่วยส่งให้นายแบบของเค้ากลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ดังกันข้ามคืนเลย เช่น Mark Wahlberg และอีกหลายๆคนในยุคต่อๆมา เช่น Travis Fimmel เป็นต้น อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ในการออกแบบของเค้าคือการพิมพ์ชื่อ Calvin Klien ลงไปรอบขอบเอว ซึ่งเป็นทั้งการเล่นเกมจิตวิทยากับสาวกแบรนด์เนม และเป็นการตอกย้ำกระแสไปในตัว ส่วนสไตล์ที่ขายดีที่สุดในทศวรรษนี้คือ "Boxer" ที่พิมพ์ลวดลายต่างๆเช่นตัวการ์ตูนยอดฮิต บันนี่ แร็บบิทส์ รูปจูบ ซานตาครอส ฯลฯ
1990s กระแสคลั่ง Brand & Body ยังคงต่อเนื่องมา หรือเรียกว่าเบ่งบานเต็มที่ในทศวรรษนี้ก็ว่าได้ครับ ผู้ชายกลายเป็นเป้าหมาย target ของตลาดแฟชั่นและความงามไม่เป็นรองผู้หญิงเลย กลยุทธ์การโฆษณาด้วยการอวดคุณภาพและสรรพคุณต่างๆเดินมาถึงทางตัน แต่กลับใช้กลยุทธ์ให้คนคิดว่า "รสนิยม" คือสิ่งที่บอกว่าคุณคือใคร ทำให้คนมี lifestyle ของการถูกบอกให้เลือกอย่างพิถีพิถัน ไม่เว้นแต่กางเกงในที่สวมใส่อยู่ข้างใน นั่นทำให้ตลาดของกางเกงในชายขยายตัวอย่างเต็มที่ และการพิมพ์ชื่อดีไซเนอร์ไว้ที่ขอบกางเกงก็กลายเป็นแฟชั่นฮอตฮิตมาจนถึงปัจจุบันด้วยครับ
2000s เหล่าดีไซเนอร์ยังไม่หยุดคิดลูกเล่นใหม่ๆ ยังหาสีสัน และความหวือหวาให้กับแฟชั่นกางเกงในต่อไป และมีการทำเป็นคอลเลกชั่นต่างๆให้เลือกสรรมากมายอีกด้วยครับ
แถมท้ายด้วยเกร็ดความรู้เกี่ยวกับคำว่า "กางเกงลิง"ครับ
กางเกงลิง ลิงย่อ มาจากคำว่า lingerie อ่านว่า แลง-ฉรี คนไทยนิยมอ่านว่า ลิง-เจอ-รี เป็น ภาษาฝรั่งเศส แปลว่าชุดชั้นในสตรีในสมัยโบราณผู้หญิงไทยนุ่งโจงกระเบน เข้าใจว่าคงไม่มีการใส่กางเกงชั้นใน .... ตามที่คุณ monarch เล่ามาต่อมาเมื่อรับกระโปรงแบบแหม่มมาสวมจึงเริ่มใช้ชุดชั้นในแบบแหม่มด้วย แต่นิสัยคนไทยชอบพูดย่อๆ จึงเรียกกางเกงชั้นในแบบแหม่มเพียงคำต้นของ "ลิง-เจอ-รี" ว่า "กางเกงลิง" ครับผม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น