ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติม...ที่นี่

Custom Search
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องสั้นสงครามกระดานดำ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องสั้นสงครามกระดานดำ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

สงครามกระดานดำ ตอน บทส่งท้าย


ปัจจุบันนี้โรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”ก็ยังคงดำเนินการสอนต่อไปเรื่อยๆเหมือนเมื่อเกือบค่อนศตวรรษก่อน ความเปลี่ยนแปลงหลายระลอกที่เป็นกระแสพัดเข้าสู่รั้วโรงเรียนไม่สามารถที่จะทำให้สถาบันการศึกษาแห่งนี้ล่มสลายได้อย่างที่ครูหลายต่อหลายรุ่นกังวล ผู้บริหารตั้งแต่สมัยครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการในอดีตจนถึงปัจจุบันที่เข้ามากำหนดนโยบายการศึกษานับสิบท่านกลายเป็นเพียงประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งบนบอร์ดคณะผู้บริหารโรงเรียนเช่นเดียวกับภาพถ่ายของหญิงสูงวัยในชุดข้าราชการเต็มยศสวมสายสะพายและเครื่องราชฯเต็มอกซึ่งครูพชรกำลังยืนมองอยู่

“แป๊บเดียวผ่านไปสามสิบปีแล้วสินะ”ครูพชรในวัยห้าสิบห้าปียืนพึมพำกับตัวเองเบาๆ นึกย้อนไปถึงวันที่สอบบรรจุได้และเข้ามารายงานตัววันแรกที่โรงเรียนแห่งนี้

“ครูพชรใช่ไหมคะ สวัสดีค่ะ จำหนูได้ไหมคะ” หญิงสาววัยกลางคนพนมมือไหว้ชายชรา ครูพชรค่อยๆมองผ่านแว่นตาหนาเตอะ

“ขอโทษนะหนู ครูจำไม่ได้จริงๆ” ชายชราพยายามนึกแต่นึกไม่ออก

“หนูก็เด็กหญิงกัลยาณีที่เคยอยู่ห้องครูเซฟไงคะ” เปิ้ลตอบแฝงความอายไว้ในน้ำเสียง

“อ๋อ ครูจำได้แล้ว สบายดีนะ แล้วลูกของหนูล่ะ”

“ถ้าครูหมายถึงเด็กในท้องตอนที่เกิดเรื่องคราวนั้น เขาตายตั้งแต่แรกคลอดแล้วค่ะ หมอบอกว่าเด็กไม่ค่อยแข็งแรงค่ะ” เปิ้ลมีเสียงเครือเหมือนจะร้องไห้แต่ก็ฝืนยิ้มขึ้นมาได้

“แต่หนูแต่งงานใหม่แล้วค่ะ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ตอนนี้หนูเปิดร้านขายเสื้อผ้าอยู่แถวประตูน้ำค่ะ หนูกลับมาทำบุญกระดูกพ่อหนูค่ะเลยแวะเข้ามาที่โรงเรียนนี้หน่อย”

“เรื่องในอดีตผ่านไปแล้วมันแก้ไขไม่ได้ อนาคตสิที่เราสามารถจะวางแผนได้” ครูพชรแหงนหน้าขึ้นมองต้นโพที่ยังคงให้ร่มเงามาอย่างยืนยาว เปิ้ลยกมือไหว้อำลาก่อนจะเดินจากไปทิ้งชายชราเดินทอดน่องอยู่เพียงลำพัง

“อ้าวพี่แต้ว ยังไม่กลับอีกเหรอ ขยันตั้งแต่สาวยันแก่เลยนะ ยังได้ปีล่ะหนึ่งขั้นเหมือนเดิมอีกเหรอเปล่าล่ะ” ครูพชรเดินเข้าไปหาครูแต้วในวัยหกสิบปีที่ยังง่วนตรวจงานในห้องประจำชั้น ที่มุมห้องมีนักเรียนที่อ่านหนังสือไม่คล่องฝึกอ่านอยู่สองสามคน

“อย่าไปพูดถึงมันเลย แต่ก็ดีกว่าสมัยผ.อ.จิ๋มก็แล้วกัน พี่คิดว่าทำเพื่อเด็กน่ะ ใครจะไปสบายเหมือนเธอล่ะ ชิงเออร์ลี่ออกไปก่อนพี่ นี่เพิ่งกลับมาล่ะสิ เดี๋ยวนี้เป็นนายห้างใหญ่แล้วนี่”

ครูพชรลากเก้าอี้นักเรียนเข้ามานั่งข้างโต๊ะครูแต้ว “ก็เพิ่งบินกลับมาจากกรุงเทพฯน่ะ ไปดูกิจการที่โน่นหน่อยกำลังจะขยายสาขาใหม่อยู่ ส่วนซุปเปอร์มาเก็ตที่นี่ก็ให้น้องชายคนเล็กดูแลไปพลางๆ วางมือไม่ได้หรอกเงินทั้งนั้น”

“ย่ะ” ครูแต้วตอบอย่างหมั่นไส้

“แล้วคนอื่นๆเค้ากลับกันหมดแล้วเหรอ” ครูพชรมองนาฬิกาบอกเวลาเกือบห้าโมงแล้ว

“ก็เหมือนเดิม พี่กลับหกโมงเย็นทุกวัน เธอก็รู้ อ้าว! คุยกันอีกแล้ว เดี๋ยวผู้ปกครองมารับฉันจะฟ้องว่าเธอไม่ยอมฝึกอ่าน คอยดูนะนายบัณฑิต” ครูแต้วเอาไม้เรียวเคาะโต๊ะดังปัง

“ดูหน้าแล้วจำได้เหรอเปล่าล่ะ นายนี่ลูกของอิทธิพลที่เคยอยู่ห้องพี่ไง” ครูแต้วหันมากระซิบกับครูพชรซึ่งพยักหน้ารับทราบ

“ผมลาแล้วกันนะครับ เดี๋ยวหกโมงต้องไปประชุมที่หอการค้าจังหวัดอีก” ครูพชรยกมือไหว้ครูรุ่นพี่

“ตามสบายจ้ะ ไม่แวะไปดูห้องสมุดที่เธอบริจาคเงินสร้างเมื่อปีที่แล้วหน่อยเหรอ” ครูแต้วชี้ไปทางด้านข้างอาคารเรียนสามที่มีส่วนที่สร้างเป็นมุขยื่นออกมาด้านหนึ่ง

หากต้นโพคู่สามารถเล่าเรื่องราวให้ครูพชรฟังได้ก็คงจะบอกว่า หลังจากที่ ผ.อ.จิ๋มเกษียณก็ได้รับการทาบทามให้ไปเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการศึกษา ณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและทำงานด้านการศึกษาตราบจนวันสิ้นลมหายใจของท่าน แม้หัวโขนอันเก่าจะถูกถอดออก แต่แกก็ยังอุตส่าห์ไปหาหัวโขนอันใหม่มาสวมหัวไว้อีก ช่างมัวเมาในอำนาจจนวันตายจริงๆ ผู้ช่วยฯเกษมขึ้นเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”ต่ออีกสองสามปีก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต ทิ้งหนี้สินพะรุงพะรังไว้ให้ครอบครัวเบื้องหลัง ส่วนผู้ช่วยฯเครือวัลย์ก็กลายเป็นโรคอัลไซเมอร์ ตอนนี้มีลูกๆหลานๆผลัดกันดูแลอยู่ ส่วนผู้อำนวยการโรงเรียนก็ไม่ใช่ใครอื่นไกลก็คือครูเซฟนั่นเอง

ป้าสมรสาวแก่ประจำโรงเรียนก็ย้ายไปอยู่กับน้องสาวที่กาญจนบุรี ตอนนี้ก็คงอายุร่วมแปดสิบกว่าๆแล้ว ส่วนป้าจินดาก็ไปอยู่เชียงใหม่กับลูกสาวที่เปิดร้านขายผ้าไหมและอัญมณีอยู่ ครูมัทนาเสียชีวิตด้วยโรคความดันโลหิตสูงเมื่อสองสามปีที่แล้ว ครูต้อมโชคดีหน่อยได้ลูกเขยรวยเลยช่วยปลดหนี้ให้แล้วพากันย้ายไปอยู่สิงห์บุรีกันทั้งครอบครัว ส่วนครูกรรณิการ์ก็อยู่บ้านดูแลสวนผลไม้กับสามีอย่างสงบตามอัตภาพ

ครูอ้อยลาออกจากโรงเรียนไปเกือบสิบปีแล้ว มีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์ว่าฆ่าตัวตายหนีหนี้นั่นเอง ครูดาวยังคงเป็นประชาสัมพันธ์ประจำโรงเรียนเช่นเดิมแต่ควบตำแหน่งเลขาส่วนตัวผู้อำนวยการโรงเรียนแทนครูกุ๊กที่ย้ายตามสามีที่รับราชการตำรวจไปอยู่แถวภาคอีสาน ครูแอ้ก็ย้ายกลับบ้านไปอยู่ร่วมกับสามีและลูกๆที่บ้านเกิด ครูริสา ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยฯฝ่ายวิชาการและธุรการ ครูบุ๊งเป็นผู้ช่วยฯฝ่ายปกครองและบริการโดยมีลักษมีเป็นกำลังใจให้พร้อมกับลูกชายทั้งสามคน ส่วนครูสุชาวดีรับหน้าที่ฝ่ายการเงินโรงเรียนและผู้จัดการสหกรณ์แทนครูพรรณีที่เกษียณไปหลายปีแล้ว

ครูสมจินต์ ครูวิชาญ ครูปุ๊ ครูกิ่งแก้วและคนอื่นๆก็เกษียณบ้าง ย้ายโรงเรียนบ้าง เสียชีวิตบ้าง ที่ยังสอนอยู่ที่ “เฌอคู่วิทยา”ก็มีบางตาลงเรื่อยๆ เรื่องน้ำเก่า-น้ำใหม่ก็ยังคงมีเหมือนสมัยที่ป้าสมรคิดแบ่งพรรคแบ่งพวกในตอนนั้น คลื่นลูกเก่าที่อ่อนโรยแรงไปก็คงต้องฝากคลื่นลูกใหม่ในการปฏิบัติหน้าที่แม่พิมพ์อนาคตของชาติไทยให้ยืนยงตราบเท่าผืนธงไตรรงค์โบกไสวนั่นเอง

“โลกไม่อาจขาดดวงตะวันได้ฉันใด มวลมนุษยชาติก็ไม่อาจขาดครูได้ฉันนั้น”

จากหนังสือ “ฉันจะเป็นแสงสว่างให้กับเธอ” โดย “ตะวันธรรม”

สงครามกระดานดำ ตอน ความไม่เป็นถ้อย หมอยไม่เป็นขน


สายลมโชยเบาๆพัดผ่านลานโพคู่สีเหลืองซีดที่พร้อมจะปลิดปลิวลงมายังเบื้องล่าง บรรยากาศยังคงเป็นเช่นเดิมในวันเปิดเรียนตามปกติ ครูแอ้กำลังควบคุมดูแลนักเรียนทำความสะอาดบริเวณลานโพคู่ เนื้อที่เท่าแมวดิ้นตายนี้คล้ายจะอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวสารพัด หน้าฉากอาจจะเป็นโรงเรียนเล็กๆน่ารักๆของครูและนักเรียนตัวน้อยๆที่ทยอยกันเข้ามาและส่งผ่านต่อไปยังโรงเรียนมัธยมจากรุ่นสู่รุ่น แต่ใครจะรู้ว่าคนที่ต้องใช้ชีวิตเกือบสามในสี่ของวัน ณ สถานที่แห่งนี้ล้วนแต่เหมือนก้าวเท้าเข้ามาเผชิญสงครามอย่างที่ครูพชรขนานนามว่า “สงครามกระดานดำ”

เสียงเอะอะดังมาจากห้องที่ครูพชรเป็นครูประจำชั้น เป็นอันรู้กันว่าเด็กที่อยู่ในความดูแลของครูประจำชั้นนั้นเปรียบเสมือนชนวนที่จะทำให้ครูประจำชั้นนั้นถ้าไม่ถูกด่าก็แค่คำชมพอเป็นพิธีเท่านั้น แต่โดยส่วนใหญ่ครูแต่ละคนก็ใช้เวลาเกือบจะทั้งวันจ้องจับผิดนักเรียนในห้องที่มีครูประจำชั้นไม่กินเส้นหรือไม่ถูกชะตากับตัวเองเพื่อจะหาเรื่องหรือเก็บไปฟ้องแม่นางซูสีไทเฮาในห้องเย็น

“นี่ พชร ช่วยไปดูแลเด็กในห้องเธอหน่อยสิ ส่งเสียงดังหนวกหูรบกวนจนพี่สอนนักเรียนไม่ได้เลย” ครูสมรเดินเข้ามาในห้องพักครูด้วยสีหน้าไม่พอใจ โดยครูพชรก็กำลังทำ ๕ ส.ที่โต๊ะทำงานส่วนตัวของตนเองอยู่

ครูพชรโผล่ศีรษะขึ้นมาจากใต้โต๊ะทำงานเพราะต้องรื้อเอกสารที่ซ้อนกันอยู่ด้านล่างนำมาคัดแยกเพื่อนำเอกสารที่ไม่มีประโยชน์แล้วทิ้ง ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล

“แล้วนี่มันชั่วโมงใครไม่ทราบล่ะครับ ป้าสมร” ครูภาษาไทยถามเซ็งๆ

“ชั่วโมงของครูก้อย แต่ครูก้อยไม่อยู่ เธอเป็นครูประจำชั้นไม่อบรมสั่งสอนเด็กบ้างหรือไงล่ะ”ป้าสมรรัวปืนกลมาเป็นชุดๆ แต่ดีที่ตบะของครูพชรนั้นแก่กล้าพอที่จะรับมือครูรุ่นเดอะได้จึงสวนกลับไปอย่างไม่รีรอ

“ชั่วโมงรับผิดชอบของครูก้อยแล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะครับ ก็ไปบอกครูก้อยสิ ผมอบรมเด็กในชั่วโมงโฮมรูมอยู่แล้ว แต่เด็กมันจะจำใส่สมองมันหรือเปล่าอันนี้ก็ไม่ทราบ เด็กนะครับ ไม่ใช่นักโทษจะได้ต้องมีผู้คุมตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อ้อ..และก็ไม่ใช่ตุ๊กตาดินปั้นด้วย จะได้นั่งนิ่งอยู่กับที่” ครูพชรก้มลงไปจัดการกับกองเอกสารต่อ ส่วนป้าสมรก็เดินลงส้นปังๆไปด้วยความไม่พอใจ


“ขออภัยคุณครูที่กำลังสอนทุกท่านนะคะ ขอเชิญครูพชรพบผู้อำนวยการที่ห้อง ผ.อ. เดี๋ยวนี้เลยนะคะ” เสียงครูดาวแว่วมาตามเครื่องขยายเสียงซ้ำอีกครั้ง

ครูภาษาไทยชั้นป.๖ที่กำลังแบกกองเอกสารสารพัดที่ไม่ใช้ประโยชน์แล้วไปกองไว้ที่ถังขยะหน้าห้องพักครูหยุดฟังก่อนที่จะทำนายเหตุการณ์

“อีแก่นั่นมันต้องคาบข่าวไปฟ้องนายมันอีกแน่เลย” ครูพชรเดินพึมพำลงมาจากชั้นบนสุดของอาคารเรียนสี่ บังเอิญให้สวนทางกับครูก้อยที่ทิ้งชั่วโมงสอนออกไปทำธุระข้างนอกพอดี

“ผ.อ.เรียกทำไมเหรอจ๊ะ น้องพชร” ครูก้อยที่ในมือหิ้วถุงชาเย็นอยู่ถามขึ้น

“ไม่ทราบครับ” ครูพชรตอบเพียงเท่านั้นแล้วก็รี่ไปที่อาคารเรียนหนึ่งทันที

ห้องรับแขกซึ่งเป็นส่วนหน้าของห้องทำงาน ผ.อ.ยังคงสะอาดเอี่ยมอ่องเหมือนเดิม มีกลิ่นสาบแมวมากระทบจมูกของครูพชรอย่างแรง

“มาแล้วเหรอ พ่อตัวดี” ผ.อ.จิ๋มมองลอดแว่นตากรอบทองอันเขื่องมาที่เขาที่นั่งหน้าหงิกอยู่ตรงกันข้ามโดยมีโต๊ะไม้สักอย่างดีคั่นกลางไว้

“ไม่ทราบว่า ผ.อ.มีธุระอะไรกับผมเหรอครับ”

“ถ้าไม่มีธุระฉันก็ไม่เรียกเธอมาหรอก จริงเหรอเปล่า”

และแล้วก็เป็นไปตามที่ครูพชรคาดการณ์ไว้ไม่ผิด ครูสมรคาบข่าวความกระด้างกระเดื่องของเขามาฟ้อง ผ.อ.จิ๋ม แล้วผู้ที่กุมชะตาชีวิตของทั้งโรงเรียนก็เริ่มการสังคายนาเทศนากัณฑ์ใหญ่ โดยหารู้ไม่ว่ามันก็เป็นแค่เสียงนกเสียงกาที่ลอดผ่านหูซ้ายก็จะสูญสลายไปกับหูขวาแล้วก็มลายเป็นอากาศธาตุที่คนอย่างครูพชรไม่เคยสนใจต่อคำพูดอะไรแม้แต่วลีเดียว

คนอย่างผ.อ.จิ๋มก็เป็นแค่ผู้หญิงแก่ๆคนหนึ่งซึ่งทะนงในความคิดของตนเองว่าดีเลิศประเสริฐศรี ทั้งๆที่รู้ว่าหลอกตัวเองแต่แกก็พยายามสร้างภาพลักษณ์ที่น่านับถือของตนเองให้เกิดขึ้น โดยที่ทุกคนก็รู้กันดีว่า ความจริงแล้วเนื้อในของจิตใจแกนั้นมันเน่าเฟะและส่งกลิ่นคละคลุ้งน่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่ากลิ่นหมาเน่าข้างถนนเสียอีก

ยิ่งคำพูดที่ถูกกลั่นกรองมาจากสมองส่งผ่านมาทางวาจาของแกแล้วนั้นแทบจะหาความจริงอะไรไม่ได้เลย คำว่าน้ำกลิ้งบนใบบอนดูจะน้อยไปกับพฤติกรรมของแก วันแรกพูดอย่างหนึ่ง อีกวันพูดอีกอย่างหนึ่ง เมื่อพูดกับครูคนหนึ่งก็พูดแบบหนึ่ง เมื่อพูดกับครูอีกคนหนึ่งก็พูดอีกอย่างหนึ่ง จะหาใจความแก่นสารใดๆที่จะยึดเป็นหลักในการปฏิบัติไม่ได้เลย บางครั้งออกจะสำแดงความโง่ตามประสานักบริหารที่คิดว่าตนเองสามารถบงการโลกใบนี้ได้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่วายมีควายในร่างครูหลายๆคนยินดีให้แกสนตะพายอย่างง่ายดาย แต่เสียใจล่ะสำหรับครูพชร..............ฝันไปเหอะ

ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ครูพชรไม่สามารถจะนำมาบรรยายให้ท่านผู้อ่านได้ เนื่องจากมันมีมากมายจนแทบไม่น่าเชื่อดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า

“เนื้อที่เท่าแมวดิ้นตายนี้คล้ายจะอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวสารพัด”

เมื่อผ.อ.จิ๋มได้ระบายโทสะจริตของตนเองหมดสิ้นแล้ว ครูพชรก็ค่อยๆเอาฝ่ามือทั้งสองประกบเข้าหากันก่อนจะก้มหัวอย่างแกนๆแล้วก็เดินออกจากห้องทำงานของผ.อ.ไป

“วันนี้คือวันของมัน รอเวลาที่หัวโขนของมันถูกถอดออกเหอะ ก็แค่แพะสวมหนังราชสีห์เท่านั้นแหละ” ครูพชรเดินคิดมาเรื่อยๆก่อนจะถึงห้องที่ตนเองจะสอนในชั่วโมงต่อไป

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สงครามกระดานดำ ตอน หลักฐานจอมปลอม



วันนี้ผู้ช่วยฯเครือวัลย์และครูกุ๊กนั่งปรึกษากันเงียบๆอยู่ในห้องวิชาการ ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติมากเพราะผู้ช่วยฯเครือวัลย์นั้นไม่ค่อยที่จะควักกระเป๋าเลี้ยงอาหารเช้าใครง่ายๆแต่ว่าวันนี้ครูกุ๊กกลับได้กินน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋กับขนมขบเคี้ยวอื่นอีกสองสามอย่าง ครูกรรณิการ์เห็นภาพดังกล่าวแล้วแต่ไม่ได้แปลกใจอะไรมากมาย เนื่องจากอีกไม่นานเจ้าหน้าที่จากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินก็จะเข้ามาตรวจสอบงบประมาณของโรงเรียน ครูกรรณิการ์นำเอกสารไปวางที่โต๊ะหัวหน้างานวิชาการก่อนที่จะออกไปข้างนอกเพื่อให้สองคนที่ชะงักบทสนทนานั้นได้พูดกันต่อ

เรื่องของงบประมาณต่างๆนั้นดูจะเป็นตัวเลขจำนวนหลายหลักแต่ที่เห็นๆคือ ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม ครูที่เป็นเจ้าของโครงการนั่นแหละต้องควักกระเป๋าเองแทบทั้งนั้น

“ไงล่ะ ครูพชร เรื่องของการประเมินนักเรียนที่อ่านหนังสือไม่ออกไปถึงไหนแล้ว นี่ครูเป็นหัวหน้าสาระภาษาไทยมาหลายปีแล้วเมื่อไหร่จะขจัดนักเรียนที่อ่านหนังสือไม่ออกให้มันหมดไปจากโรงเรียนเสียที” ผ.อ.จิ๋มอ่านรายงานสรุปผลการประเมินการอ่านของนักเรียนแล้ววางลงบนโต๊ะอย่างแรง
“ผ.อ.อนุมัติงบโครงการไปให้ผู้ช่วยฯเครือวัลย์ตั้งแต่ยังไม่ปิดเทอมแล้วนี่ จนป่านนี้ยังมัวชักช้าอะไรอีก” ผ.อ.จิ๋มส่งสายตาไม่พอใจมายังฝั่งตรงข้ามโต๊ะ

ครูพชรยังคงนั่งเงียบ ในใจนั้นคิดว่างบประมาณเกี่ยวกับการอ่านหนังสือไม่ออกนั้นเป็นจำนวนเงินหลายหมื่นด้วยกัน คูณกับจำนวนปีที่เป็นหัวหน้ากลุ่มสาระก็คงเป็นเงินร่วมแสนบาทได้แล้ว แต่เมื่อเข้าไปถามเรื่องนี้ทีไรผู้ช่วยฯฝ่ายวิชาการกลับเฉไฉไปเรื่องอื่นทุกที ครูพชรนั่งฟังคำของผู้อำนวยการโรงเรียนอยู่จนเสียงโทรศัพท์มือถือของผ.อ.จิ๋มดังขึ้น เธอจึงอนุญาตให้ครูสอนภาษาไทยออกไปสอนต่อได้

“รำคาญจริงๆเลยกับไอ้การบริหารงานแบบโลกในอุดมคตินี่ พูดจาเนรมิตทุกอย่างสวยงามไปหมด คนที่ดีแต่พูดไม่รู้หรอกว่าคนที่ทำงานจริงๆเขาเหนื่อยกันแค่ไหน ไอ้พวกทำขนมด้วยปากพวกนี้” ครูพชรระบายให้ครูสมจินต์กับครูโรจน์ฟังที่ศาลาข้างลานโพคู่

“ก็ตั้งแต่เปลี่ยนผู้ช่วยฯวิชาการคนนี้แหละ โรงเรียนถึงได้ไม่มั่นคงเพราะข่าววงในบอกว่า ผู้ช่วยฯเครือวัลย์นี่มีประวัติไม่ค่อยดี มีครูรุ่นเก่าๆบอกพี่มาหลายคนแล้วว่า อย่าให้แกจับเงินมากๆเด็ดขาด” ครูสมจินต์เล่าขึ้นมาบ้าง

“ไม่เห็นช่วงนี้เหรอ พวกครูที่อยู่ในห้องธุรการแอบทำอะไรกันเงียบเชียบไม่มีใครรู้เลย แม้แต่ครูต้อมยังปิดปากสนิท ป่านนี้ความลับคับพุงท้องแตกตายไปหรือยังก็ไม่รู้” ครูโรจน์เสริมบทสนทนาของครูทั้งสองอีก

เป็นอย่างที่ครูทั้งสามคนพูด เพราะไม่ว่าจะเป็นครูพิชญาที่ดูแลเรื่องอาหารกลางวันนักเรียน ผู้ช่วยฯเกษมและผู้ช่วยฯเครือวัลย์ รวมทั้งครูกุ๊กและครูพรรณีโดยมีผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นประธานต่างพากันประชุมและทำงานกันมืดค่ำ เป็นที่ผิดสังเกตของครูเวรผู้ชายที่ต้องนอนโรงเรียนในเวลากลางคืนอย่างยิ่ง

“จำไว้เลยนะพวกเธอ ถ้าผู้ช่วยฯเครือวัลย์เอาอะไรมาให้เซ็นให้อ่านให้ดีก่อน คนนี้เค้าเก่งในเรื่องของการสร้างหลักฐานเท็จมากเลย วันก่อนเค้าบอกให้พี่เซ็นเอกสารเกี่ยวกับสายชั้น พี่บอกว่าขออ่านก่อนเค้าก็พยายามเบนประเด็นไปเรื่องอื่น บอกว่าเซ็นรับทราบอย่างเดียวก็พอ พี่เลยบอกว่าถ้าไม่ให้อ่านก็ไม่เซ็นแล้วก็เดินหนีออกมาเลย” ครูมัทนาเตือนบรรดาเพื่อนครูที่นั่งกินข้าวเที่ยงโต๊ะเดียวกันฟังเบาๆ เรื่องทำนองนี้ครูริสาและครูปุ๊เคยประสบกับตัวเองมาแล้วจึงเป็นการยืนยันให้เชื่อมากขึ้นกว่าเดิม

“พี่การ์คะ ผู้ช่วยฯพักนี้ทำไมดูลับๆล่อๆจังเลยคะ” ครูสุชาวดีซึ่งเป็นฝ่ายวัดผลของโรงเรียนถามด้วยความสงสัย

“เรื่องบางเรื่องรู้มากไปก็ไม่ดีหรอกนะ” หัวหน้างานวิชาการโรงเรียนพูดตัดบทในทันทีเพราะไม่อยากให้ครูคนอื่นรู้เรื่องความสกปรกในโรงเรียนมากนัก

และแล้วเรื่องก็ผ่านพ้นไปอย่างเงียบเชียบเหมือนกับทุกๆปี แต่ที่พิเศษสำหรับปีการศึกษานี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของผู้ช่วยฯเครือวัลย์ซึ่งครูสุชาวดีได้รับรู้มาคือ การเบิกอนุมัติเงินโครงการโดยที่ไม่มีใครรู้ แต่ปรากฏว่ามีลายเซ็นของครูผู้รับผิดชอบปรากฏอยู่ในเอกสารหลักฐานอย่างชัดเจน

“จริงอย่างที่พี่นาบอกจริงๆด้วย เมื่อวานหนูเอาเอกสารไปให้ผู้ช่วยฯเครือวัลย์เสนอเซ็น บังเอิญไปพบเอกสารขอเบิกเงินโครงการที่ครูพชรเค้าเขียนขอมาแล้วมาบ่นกับหนูว่าไม่เคยเห็นตัวเงินแม้แต่สตางค์แดงเดียว พี่การ์รู้ไหมคะว่าหนูเจออะไร” ครูฝ่ายวัดผลเจตนาซ่อนคำตอบให้หัวหน้าฝ่ายวิชาการสงสัย แต่ทว่าครูกรรณิการ์ไม่ได้มีอาการสะทกสะท้านหรือฉงนสนเท่ห์แต่อย่างใด สร้างความแปลกใจแก่ครูสุชาวดีมาก

“น้องสุเห็นเอกสารปลอมลายเซ็นเตรียมพร้อมที่จะเบิกใช่ไหมล่ะ” ครูกรรณิการ์พูดด้วยเสียงเรียบเฉย

“พี่การ์รู้ได้ไงล่ะคะ” ครูสุชาวดียิ่งเกิดข้อกังขามากกว่าเดิม

“พี่อยู่ที่นี่มาก่อนน้องหลายปีแล้วนะ ยังมีที่สกปรกกว่านี้อีก อยู่นานๆไปน้องจะเข้าใจเอง พี่เคยบอกน้องสุครั้งหนึ่งแล้วจำได้ไหม” ครูกรรณิการ์ตอบก่อนที่จะกลับไปยุ่งกับการลงทะเบียนเอกสารของฝ่ายวิชาการ

อีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นที่น่าหงุดหงิดใจของบรรดาครูพันธุ์ใหม่และพันธุ์ดั้งเดิมก็คือการสร้างหลักฐานต่างๆนานาที่หยุมหยิมจนบางครั้งแทบจะเป็นเรื่องไร้สาระที่เอาไว้คุยกันในสภากาแฟ

“หัวหน้าสาย ป.๖ ของพี่บอกหรือยังล่ะว่า ผ.อ.ออกแบบฟอร์มการโฮมรูมและแบบฟอร์มการใช้แผนการเรียนรู้ให้ส่งหัวหน้าสายชั้นทุกวันศุกร์และส่ง ผ.อ.ทุกวันจันทร์น่ะ” ครูแอ้เอ่ยถามครูริสาในขณะที่กำลังกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหาร

“พี่ปุ๊บอกแล้วล่ะจ้ะน้อง แต่ให้พูดก็พูดเถอะน้อง พี่เห็นปฏิบัติไปได้สองสามอาทิตย์ก็เลิกอีกนั่นแหละ ดูอย่างปีที่แล้วสิ เห็นขู่นักหนาว่าจะตรวจอ่านแผนการสอนของครูทุกคน ทุกอาทิตย์แล้วผลเป็นไง ได้ไม่เท่าไหร่ก็เข้าอีหรอบเดิม คราวนี้จะไปได้ซักกี่น้ำพี่ก็อยากจะรู้นัก” หัวหน้ากลุ่มสาระคณิตศาสตร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

“พี่ริสาพูดเหมือนพี่มัทนาเลยค่ะ ไม่รู้ว่าแกจะมาใส่ใจกับไอ้เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งแบบนี้ทำไม ดูอย่างที่เรียกเราไปประชุมวันก่อนสิคะ แอ้งงเป็นไก่ตาแตกเลยล่ะค่ะ” ครูแอ้เท้าความไปถึงเหตุการณ์บัตรสนเท่ห์ว่อนเน็ตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

“แล้วทำไมต้องคิดว่าเป็นคนในโรงเรียนด้วยล่ะ ทำไมแกไม่คิดบ้างล่ะว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องยืมมือฆ่าคนก็ได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ แม้ว่าครูพชรจะแต่งกลอนเก่งแต่ถามว่าในโลกนี้มีคนแต่งกลอนเก่งคนเดียวเหรอ แล้วบางคอมเมนท์น้องสังเกตไหมว่า บางเรื่องครูเกือบค่อนโรงเรียนไม่รู้ก็มีอยู่เยอะแยะ คนที่เข้าข่ายยังมีอีกหลายคน” ครูริสาเปิดประเด็น บังเอิญสายตาเหลือบไปเห็นครูต้อมกับครูสมรเดินเข้ามาใกล้เธอจึงกระซิบกับครูภาษาอังกฤษชั้น ป.๔ เบาๆ

“พี่ว่าเราไปคุยกันที่ร้านป้าสกาวดีกว่า เหลืออีกครึ่งชั่วโมงถึงจะเข้าเรียนช่วงบ่าย” ครูสาวทั้งสองลุกขึ้นเดินออกจากโรงอาหารพร้อมกันโดยอัตโนมัติ

เสียงเซ็งแซ่จากบรรดานักเรียนที่เล่นกันอยู่บริเวณลานโพคู่ บ้างก็สนุกสนานกับการเล่นกระดานลื่น บ้างก็วิ่งเล่นรอบๆขอบสระบัวที่มีเสียงน้ำตกจำลองให้ความสดชื่น เสียงดังซ่าๆถูกกลบด้วยเสียงหัวเราะของเด็กนักเรียนชั้น ป.๑ ที่กำลังหยอกล้อลูกแมว ๒-๓ ตัวที่ ผ.อ.จิ๋มเก็บมาเลี้ยง

ครูพชรนั่งเล่นหมากฮอสอยู่กับครูสมจินต์ ครูภาษาไทยกำลังเป็นต่อหัวหน้ากลุ่มสาระสุขศึกษาและพลศึกษา แม้มือจะเดินหมากอย่างสุขุมหากแต่บทสนทนาก็ยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ

“ได้ข่าวเรื่องการส่งแผนการสอนให้ ผ.อ.ตรวจหรือยังล่ะพี่” ครูพชรเดินหมากไปที่จุดหนึ่งซึ่งเป็นการลวง

“รู้แล้วสิ ไม่รู้จะไปได้ซักกี่น้ำ แต่ยังไงก็ต้องทำเพื่อความอยู่รอดแม้จะขัดกับคุณธรรมก็ตาม” ครูสมจินต์เดินหมากเข้ามาติดกับดักแล้ว ครูพชรกินหมากตัวนั้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ครูสมจินต์ต้องครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน

“ผมก็ว่างั้นแหละ แม้แต่ตัวผู้ช่วยฯเครือวัลย์ยังไม่เคยสนใจกับงานฝ่ายตัวเองเลย วันก่อนผมไปถามถึงเอกสารประเมินวิทยฐานะ แกให้คำตอบอะไรผมไม่ได้เลยซักอย่าง ไม่รู้เป็นผู้ช่วยฯฝ่ายวิชาการได้ไง” ครูพชรกลับต้องเป็นฝ่ายครุ่นคิดเพราะครูสมจินต์เริ่มกลับมาเป็นต่อ

“แม่เธอซี้กับผ.อ.เขตพื้นที่ฯ ก็น่าจะรู้ๆกันอยู่” ครูสมจินต์กินหมากตัวหนึ่งซึ่งครูพชรเผลอเปิดช่องโหว่ไว้

บางครั้งสิ่งที่เราไม่อยากจะทำ แต่ด้วยระบบระเบียบที่บังคับให้เราต้องทำด้วยความไม่เต็มใจ นักวิชาการการศึกษาเป็นเพียงคนคิดที่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติจริง ก็ต้องมาหนักที่ครูผู้สอนนี่แหละที่ต้องทำตามที่คนอื่นเขาป้อนโปรแกรมไว้ ไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องหรือเสนอแนะผลการปฏิบัติจริง ต้องอยู่กับการบริหารงานแบบโลกในอุดมคติอย่างที่ครูพชรพูดไว้ไม่มีผิด
“อ้าว....ทุกคนมารับแบบฟอร์มบันทึกการใช้แผนการสอน เร็วๆ” ครูปุ๊ชูเอกสารให้ครูในสายชั้น ป.๖ มารับไปคนละ ๑ เล่ม

“แม้ว่าจะคิดเช่นไร หัวใจจำเป็นต้องฝืน ระบบครอบงำสมองกลืน ใครกล้าขัดขืนเจอดี

ชีวิตอยู่ที่หลักฐาน เพื่อการประเมินตัวครูนี้ เอกสารยิ่งมากพันทวี เงินวิทยฐานะปีนี้ได้แน่นอน

กระดาษชี้ค่าผลงาน แม้ว่าเป็นการหลอกหลอน โกหกตอแหลยอกย้อน ปลิ้นปล้อนลวงโลกมายา

ตัวเลขจอมปลอมปั้นแต่ง เสแสร้งยกหางตัวว่า เป็นครูสูงส่งศักดา แต่ทว่าแท้จริงนั้นกลวง”

ครูพชรเขียนบทประพันธ์ที่ตนเองเพิ่งแต่งเสร็จหลังจากที่ชนะหมากฮอสครูสมจินต์เมื่อพักกลางวันที่ผ่านมาลงในสมุดบันทึกของตัวเอง สายตาเหลือบมองเอกสารที่วางอยู่ข้างๆอย่างเซ็งๆก่อนจะลุกเดินไปคุยกับครูปุ๊ที่ยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างห้องพักครูสายชั้น ป.๖

“ดูอย่างพี่แต้วสิ เห็นทำงานเต็มที่ ทุกคนก็เห็นๆกันอยู่ แต่เพราะว่าไม่ได้เก็บหลักฐานเหมือนครูคนอื่นเค้า ตอนนี้พวกที่บรรจุรุ่นเดียวกันกับพี่แกที่มันตอแหลเก่ง เงินเดือนไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้ อนาถจริงๆวงการศึกษาไทย” ครูพชรพูดกับหัวหน้าสายชั้น ป.๖ ทั้งคู่กำลังมองไปที่ครูแต้วที่กำลังตรวจอุปกรณ์แปรงฟันหลังกินข้าวเที่ยงของนักเรียนที่ใต้อาคารเรียนสี่อย่างขะมักเขม้นในขณะที่ครูต้อมก็กำลังเดินถือของและกางร่มให้ ผ.อ.จิ๋มผ่านประตูโรงเรียนออกไปข้างนอก

( ชื่อตัวละครและเรื่องราวนี้เป็นแต่เรื่องสมมติขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงถึงผู้ใด หากได้ล่วงเกินแก่ใครก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ )

( โปรดติดตามตอนต่อไป )

วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สงครามกระดานดำ ตอน บัตรสนเท่ห์ว่อนเน็ต



“ไม่เสียทีที่เขามีวาสนา

แต่เห็นเห็นได้เป็นผ.อ.มา
เก่งเกินใครใดหนาในชาตินี้

ประกอบหมดยศศักดิ์แลทรัพย์สิน
ครูบากลัวสิ้นหัวขึ้นขี้

เมื่อชาติก่อนได้พรของหลวงชี
จึงมั่งมีดูอัศจรรย์ครัน

เขาชมบุญเรียกผ.อ.ระดับเก้า
แต่ร้ายราวเหมือนยักษ์มักกะสัน

ลงนั่งห้องประชุมเหมือนชาละวัน
โมโหตกมันเหมือนสิงห์ทอง

จะไปไหนตั้งโห่เสียสามหน
ตรวจพลอึกทึกกึกก้อง

แฟ้มเอกสารมากมายใส่พานรอง
สมุดโน้ตถือกล้องร่มคันยาว

นุ่งผ้าไหมใหม่วิไลเหลือ
สวมเสื้อสายสะพายขอบขริบขาว

ลงจากห้องกลางหางแถวยาว
ครูชมว่างามราวพราวแสงโพลง

ช่างหมดจดงดงามถึงสามอย่าง
จะไว้วางกิริยาก็อ่าโถง

แต่ใจแคบหวาดระแวงแฝงแววโกง
เมื่อเดินโคลงโยกย้ายหลายทำนอง

ถนนกว้างสี่วามาไม่ได้
กีดหัวไหล่ไกวแขนให้ขัดข้อง
พวกลูกน้องเห็นกลัวหนังหัวพอง
ยกสองมือกราบอกราบดิน
ด้วยอำนาจราชศักดิ์นั้นหนักหนา
ถ้าเข้าห้องเย็นสารภาพเป็นสัตย์สิ้น
มีสมุนชาญชัยใจทมิฬ
ดังจะกินเนื้อมนุษย์สุดพิภพ
"ครูต้อม" ว่าที่ไว้วางใจ
ทั้งนอกในสืบค้นได้เจนจบ
"ผู้ช่วยฯเกษม" พนักงาน การเลียลบ
"ป้าสมร" รับหลบค่าน้ำชา
ทั้งสามนายยอมตายในใต้เท้า
มิเสียทีมีบ่าวคราววาสนา
เคยเชื่อใจไว้วางต่างหูตา
รู้อัธยาอาศัยน้ำใจนาย
หยุดที่ห้องผ.อ.นั่งทูลฟ้อง
ดูทำนองกรุ้งกริ้งหยิ่งใจหาย
พวกชะเลียตามหมอบเที่ยวยอบกาย
กลัวกว่าพระยานายบ้านเมืองดี
หมอจีนดูไว้ในตำรา
ดวงชะตาขึ้นตุลย์ราศี
คงจะถึงระดับสิบในสองปี
ถ้าเต็มทีผิดคาดก็ครองเมือง
ข่าวนอกพูดกันขันเต็มที
ว่ากลางคืนรัศมีสีเนื้อเหลือง
ดูในเรือนเหมือนแสงแมงคาเรือง
คนลือเลื่องพูดมากปากวัดวา
ให้คลานศอกคลานเข่าแคล่วคล่อง
ถูกทำนองบ่าวไพร่ไว้ใช้หา
หน้าที่ของใครก็ใครมา
ได้ระเบียบสำราญอุราทั้งถ้อยคำ
เกิดเป็นตัวกูนี้มีวาสนา
เครื่องเสวยคาวหวานเกินกลืนกล้ำ

ประเคนยกภัตตาชี้แนะนำ
กินสำรับอิ่มหนำออกอื้ออึง
ฝ่ายประจบสอพลอประจ๋อนั่ง
ครั้นได้ฟังกลัวขลาดไม่อาจหึง
สรรเสริญเยินยอเสียน่าทึ่ง
แทบโดดผึงตัวลอยหรอกกระนั้น

พลิกขาวให้เป็นดำแสนแคล่วคล่อง
หากมีของถูกใจใคร่กระสัน

เรื่องก็เงียบเชียบไปในฉับพลัน
หากเป็นเรื่องคนอื่นนั้นแฉทั้งเมือง

ลำเอียงอยุติธรรมเป็นที่หนึ่ง
จาระไนให้ซาบซึ้งหลากหลายเรื่อง
เฮ้ยตำแหน่งขั้นเงินเดือนใครขาดเคือง
พวกเองเขื่องโกงเงินหลวงขนไป
คนดีดีแนะนำกันนั้นไม่เชื่อ
ครูเขาเบื่อเหลือระอาน่าสงสัย
เสียงสาปซ้องก้องภพลบฟ้าไกล
ไม่เข้าไปในจิตคิดหรือเอย”

หน้าจอคอมพิวเตอร์ห้องครูวิรุณเต็มไปด้วยบรรดาครูโรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”มุงกันแทบจะล้นห้อง เนื่องจากเช้าวันนี้ที่บอร์ดประชาสัมพันธ์ซึ่งเป็นที่ที่ครูทุกคนต้องไปเซ็นชื่อลงเวลาปฏิบัติราชการนั้น ปรากฏกระดาษเอสี่แผ่นโตติดไว้เด่นชัดมากจนทุกคนสงสัย

“มุงอะไรกันเหรอคะ” ครูดาวที่วันนี้มาสายกว่าปกติถามครูกรรณิการ์ขึ้นเมื่อเห็นบรรดาครูยืนจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กัน

“มาดูนี่สิดาว” ครูกรรณิการ์ดึงมือครูสาวห้องประชาสัมพันธ์เข้าไปในวงล้อมเธอจึงได้เห็นข้อความดังที่ท่านได้อ่านแล้วเมื่อสักครู่นี้

“นี่แค่คอมเมนท์เดียวนะ เห็นว่าในเว็บไซต์ของโรงเรียนมีมากกว่านี้อีก เห็นพวกครูๆทั้งหลายพากันไปที่ห้องคอมพิวเตอร์กันจนเต็มห้องแล้วมั้งป่านนี้” ครูหัวหน้างานวิชาการกล่าวก่อนจะไปเปิดประตูห้องวิชาการ

ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ห้องพักครูสายชั้น ป.๖ ครูคณิตศาสตร์สาวก็กำลังพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ของโรงเรียนอย่างรีบร้อนโดยมีครูปุ๊และครูสุชาวดียืนอยู่เบื้องหลัง

“ไหนล่ะริสารีบคลิกเร็วๆสิ ที่คำว่าเว็บบอร์ดน่ะ” ครูปุ๊เร่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“เดี๋ยวสิคะ พี่ปุ๊ รอโหลดแป๊บนึง” ครูริสาคลิกเมาท์ซ้ำอีกครั้ง

ภาพบนหน้าจอค่อยๆโหลดมาอย่างเชื่องช้าเนื่องจากตอนนี้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในโรงเรียนต่างพากันเข้ามาอ่านกระทู้เด็ดประจำปีของ “เฌอคู่วิทยา”

“ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกับการบริหารโรงเรียนเฌอคู่วิทยา”

นี่คือชื่อหัวข้อกระทู้ที่ผ.อ.จิ๋มได้ให้ครูวิรุณทำแบบฟอร์มขึ้นเพื่อให้ครูเข้ามาแสดงความคิดเห็นเพื่อนำไปประกอบการทำผลงานผู้บริหารดีเด่น แต่ทว่าผลลัพธ์นั้นกลับกลายเป็นหอกที่มาทิ่มแทงตัวของผู้อำนวยการเองเสียนี่

สายตาของครูสาวทั้งสามคนค่อยๆไล่อ่านไปทีละบรรทัดๆ ยิ่งอ่านเนื้อหาในกระทู้ก็เริ่มดุเดือดขึ้นเหมือนกาต้มน้ำที่ส่งเสียงหวีดเตือนให้รีบยกลงจากเตาแต่ก็ไม่มีใครยกลงและกำลังจะระเบิดในไม่กี่วินาทีข้างหน้า

“แหม.....พี่อ่านแล้วสะใจจริงๆน้องแอ้” ครูมัทนาตบโต๊ะอย่างลิงโลด

“มันจะดีหรือคะพี่ ทำแบบนี้เดี๋ยวเค้าหาว่าพี่เป็นตัวการหรอก” ครูแอ้เตือนขณะที่เห็นครูพี่นาออกอาการในขณะที่กินข้าวคลุกกะปิในโรงอาหาร

“ก็ช่างมันปะไร มีใครในโรงเรียนนี้บ้างที่ไม่คิดเหมือนในเว็บไซต์ จะมีก็แต่พวกของมันน่ะแหละที่คอยประจบสอพลอ ปิดหูปิดตาจนมันคิดว่าตัวเองน่ะเลอเลิศเกินใครในโลกนี้แล้ว ทั้งๆที่ก็ไม่ได้วิเศษวิโสไปกว่าใครเขาหรอก” ครูมัทนาแกล้งพูดให้ครูอ้อยได้ยิน

“คนเค้าจะได้รู้กันซะทีว่าโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้บริหารคนนี้เป็นอย่างไร สมน้ำหน้า ป่านนี้คงมีคนอ่านเป็นร้อยๆพันๆคนแล้วแหละ” ครูมัทนาหั่นชิ้นหมูหวานอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะเคี้ยวอย่างพิถีพิถัน

“ต้อม เธอว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้ล่ะ” ป้าสมรคว้ามือครูต้อมเข้าไปคุยในห้องคหกรรมที่ว่างเปล่า

“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันพี่ แต่ว่าก็มีไม่กี่คนที่กำลังมีปัญหากับผ.อ.อยู่นี่คะ” ครูต้อมพูดคล้ายเปิดประเด็นให้ครูสมรเกิดอาการอยากถามต่อ

“ใครล่ะ ต้อม บอกพี่มาซิ” ครูคหกรรมสาวแก่บีบมือครูต้อมอย่างแรงด้วยความลืมตัว

“โอ๊ย! พี่ ทำไมต้องบีบมือด้วย หนูบอกก็ได้ แต่ว่าปิดประตูก่อนดีกว่าไหมล่ะ” ครูต้อมพูดเมื่อเหลือบไปเห็นกลุ่มครูผู้ชาย ๔-๕ คนกำลังเดินผ่านหน้าห้องคหกรรมมา

“ตอนนี้ที่ ผ.อ.สงสัยอยู่ก็มีไม่กี่คน หนึ่ง ครูมัทนา เพราะว่าสองคนนี้เค้าไม่กินเส้นกันมาตั้งแต่ ผ.อ.ย้ายมาโรงเรียนนี้แล้ว สอง ผู้ช่วยฯเกษม ถึงแม้ว่าในเว็บไซต์จะมีชื่อของแกก็ตาม แต่ว่าตั้งแต่เรื่องข่าวฉาวของแกกับครูจุ๋ม ผ.อ.ก็พยายามจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องผู้ใหญ่บนเขตพื้นที่ฯอยู่ สามก็....”

เสียงประตูเปิดดังปัง จนครูทั้งสองหันมาด้วยความตระหนก ครูกุ๊กนั่นเอง

“ป้าสมรคะ ผ.อ.เชิญที่ห้องค่ะ”

บัตรสนเท่ห์ว่อนไปทั่วทั้งเน็ตยิ่งกว่าตอนคลิปฉาวเสียอีก แม้แต่ป้าพะยอมเจ้าของร้านข้าวแกงหน้าโรงเรียนก็ยังไม่วายถามครูสุชาวดีอีก

“นี่ครูคะ ฉันได้ข่าวว่า ผ.อ.จิ๋มถูกบัตรสนเท่ห์น่ะจริงหรือเปล่าคะ” ป้าพะยอมยื่นแก้วชาเย็นให้ก่อนจะกระซิบข้างหูครูฝ่ายวัดผลเบาๆ

“ไม่รู้สิป้า เรื่องนี้หนูพูดมากไม่ได้ ถ้าไงป้าไปถามคนอื่นดีกว่า” ครูสุชาวดีตอบเลี่ยงๆก่อนจะหันไปทำทีว่าสนใจอ่านเรื่องย่อละครในหนังสือพิมพ์ แกจึงได้เดินกลับไป

เสียงนักเรียนร้องเพลงชาติและทำกิจกรรมหน้าเสาธงในตอนเช้าของวันต่อมาดังจนกลบเสียงการวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดาครูประจำชั้นที่ยืนดูความเรียบร้อยของนักเรียนห้องตัวเอง ครูแต้วกำลังจัดการนักเรียนที่หยอกล้อกันในแถวอยู่ แต่อีกมุมหนึ่งครูกิ่งแก้วและครูปุ๊กำลังคุยกันอยู่ใต้ต้นอโศก

“เมื่อเช้าพี่นั่งทานอาหารเช้ากับผ.อ.ท่านเปรยๆกับพี่หลายๆเรื่องอยู่ และก็ไม่พ้นเรื่องนี้นั่นแหละ รู้ไหมว่าท่านสงสัยใคร” ครูแนะแนวประจำ “เฌอคู่วิทยา”หันมาคุยกับหัวหน้าสายชั้น ป.๖

“ก็ครูพชรไงล่ะ เพราะสำนวนกลอนแบบนี้ไม่มีใครหรอก” ครูปุ๊แกล้งทำเป็นสงสัยก่อนที่จะถามมูลเหตุของเรื่อง

“ผ.อ.แกไม่บอกพี่หรอกว่าเพราะอะไร แต่ว่าพี่รู้น่ะสิว่า ผ.อ.เคยเอาเรื่องของครูพชรไปฟ้องผ.อ.เขตพื้นที่ฯหลายครั้งแล้ว แต่ผ.อ.เขตพื้นที่ฯน่ะเค้าซี้กับครอบครัวของครูพชรเลยโทร.มาถาม ครูพชรจึงเล่าความจริงให้ฟัง เอ่อ....ครูพชรเคยมาปรึกษาพี่เรื่องนี้ครั้งนึงน่ะ”

ไม่ทันที่ครูกิ่งแก้วจะพูดต่อเสียงประกาศจากห้องประชาสัมพันธ์ก็ดังขึ้น

“ประกาศนะคะ วันนี้เวลา ๑๕.๓๐ น. ขอเชิญคุณครูทุกท่านประชุมพร้อมกันที่ห้องประชุมโรงเรียนค่ะ” แล้วก็ตามมาด้วยเสียงประกาศซ้ำเหมือนเช่นเคย

ตลอดทั้งวันทุกๆคนต่างพากันเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงไปต่างๆนานาจนไม่เป็นอันสอนกันเลย หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าสองสามวันที่ผ่านมาจะมีประกาศรายชื่อครูหลายคนถูกเรียกตัวเข้าไปในห้องเย็นอย่างต่อเนื่อง แต่ทุกคนที่เข้าไปก็ไม่ได้พูดอะไรออกมามากนักเพราะกลัวว่าคำพูดของตัวเองจะถูกนำไปเป็นข้อมูลในการสืบหามือมืดที่ลงในเว็บไซต์

ตัวของผ.อ.จิ๋มเองก็ไม่มีใครเข้าหน้าติดไม่เว้นแม้แต่บริวารตัวเอง เพราะความหวาดระแวงและครุ่นคิดอย่างหนัก จะมีก็แต่ลูกแมวสองสามตัวที่ยังกล้าเข้าไปเคล้าแข้งเคล้าขาเช่นเดิม

เสียงเครื่องปรับอากาศครางกระหึ่มส่งอายความเย็นยะเยือกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ตอนที่หนาวที่สุดจนอาจจะถึงจุดเยือกแข็งกำลังจะเริ่มขึ้นเมื่อ ผ.อ.จิ๋มเริ่มหยิบไมโครโฟนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ก่อนอื่นดิฉันก็ต้องขอสวัสดีเพื่อนๆครูทุกคนที่มาประชุมอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาในวันนี้ มีครูหลายคนบอกว่าดิฉันไม่กล้าที่จะประชุมโรงเรียนเพราะกลัวว่าครูจะซักฟอก แต่ดิฉันขอบอกนะคะว่าดิฉันไม่กลัว” น้ำเสียงแหลมเล็กส่งผ่านเข้าไปในโสตประสาทแต่ไม่มีใครแม้แต่จะหายใจแรงๆ

“ดิฉันบริหารงานมาอย่างโปร่งใสโดยตลอด หลักฐานทั้งหมดสามารถพิสูจน์ได้ขอดูได้ที่ครูกุ๊ก เรื่องการทำงานของทุกคนนั้นดิฉันถือว่า ครูทุกคนถ้าทำงานดีมีประสิทธิภาพเมื่อมีผู้ปกครองมาฟ้องเรื่องเกี่ยวกับครูคนนั้นดิฉันก็ไม่คิดจะเรียกเขามาตำหนิ เพราะกลัวว่าเขาจะเสียใจไม่มีกำลังใจในการทำงาน”

พูดถึงตอนนี้ครูพชรหันไปพูดกับครูปุ๊เบาๆว่า “ไม่เรียกเค้ามาตำหนิ แต่เอาเรื่องของเค้าไปเล่าให้คนอื่นฟังน่ะสิ”

ท่านผู้อำนวยการค่อยๆขยับแว่นอีกครั้งหนึ่งก่อนจะระบายความนัยต่อ “เรื่องของการประเมินขั้นก็เช่นกัน ผ.อ.ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปให้ขั้นกับใคร คะแนนก็มาจากทุกคนและมีคณะกรรมการกลั่นกรองอีกชั้นหนึ่ง หลักฐานต่างๆก็ยังมี คะแนนของทุกคนสามารถไปเรียกดูได้ แล้วการกระทำแบบที่ใช้อินเตอร์เน็ตประจานเรื่องภายในโรงเรียนก็ถือว่าเป็นการผิดวินัยร้ายแรง มีตัวอย่างมาแล้วจาก......” ผ.อ.จิ๋มค่อยๆเล่านิทานขึ้นมาเรื่องหนึ่งในทำนองเขียนเสือให้วัวกลัว

“ขู่ทั้งนั้น พูดแต่เอาดีเข้าตัว คิดว่าคนอื่นเค้าไม่รู้สันดานตัวเองหรือไง” ผู้ช่วยฯเกษมที่ปกติจะนั่งเป็นมือขวาของผ.อ.แต่วันนี้กลับมานั่งข้างๆครูสมจินต์พึมพำเบาๆ แต่ดันไปเข้าหูครูพชรซึ่งก็แอบอมยิ้มอยู่

“สมัยผ.อ.เป็นครูบรรจุใหม่ อายุราวๆยี่สิบต้นๆ ผ.อ.ก็ทำงานอย่างเต็มที่แต่ปรากฏว่าผ.อ.ไม่ได้สองขั้น เมื่อถึงเวลาประชุม เพื่อนๆก็เชียร์ให้ผ.อ.ยกมือขึ้นถาม ผ.อ.ก็ถามอาจารย์ใหญ่ในที่ประชุม รู้ไหมว่าผ.อ.โดนอะไร วันรุ่งขึ้นอาจารย์ใหญ่เรียกผ.อ.เข้าไปคุยชี้แจงต่างๆนานาและเอาใบคะแนนการประเมินให้ดู ผ.อ.เห็นคะแนนของตัวเองอยู่ในลำดับท้ายๆ รู้ไหมว่าสุดท้ายแล้ว ผ.อ.ทำยังไง” ทุกคนเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจในขณะที่ผ.อ.จิ๋มยกแก้วน้ำมะตูมขึ้นจิบก่อนจะพูดต่อ ทุกอย่างเงียบสนิทมีแต่เสียงหึ่งๆจากเครื่องปรับอากาศเท่านั้น

“ผ.อ.ก้มลงกราบแทบเท้าอาจารย์ใหญ่และสารภาพเลยว่า ที่ทำไปเพราะเพื่อนมันเชียร์ ถึงตอนนี้คนที่ไม่ได้สองขั้นจะให้ผ.อ.ก้มลงกราบก็ได้ ฉันทำได้ทั้งนั้นแหละ” ท่านผู้อำนวยการเน้นน้ำหนักเสียงในช่วงท้ายของประโยค

ครูมัทนาหันไปกระซิบกับครูแอ้อย่างขยะแขยงใจ “ตีบทแตกชิบหาย แม่นางเอกช่องเจ็ด” ก่อนจะหันไปทำทีว่าสนใจต่อ

“ดิฉันรู้ว่าหลายๆคนเรียกดิฉันว่า อี แต่ดิฉันไม่โกรธเพราะคำว่า อี เป็นคำโบราณสมัยพ่อขุนเป็นคำเรียกธรรมดาๆ บางคนยิ่งกว่านั้นเรียกดิฉันว่า หมา แต่ดิฉันก็ไม่โกรธอีกเพราะดิฉันรักหมา ตอนนี้ที่บ้านก็อยู่กับหมาสองสามตัว ที่โรงเรียนบางทียังไปนั่งคุยกับลูกแมวที่หน้าห้องประชาสัมพันธ์เลย” ผ.อ.จิ๋มยิ้มแสยะไปทางครูทั้งโรงเรียนที่นั่งจ้องมาที่แก

“ใครบอก ฉันเรียกแกว่าอีสัตว์นรกนั่นต่างหาก” ครูมัทนาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังกรอดๆ

“ถูกหล่ะ ก็ไม่มีคนคบแล้วนี่ มันก็ต้องไปอยู่กับหมากับแมวน่ะแหละถูกต้องที่สุดแล้ว” ครูปุ๊เอนตัวมาสนทนากับครูพชรเบาๆก่อนจะหัวเราะนิดๆ

“มาถึงตอนนี้แล้วใครต้องการจะซักฟอกดิฉัน ดิฉันให้เวลาห้านาทีแล้วหลังจากนี้หวังว่าจะไม่มีครูคนไหนเอาเรื่องนี้ไปซุบซิบนินทากันอีก เพราะตอนนี้ดิฉันก็ต้องเคลียร์ความบริสุทธิ์ของตัวเองและทำรายงานส่งเขตพื้นที่ ถ้ามีใครจะซักฟอกดิฉันก็จะได้บันทึกเรื่องนำเสนอเบื้องบนต่อไป”
ผ.อ.จิ๋มค่อยๆดันขอบแว่นที่ห้อยลงมาขึ้นไปเหนือสันจมูก

“เล่นพูดดักไว้แบบนี้แล้วใครมันจะกล้าล่ะ จริงไหมคะพี่ริสา” ครูสุชาวดีพึมพำกับครูริสารที่นั่งแอบข้างเสาอยู่

“โคตรกล้าหาญเลย ฉลาดจริงๆนังนี่ ให้ตายสิ” ครูพชรส่ายหน้าด้วยความสังเวชใจ

“ห้านาทีผ่านไปแล้วนะคะ ดิฉันถือว่าดิฉันบริสุทธิ์แล้ว และหวังว่าเราคงจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีและอบอุ่นต่อไป เวลามีอะไรก็ตามให้มาปรึกษาผ.อ.ก่อน ไม่ใช่มีอะไรก็วิ่งขึ้นไปที่เขตพื้นที่ ดิฉันรู้ทั้งนั้นแหละค่ะ ว่ามีใครขึ้นไปร้องเรียนอะไรบ้าง ขอให้รักษาชื่อเสียงขององค์กรเราด้วย สำหรับวันนี้ก็ขอปิดการประชุมแต่เพียงเท่านี้ค่ะ ขอบคุณค่ะ” พูดยังไม่ทันจบประโยค ผ.อ.จิ๋มก็เดินตัวปลิวกลับไปที่ห้องทำงานโดยไม่สนใจใครเลย

ต้นสายปลายเหตุของเรื่องบัตรสนเท่ห์ว่อนเน็ตนี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่นไกลก็คือ เรื่องขั้นอยุติธรรมที่ชื่อของครูที่ได้สองขั้นนั้นมีการเพิ่มชื่อครูบางคนที่เป็นบริวารของผ.อ.จิ๋มเข้าไปแล้วตัดชื่อของครูบางคนออกทั้งๆที่มีการเซ็นชื่อรับรองแล้ว โดยที่กรรมการการพิจารณาไม่รู้เรื่องเลย ไม่ใช่ใครอื่นไกลหรอกที่ทำก็ฝีมือของผ.อ.จิ๋ม ครูกุ๊กและครูต้อมช่วยกันจัดการนั่นเอง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถสืบหาต้นตอของผู้ที่โพสท์ลงในเว็บไซต์ได้ เพราะเลขไอพีที่ไม่ซ้ำกันแถมเมื่อสืบไปแล้วก็อยู่คนละภูมิภาคกับโรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”ทั้งสิ้นและจำนวนของคอมเมนท์นั้นก็มีเท่ากับจำนวนของครูในโรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”นั่นเอง สรุปว่าจับมือใครดมไม่ได้

( ชื่อตัวละครและเรื่องราวนี้เป็นแต่เรื่องสมมติขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงถึงผู้ใด หากได้ล่วงเกินแก่ใครก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ )

( โปรดติดตามตอนต่อไป )

วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สงครามกระดานดำ ตอน พรหมจรรย์แลกตำแหน่ง



“สร้อยแสงแดงพระพาย ขนเขียวลายระยับ ปีกสลับเบญจรงค์ เลื่อมลายยงหงสบาท เอ่อ เออ............” เสียงเพลงไทยเดิมแว่วมาจากห้องนาฏศิลป์ซึ่งปรากฏร่างของสตรีในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาวและโจงกระเบนสีแดงตามอย่างชุดฝึกซ้อมของนางรำทั่วไปยืนเด่นอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ สะท้อนเงาของนักเรียนหญิงชั้น ป.๖ ซึ่งอยู่ในชมรมนาฏศิลป์ประมาณ ๑๐ คน ปฏิบัติท่ารำตามอย่างที่ครูเรณูได้ฝึกซ้อม

“ฐิติมา แขนน่ะให้มันอ่อนช้อยหน่อยสิ โน่น แม่ฟองจันทร์ครูบอกแล้วใช่ไหมว่าเวลารำให้ยิ้มด้วย หน้าบึ้งเป็นถังข้าวหมูเชียว” ครูเรณูสำรวจท่ารำของนักเรียนแต่ละคนเพื่อเตรียมการแสดงในพิธีเปิดนิทรรศการทางวิชาการของกลุ่มโรงเรียนร่วมสหวิทยาเขต

ครูเรณู หรือ “ครูจุ๋ม”เป็นครูอัตราจ้างซึ่งทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้ส่งมาสอนแทนครูวิฬาร์วรรณซึ่งได้เกษียณอายุไปเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว ตัวเธอนั้นจัดว่าสวยสมศักดิ์ศรีบทนางสีดาประจำคณะศิลปกรรมศาสตร์ เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยมาได้ ๔-๕ ปี ดังนั้นจึงเป็นที่จับตามองเป็นพิเศษจากบรรดาครูผู้หญิงรุ่นพี่ว่าจะมีเรื่องราวข่าวคาวให้ซุบซิบนินทากันเหมือนคราวของครูฝนหรือไม่

“เฮ้ย...ไอ้บุ๊ง คราวนี้ไม่คิดจะแอ้มแม่นางสีดาคนงามหน่อยเหรอวะ” ครูโรจน์ซึ่งนั่งเอนหลังสบายอารมณ์ในศาลาข้างต้นโพคู่ถามขึ้น

“ไม่ไหวล่ะพี่ ลักษมีเล่นโทรเช็คผมตลอดเลย แถมยังตรวจเบอร์โทรในมือถือทุกวัน ลองว่ามีเบอร์แปลกๆมาล่ะก็เป็นต้องได้ซักไซ้ไล่เลียงผมให้จนมุมเลยล่ะ” ครูบุ๊งกล่าวถึงภรรยาสุดที่รักซึ่งเคยมาสร้างวีรกรรมในโรงเรียน

“แต่ว่าของแบบนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอกพี่ ช่วยไม่ได้เกิดมาหน้าตาดีก็แบบนี้แหละ” ครูบุ๊งยกมือขึ้นเสยผมก่อนจะเดินตรงไปยังห้องเรียนเพื่อสอนในชั่วโมงต่อไป

“เรณูจ๊ะ อย่าหาว่าผ.อ.หัวโบราณเลยนะ แต่ว่าการแต่งกายของหนู ผ.อ.ว่ามันค่อนข้างจะไม่เหมาะสมกับความเป็นครูนะจ๊ะ มันน่าจะไปเป็นสาวห้างหรือว่าพวกอะไรโคๆตี้ๆมากกว่า กระโปรงสั้นข้างยาวข้าง รองเท้าก็หัวเชิดเหมือนจะไปเป็นพระยาแรกนาได้เลยนะ” ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนพูดพลางสายตาก็สำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าครูนาฏศิลป์สาวหลังจากที่เซ็นชื่อในสมุดลงชื่อปฏิบัติราชการ

วันนี้ครูเรณูทำผมทรงทันสมัยและแต่งตัวเหมือนเดินออกมาจากนิตยสารแฟชั่นเล่มล่าสุดที่เพิ่งวางแผงเลยทีเดียว ในแววตาของ ผ.อ.จิ๋มนั้นเธอสามารถอ่านได้ว่าเป็นการตำหนิอย่างรุนแรงตามประสาคนรุ่นสงครามโลก

“พี่ริสาคะ พี่ว่าหนูแต่งตัวเป็นไงบ้างคะ” ครูเรณูถามครูริสาซึ่งสนิทสนมมากที่สุดในโรงเรียนในขณะที่หมุนตัวให้ดู

“ก็สวยดีนี่จ๊ะ ทำไมเหรอ” ครูริสาซึ่งกำลังหยิบเอกสารเตรียมจะไปสอนแสดงความคิดเห็น

“ก็ผ.อ.น่ะสิคะ บอกว่าหนูแต่งตัวไม่เหมาะสมกับความเป็นครู แถมว่าหนูน่าจะไปเต้นโคโยตี้มากกว่า” ครูนาฏศิลป์มีท่าทีไม่มั่นใจจนไม่กล้าไปสอนนักเรียน

“อุ๊ย....น้องเรณูอย่าไปคิดอะไรมากมายกับคนแบบนั้นเลยจ้ะ ตอนพี่มาแรกๆก็เคยถูกกระทบกระแทกแบบนี้แหละ รู้ไหมว่าพี่ทำยังไง” ครูริสาทิ้งช่วงให้เกิดความสงสัย

“พอวันรุ่งขึ้นพี่ก็ใส่เสื้อแขนยาวสีขาวมีลูกไม้ระบายที่แขนและข้อมือ ปิดคอปิดข้อมือแล้วก็สวมกระโปรงสีดำยาวถึงตาตุ่ม ใส่รองเท้าคัทชู แบบว่าถอดแบบครูไหวใจร้ายหรือครูระเบียบเดินมาเลยจ้ะ ปรากฏว่าครูรุ่นป้าๆเลิกพูดถึงเรื่องการแต่งตัวของพี่ไปเลยล่ะจ้ะ” ครูริสาเล่าเรื่องที่เคยประสบกับตัวเองเมื่อ ๗-๘ปีที่แล้วให้ครูรุ่นน้องฟัง ครูเรณูจินตนาการแล้วอดหัวเราะไม่ได้ รู้สึกใจชื้นขึ้นจึงเดินออกไปสอนนักเรียนอย่างมั่นใจ

คนเราบางครั้งไม่ได้ไปหาเรื่องใครแต่เรื่องก็กลับวิ่งมาชนเราเองก็มีอยู่บ่อยครั้งไป เช่นเดียวกับครูเรณูซึ่งเพิ่งจะมาสอนได้ไม่นาน ครูต้อมปากปีจอที่บรรดาครูตั้งสมญานามให้นั้นก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างเข้มแข็งไปขุดหาข่าวของครูสาวมารายงานให้ผ.อ.ทราบและไม่ลืมที่จะตีฆ้องร้องป่าวคนอื่นๆด้วย

“เมาท์ค่ะเมาท์ รู้ข่าวเด็ดประจำวันนี้หรือยังจ๊ะ รับรองว่าทุกคนรู้แล้วต้องอึ้งแน่นอน” ครูต้อมหยิบเก้าอี้เพื่อนั่งลงข้างๆครูจินดากับครูสมรที่หันมามองเป็นตาเดียวกัน

“ฉันรู้แล้วล่ะว่าแม่เรณูหรือน้องจุ๋มที่รักของพี่มัทนาน่ะเค้าใหญ่มาทางเส้นไหน” ครูต้อมแกล้งพูดเน้นน้ำหนักเสียงเพื่อให้ครูมัทนาซึ่งกำลังคุยอยู่กับครูแอ้และครูกรรณิการ์หันมาฟัง

“แม่เรณูนั่นนะเค้าเป็นเด็กของผู้ช่วยฯเกษมนี่เองค่ะ ได้ข่าวว่าไปรู้จักกันที่โรงแรมที่เรณูเค้าเป็นนักแสดงประจำอยู่ แล้วไม่รู้ไปหว่านล้อมอีท่าไหนเลยได้เข้ามาอยู่ในโรงเรียนนี้แหละค่ะ” ครูต้อมส่งเสียงเจื้อยแจ้วอย่างได้อรรถรสโดยไม่ได้สนใจกับสีหน้าของครูมัทนาที่ส่งสายตาขยะแขยงเหมือนเห็นกองอาจมส่งกลิ่นเน่าบูดมาเตะจมูก

อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่แค่ไหนแม้แต่เรื่องเม็ดข้าวหล่นในโรงอาหารที่มีคนพลุกพล่านก็จะกลายเป็นที่รับทราบของทุกคนในทันทียิ่งกว่าไฟลามทุ่ง

“จำไว้เลยนะแอ้ อย่าเที่ยวเผลอพูดอะไรกับใครไปพล่อยๆล่ะ คนในโรงเรียนนี้น่ะเห็นๆกันอยู่ พี่ไม่อยากพูด” ครูมัทนาหันกลับมาสอนบทเรียนให้กับครูแอ้ก่อนจะเดินออกจากโรงอาหารไปยังห้องพักครูสายชั้น ป.๔

และจากการรายงานข่าวของครูต้อมในวันนั้น ทำให้ทุกคนจับตามองครูเรณูเป็นพิเศษ แม้แต่ครูริสาซึ่งถือว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดแล้วก็อดที่จะระแคะระคายไม่ได้

“จุ๋มจ๊ะ เที่ยงนี้ไปนั่งกินน้ำเย็นๆที่ร้านป้าสกาวไหมจ๊ะ ร้านนี้เค้าทำน้ำผลไม้อร่อยมากเลยนะ” ครูริสาเข้าไปทักครูเรณูที่ระเบียงทางเดินระหว่างอาคารสามและสี่

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ริสา พอดีเที่ยงนี้จุ๋มมีนัดค่ะ” ครูเรณูตอบเลี่ยงๆไม่ได้สบตาครูรุ่นพี่แล้วก็รีบเดินจากไปทันที

ที่ร้านของป้าสกาวหรือสภากาแฟของครูโรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”อีกร้านหนึ่งนอกจากร้านป้าพะยอม ครูโรจน์ ครูสมจินต์ ครูวิรุณและครูวิชาญกำลังนั่งคุยกันโดยมีเครื่องดื่มเย็นๆกันคนละแก้ว ครูวิรุณที่ไม่บ่อยนักที่จะออกจากห้องคอมพิวเตอร์มาได้สะกิดครูวิชาญที่กำลังส่องพระเครื่องอยู่อย่างร้อนรน

“ดูๆเร็วไอ้ชาญ ของดีเว้ย” ครูทั้งโต๊ะไปตามนิ้วของครูวิรุณที่ชี้ไปยังบุคคลสองคน คนหนึ่งคือ ผู้ช่วยฯเกษมที่ทำท่าลับๆล่อๆอยู่ถนนฝั่งตรงข้ามร้านป้าสกาว ส่วนอีกคนคือ ครูเรณูซึ่งรีบวิ่งมาที่รถของผู้ช่วยฯฝ่ายปกครองอย่างรวดเร็วก่อนจะออกรถไปในฉับพลัน

“น่าเสียดายจริงๆ นางสีดานารียอมให้ทศกัณฐ์เจาะไข่แดงฟรีๆเองแล้วเหรอนี่” ครูวิชาญรำพึงกับตัวเองในขณะที่ในสมองก็จินตนาการไปไกลลิบ
ที่ห้องพักครูสายชั้น ป.๖ ครูปุ๊กับครูริสานั่งปรึกษางานเรื่องงานนิทรรศการโรงเรียนกันอยู่ ครูริสาจึงเอ่ยถามหัวหน้าสายชั้น ป.๖

“พี่ว่าเรื่องของน้องจุ๋มนี่จริงหรือเปล่าคะ” ครูริสาเงียบเสียงลงเมื่อนักเรียนเอาสมุดการบ้านมาส่ง เมื่อนักเรียนเดินออกจากห้องพักครูไปจึงได้กลับเข้าบทสนทนาต่อ

“พี่ว่าน่าจะมีมูลนะ เพราะครูพชรเค้าก็บอกว่าเห็นครูเรณูนั่งรถยนต์ของผู้ช่วยฯเกษมผ่านหน้าร้านตอนเย็นอยู่บ่อยๆ”

“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ เห็นหน้าใสๆแบบนั้นไม่คิดเลยว่าจะใจกล้าขนาดนั้น” ครูริสากล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวัง

“ชีวิตใครชีวิตมัน เค้าเลือกเส้นทางนี้แล้วล่ะ” ครูปุ๊หันกลับไปจดบันทึกการจัดกิจกรรมต่อ

หลังจากนั้นไม่นานมีหนังสือสั่งการจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้พิจารณาครูอัตราจ้างเพื่อบรรจุเป็นพนักงานราชการ ปรากฏว่าชื่อของครูเรณูมีในรายชื่อที่ส่งฝ่ายธุรการด้วย

“พี่เกษมคะ เรณูเค้ายังขาดเวลาปฏิบัติงานอยู่เกือบสองเดือนนะคะ ไม่เข้าคุณสมบัติแบบนี้ทำไมส่งชื่อเข้ามาได้ล่ะ” ผู้ช่วยฯเครือวัลย์ซึ่งควบตำแหน่งฝ่ายธุรการด้วยคัดค้านในห้องวิชาการเมื่อครูกุ๊กนำหนังสือราชการมาให้เซ็น

“ส่งชื่อไปเหอะวัลย์ เดี๋ยวพี่เคลียร์ทางผู้ใหญ่เอง” ผู้ช่วยฯเกษมทำหน้าฉุนก่อนจะปิดประตูกระจกห้องวิชาการเสียงดัง “ปัง!”

ผ่านไปไม่นานคำสั่งบรรจุแต่งตั้งก็มาถึงและก็เป็นไปตามที่คาดไว้ มีชื่อของ นางสาวเรณู ลิมปิกรนันท์ หรือครูจุ๋ม อยู่ในนั้นด้วย หลังจากคำสั่งฉบับนั้นปรากฏว่า ทุกสิ่งทุกอย่างของเธอพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการสอนที่จะเข้าสอนเฉพาะเมื่อถึงชั่วโมงตัวเองเท่านั้น ไม่สนใจหรือเกรงใจใครในโรงเรียนแม้แต่น้อย ชนิดที่ว่าข้ามหัว ผ.อ.จิ๋มไปเลยทีเดียว ส่วนในชั่วโมงว่างก็จะนั่งชูคอเป็นตุ๊กตาหน้ารถของผู้ช่วยฯเกษมออกไปช้อปปิ้งข้างนอกทุกวัน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็หรูหราฟู่ฟ่า ทันสมัยที่สุดยิ่งกว่าเมื่อตอนที่ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนได้ตักเตือนเสียอีก จะทำอย่างไรได้ก็ผู้ช่วยฯเกษมนั้นกว้างขวางในหมู่ผู้มีอำนาจหลายท่านซึ่ง ผ.อ.จิ๋มยังสามารถเก็บไว้ใช้งานได้อยู่ และแล้วธาตุแท้ของครูนาฏศิลป์สาวก็เผยโฉมออกมา

“พี่ปุ๊คะ น้องไม่อยากเชื่อเลยนะคะว่าคนเรามันจะเปลี่ยนกันได้ถึงขนาดนี้” ครูริสาอดีตเพื่อนสนิทของครูเรณูบ่นอย่างเซ็งๆกับครูปุ๊

“สันดานหมายังไงมันก็อดกินขี้ไม่ได้หรอก ริสา ทองชุบยังไงซักวันมันก็ต้องลอก” ครูปุ๊ที่นั่งอ่านนิตยสารซุบซิบบันเทิงพูดขณะที่สายตากำลังจดจ่อกับคอลัมน์ดูดวงรายสัปดาห์

“แต่จะไปได้ซักกี่น้ำล่ะ รู้ๆกันอยู่ว่าผู้ช่วยฯเกษมน่ะหนี้สินท่วมหัว ครูพรรณีเอย เถ้าแก่เส็งเอย เจ๊กิมเอยตามทวงหนี้ยิกๆอยู่ทุกเดือน คอยหัวเราะวันที่นางอุทัยเทวีตกจากวอดีกว่า” ครูปุ๊วางนิตยสารลงหลังจากพอใจกับคำทำนายประจำสัปดาห์นี้

เสียงรถยนต์คันงามของผู้ช่วยฯเกษมขับผ่านหน้าอาคารเรียนหนึ่งไปชนิดฝุ่นตลบโดยไม่กลัวว่าจะชนนักเรียนที่กำลังเล่นกันอยู่ในสนามฟุตบอล ภายในเห็นหญิงสาวอายุคราวลูกนั่งอยู่เคียงข้าง ม่านสีกรมท่าจากห้องทำงานของ ผ.อ.จิ๋มแง้มออกครู่หนึ่งก่อนจะปิดลงดังเดิม

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สงครามกระดานดำ ตอน ตัวเลขปริศนา



คณะกรรมการประเมินวิทยฐานะเดินทางกลับไปพร้อมกับผ้าไหมราคาแพงลิบเป็นน้ำใจจากบรรดาครูโรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”หลายสิบชิ้นตามคำแนะนำของท่านผู้อำนวยการโรงเรียนกันแล้ว ก็เหมือนกับยกภูเขาสามร้อยยอดออกจากอกเสียที บรรดาครูผู้ชายก็รวมกลุ่มกันนัดหมายตั้งวงก๊งเหล้ากันที่ศาลาลานโพคู่หลังเลิกเรียนเป็นการฉลอง ส่วนครูผู้หญิงก็ไม่พ้นร้านส้มตำรสเด็ดข้างๆโรงเรียน

“ใครจะเอาอะไรไปบอกลูกน้องที่ร้านผมได้เลยนะ” ครูพชรเสนอแนวคิดสนับสนุนเหล้าเบียร์และกับแกล้มจากร้านของตน

“ฟรีใช่ป่ะ” ครูบุ๊งได้ยินก็ตาลุกวาวคิดว่าอ้อยจะเข้าปากช้างเสียวันนี้แหละ

ครูพชรส่ายหัวอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะประกาศเจตนารมณ์ชัดเจน “ผมให้เบียร์สองลัง นอกนั้นจ่ายสด งดเชื่อ เบื่อทวงครับผม”

“เขี้ยวชิบเลย น้องพชรนี่ กับพี่กับเชื้อไม่เลี้ยงกันบ้าง” ครูวิชาญซึ่งนั่งส่องพระกับครูวิรุณอยู่หันมากระทบกระแทก ครูพชรจึงแกล้งหยิบเครื่องคิดเลขมาคำนวณ ครูวิชาญจึงได้รั้งไว้

“เอ้า...ไม่ต้องคิดกำไรขาดทุนหรอก ได้เบียร์สองลังจากแกก็เป็นพระคุณอันสูงส่งชดใช้ถึงชาติหน้าไม่หมดแล้วล่ะ

“ไอ้รุณ แกได้ข่าวเรื่องนายแคล้วถูกหวยหรือยังวะ” ครูวิชาญหันมาถามเพื่อนนักเลงพระที่กำลังง่วนอยู่กับพระใหม่ที่ได้มาจากแผงพระหน้าวัดประจำอำเภอ

“รู้สิ เค้าโจษจันกันให้แซ่ดว่าต้นโพคู่นี้แหละให้หวยแม่นมาสามงวดติดๆกันแล้ว แกไม่เห็นผ้าสีเจ็ดศอกยาวเจ็ดสีนั่นหรือไง” ครูสอนวิชาคอมพิวเตอร์ชี้ไปที่ต้นโพคู่ซึ่งจากเดิมเป็นที่ปีนป่ายสนุกสนานของเด็กนักเรียนแต่ตอนนี้แปรสภาพกลายเป็น “เจ้าพ่อโพเงินกับเจ้าแม่โพทอง” ไปเสียแล้ว

ที่หน้าโคนโพต้นหนึ่งซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “เจ้าพ่อโพเงิน”นั้นมีตั่งตัวเล็กๆตั้งกระถางธูปและเชิงเทียนยาว ในกระถางอัดแน่นไปด้วยก้านธูปและขี้เถ้า ส่วนเชิงเทียนก็เกาะกรังไปด้วยขี้ผึ้งเทียนที่หลอมละลาย มีพานใส่หมาก บุหรี่ และเหล้าขาวจอกเล็กตั้งอยู่เต็มไปหมดจนหาช่องว่างไม่ได้ ส่วนหน้าโคนโพซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “เจ้าแม่โพทอง”ก็มีสภาพคล้ายคลึงกัน หากแต่เครื่องเซ่นนั้นเป็นอย่างที่เจ้าแม่ทั่วๆไปโปรด คือ แป้ง น้ำอบไทยและเครื่องแต่งกายไทยๆแขวนอยู่สองสามชุดและมีผ้าเจ็ดสีเจ็ดศอกพันรอบต้น

“เมื่อวานพี่กลับบ้านเกือบหกโมงเย็นแล้ว ตอนไปเอารถที่โรงจอดรถแล้ว บรื๋อ!!!!!!นึกแล้วขนลุกไม่หาย” ครูอ้อยเริ่มเล่าประสบการณ์ชวนสยองให้บรรดาเพื่อนครูฟังในร้านป้าพะยอม

“ทำไมล่ะพี่อ้อย เกิดปวดขี้ขึ้นมาหรือถึงได้ขนลุก” ครูพชรที่นานๆทีจะมาโรงเรียนเร็วเป็นพิเศษแกล้งพูดดักคออดีตเจ้ามือแชร์ตัวแสบ

“บ้าสิ นายพชร อย่าไปถือคนบ้าเลยฟังต่อดีกว่า” ครูอ้อยหันไปค้อนใส่ครูรุ่นน้องก่อนจะเริ่มเล่าเหตุการณ์ต่อ
คราวนี้บรรดาลูกค้าที่อยู่ในร้านป้าพะยอมก็เขยิบเก้าอี้เข้ามาใกล้ๆครูอ้อย

“หนูก็เดินไปเอารถที่โรงจอดรถ มันก็ต้องผ่านต้นโพคู่ใช่ไหมคะ หนูมีความรู้สึกเหมือนมีใครมอง มันเย็นๆข้างหลังยังไงไม่รู้ เหมือนมีใครมาเป่าหูอยู่ มันเย็นวาบๆ พอดีหนูก็ได้ยินเสียงหัวเราะแหลมเล็กมันดังมากๆเลยค่ะ หนูก็ตกใจหันไปดู พอหันไปดูที่ต้นเสียงบนกิ่งโพหนูก็เห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยนั่งบนกิ่งไม้แล้วยิ้มให้หนู เท่านั้นแหละค่ะหนูก็ใส่เกียร์หมาออกจากตรงนั้นเลย” ครูอ้อยเอามือลูบแขนตัวเองที่ขนลุกเกรียวไปหมด ผู้ฟังต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา

“ก็สมัยก่อนย่าของป้าเล่าว่า ที่ดินของโรงเรียนเฌอคู่น่ะเคยเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่ถูกพม่าตีแตกแล้วฆ่าชาวบ้านตายหมดทั้งหมู่บ้านน่ะสิ สมัยก่อนตอนที่ยังเป็นอาคารไม้อยู่ ครูผู้ชายที่อยู่เวรจะได้ยินเหมือนเสียงคนสู้รบกัน ทั้งเสียงหวีดร้อง เสียงโห่ เสียงปืน เสียงดาบเป็นประจำ” ป้าพะยอมที่เอาแก้วชาเย็นมาเสิร์ฟให้ครูสุชาวดับครูริสาเล่าให้ฟังจนสองสาวถือช้อนค้างไว้อยู่นาน

เรื่องลี้ลับเป็นเรื่องที่เล่ากันไม่จบง่ายๆ เพราะตั้งแต่นักเรียนตัวเล็กๆ ครูหรือคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้างหน้าโรงเรียนก็นำหัวข้อนี้มาเล่าแทบทั้งสิ้นและแน่นอนว่าต้องมีการใส่สีตีไข่ลงไปจนทวีความน่ากลัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“พี่อ้อยคะ เมื่อคืนจุ๋มฝันแปลกๆค่ะ พี่ช่วยตีให้หน่อยสิคะว่าหนูน่าจะซื้อหวยอะไรดี” ครูเรณูซึ่งเป็นครูอัตราจ้างสอนวิชานาฏศิลป์นั่งคุยกับครูอ้อยซึ่งกำลังรวบรวมโพยหวยที่เพื่อนครูในโรงเรียนซื้อกับตัวเองก่อนนำไปให้เจ้ามือ

“ฝันว่าไงน้องเรณูก็เล่ามาสิ” ครูอ้อยหยิบเครื่องคิดเลขออกมาจิ้มอย่างชำนาญ

“หนูฝันว่าหนูไปร่วมพิธีเบิกเนตรพระหรือรูปปั้นอะไรซักอย่างนี่แหละค่ะ มีพระเอาแป้งไปเจิมที่ดวงตาของเทวรูปแล้วหนูก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ระงมเลย” ครูอ้อยผละจากงานที่ทำก่อนที่จะทำท่าคิดอย่างตริตรอง

“ตามตำรานะ ก็น่าจะเป็น สาม สอง เจ็ด หรือแปด ไม่พ้นสี่ตัวนี้แน่นอน เชื่อพี่สิรับรองคราวนี้น้องเรณูรวยเละแน่” ครูอ้อยพยายามหว่านล้อมจนในที่สุดเงินเกือบๆห้าพันบาทก็เข้าไปอยู่ในมือของครูอ้อย

ที่ต้นโพคู่ปรากฏผู้หญิงสองคนกำลังลับๆล่อๆก้มๆเงยๆกันอยู่ ไม่ใช่ใครอื่นไกลก็ครูต้อมกับครูอ้อยกำลังเอาแป้งทาแล้วลูบๆต้นโพอย่างทะนุถนอม ปากก็บ่นคาถารำพันกันขมุบขมิบ

“เห็นแล้วน้องอ้อย สอง แปด เจ็ดหรือหนึ่งนะไอ้ขีดนี้” ครูต้อมเอ่ยตัวเลขที่ตัวเองจินตนาการตามรอยที่เอานิ้วมือถูโดยมีครูอ้อยจดคำพูดลงไว้ในเศษกระดาษ

“เพี้ยง ให้ถูกทีเหอะงวดนี้จะได้ปลดหนี้ปลดสินครูพชรกับครูพรรณีซักที ถ้าหนูถูกหวยนะเจ้าคะจะแก้ผ้ารำถวายตอนเที่ยงวันพร้อมกับพี่ต้อมเลยค่ะ” ครูอ้อยยกมือไหว้ขึ้นท่วมหัว ไม่พ้นสายตาของครูมัทนาซึ่งกำลังสอนอยู่ห้องแถวนั้นพอดี

“เป็นครูบาอาจารย์แต่มางมงายกับไอ้เรื่องแบบนี้ ว่าแล้วว่าทำไมถึงไม่เจริญ ไม่เป็นแบบอย่างอะไรที่ดีๆให้กับนักเรียนได้สักอย่างเลย เอ้า...ดูอะไรคะนักเรียน อ่านเรื่องระบำสายฟ้าต่อสิคะ” ครูมัทนากลับเข้ามาสู่บรรยากาศการสอนต่อ

เรื่องหวยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งของบรรดาครูที่จะพลาดไม่ได้ทุกวันที่ ๑ และ ๑๕ ของเดือนโดยมีผู้ค้ารายใหญ่คือ ครูอ้อย ที่หาลำไพ่พิเศษทุกทางเพื่อหาเงินมาปลดหนี้ของตนเองรวมทั้งหนี้สินที่ยังค้างสมาชิกในวงแชร์อีกหลายหมื่น ส่วนคนที่ทุ่มทุนสร้างเรื่องซื้อหวยก็คงไม่พ้นครูจุ๋มซึ่งบ้าหวยขึ้นสมองมากๆทั้งที่เงินเดือนครูอัตราจ้างก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ข่าวลือจากวงในบอกว่าเธอเป็นเมียน้อยของผู้ใหญ่ในจังหวัดท่านหนึ่งซึ่งใช้เส้นฝากเธอเข้ามาสอนที่โรงเรียนนี้
“พี่อ้อยขา หนูถูกหวยอีกแล้วค่ะ ต้องขอบคุณพี่มากเลยนะคะที่ช่วยตีเลขให้หนู สอง แปด เจ็ดค่ะ” ครูเรณูกรี๊ดเสียงดังลั่นเมื่อข้อความอัตโนมัติในโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเพื่อแจ้งผลการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลประจำงวดนี้ ครูอ้อยกับครูต้อมก็ถูกหวยเช่นกัน แต่ดูทั้งสองไม่ค่อยจะมีความสุขมากนักเมื่อนึกถึงคำพูดที่ไปบนไว้กับ “เจ้าพ่อโพเงินกับเจ้าแม่โพทอง”

“บุ๊งๆ อยากดูผู้หญิงแก้ผ้าไหมวะ” ครูสมจินต์เดินตรงเข้ามาหาครูบุ๊งซึ่งกำลังสอนนักเรียนให้ทำงานปะกระดาษอยู่

“ที่ไหนเหรอพี่ รูปใหม่หรือคลิปหลุดใครอีกล่ะ” ครูบุ๊งหันมาถามด้วยความสนใจ

“ไม่ใกล้ไม่ไกล ใต้ต้นโพคู่นี้แหละ ครูต้อมกับครูอ้อยบนว่าถ้าถูกหวยจะแก้ผ้ารำถวายตอนเที่ยงวัน โน่นคนไปมุงกันเต็มแล้ว” ครูสมจินต์ไม่พูดเปล่ารีบลากมือครูบุ๊งไปยังลานโพคู่ทันที

ที่ลานโพคู่มีผ้าขาวกันอุจาดกั้นไว้เห็นแต่ศีรษะของครูวัยกลางคนสองคนรำเหยงๆโดยมีเพลงไทยเดิมที่ยืมมาจากครูเรณูดังแว่วๆ รอบข้างมีนักเรียนและครูตลอดจนชาวบ้านที่รู้ข่าวยืนอยู่เต็มเหมือนมีงานประจำปี ที่มุมหนึ่งครูพชร ครูพรรณีและบรรดาเจ้าหนี้ของครูอ้อยยืนกันอยู่เต็มเพื่อรอครูอ้อยชำระหนี้รวมทั้งสมาชิกวงแชร์เมื่อคราวก่อนด้วย

“แม่ศรีเอย แม่ศรีสาวสะ ยกมือไหว้พระ ว่าจะมีคนชม แขนเจ้าก็ต่อ คอเจ้าก็กลม ชักผ้าห่มนม ชมแม่ศรีเอย” เสียงเด็กนักเรียนร้องเพลงแม่ศรีที่ครูพชรเคยสอนในห้องเรียนล้อครูทั้งสองกันอย่างครื้นเครง

“ผมว่าเจ้าพ่อเจ้าแม่คงฝันร้ายไปหลายคืนล่ะที่เห็นของดีของสองคนนั่น” ครูพชรกระซิบกับครูพรรณีที่กำลังหาสมุดจดหนี้อยู่เมื่อเพลงไทยเดิมหยุดเล่นแล้ว

หลังเรื่องราวการแก้ผ้ารำแก้บนของครูทั้งสองยุติลงทำให้กระแสการเล่นหวยในโรงเรียนคึกคักยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็จะได้ยินแต่บรรดาครูพูดกันแต่เรื่องหวยและดูเหมือนจะทุ่มทุนซื้อกันหนักกว่าเดิม คนที่มีความสุขยิ้มจนหน้าบานที่สุดคือ ครูพรรณีซึ่งบรรดาเพื่อนครูมาขอกู้เงินไปเล่นหวยเอาอย่างครูอ้อยที่เล่นหวยปลดหนี้บ้าง

“ผ.อ.แกไม่ว่าอะไรบ้างเหรอ ตอนนี้ทั้งโรงเรียนมีแต่ครูบ้าหวยจนไม่เป็นอันสอนกันหมดแล้ว เห็นอะไรนิดอะไรหน่อยก็ตีเป็นเลขหมด ขนาดนักเรียนขี้ใส่กางเกงป้าจินดายังเอามาตีเป็นเลขเลย” ครูแอ้นั่งคุยกับครูมัทนาที่ม้าหินใต้ต้นอโศกที่หน้าอาคารเรียนหนึ่ง

“จะไปว่าอะไรล่ะ ก็ไอ้ที่เป็นแกนนำในเรื่องบ้าๆบอๆนี่ก็พวกนางสนองพระโอษฐ์ตัวโปรดของแกทั้งนั้น แกคงคิดว่าดีเสียอีกที่อีนางพวกนั้นจะได้จ่ายเงินคืนแกบ้างล่ะมั้ง” ครูมัทนาเอาไม้จิ้มสับปะรดเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างระบายอารมณ์

หลังจากนั้นอีกสองสามงวดคงด้วยความที่ “เจ้าพ่อโพเงินกับเจ้าแม่โพทอง”เห็นของดีครูต้อมและครูอ้อยเลยพาลให้หวยไม่แม่น เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย ลานโพคู่จึงแปรสภาพจากศาลเจ้ากลับมาเป็นที่วิ่งเล่นของนักเรียนและที่ประชุมย่อยๆของครูผู้ชายเหมือนเดิม แต่บรรดาคอหวยก็ยังสรรหาแหล่งให้หวยเด็ดๆกันอยู่เป็นประจำ

“น้องแต้วคะ พี่ฝากห้องข้างๆด้วยนะพี่มีธุระต้องออกไปข้างนอกด่วนเลยค่ะ” ครูจินดาชะโงกคอเข้ามาหาครูแต้วที่กำลังนั่งตรวจงานนักเรียนที่ต่อแถวยาวอยู่ข้างโต๊ะครู ครูแต้วพยักหน้าแล้วยิ้มนิดหน่อย ก่อนที่ครูจินดาจะเดินออกไปเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น

“มากันแล้วใช่ไหม รีบไปกันเหอะ ฉันฝากห้องไว้กับน้องแต้วแล้ว เดี๋ยวชักช้าเกิดอาจารย์แกลงประทับทรงแล้วไปไม่ทันจะพลาดเลขเด็ดอีก เห็นว่าที่นี่ให้สามตัวตรงมาหลายงวดแล้วนะ”
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สงครามกระดานดำ ตอน วิทยฐานะลวงโลก



ใบโพร่วงหล่นตามกระแสลมลงบนลานกว้างที่แสนร่มรื่น นักเรียนชายกลุ่มหนึ่งเล่นไล่จับอยู่กับลูกแมวสีตุ่นๆสองสามตัวที่ผ.อ.จิ๋มเก็บมาเลี้ยงและมอบหมายให้นายแคล้วภารโรงดูแล ส่วนนักเรียนหญิงก็นั่งเล่นตุ๊กตากระดาษกันอยู่ที่โต๊ะม้าหิน เสียงน้ำตกจำลองไหลซ่าๆ นักเรียนตัวเล็กๆสองสามคนกำลังเอาไม้แหย่ลงไปในน้ำให้ปลาออกมาจากกอบัวสีม่วงสด หากแต่เสียงประกาศจากห้องประชาสัมพันธ์ทำลายความงามนี้ไปหมดสิ้น เพราะลองว่ามีเสียงประกาศทีไรก็แสดงว่าต้องมีครูคนใดคนหนึ่งถูกเรียกตัวเข้าห้องเย็นเสียเป็นส่วนใหญ่

“ประกาศนะคะ ขอเชิญครูพชรพบท่านผู้อำนวยการที่ห้องทำงานเดี๋ยวนี้เลยนะคะ” แล้วก็ตามมาด้วยเสียงประกาศซ้ำอีกเช่นเคย

“นี่ผ.อ.แกเป็นอัลไซเมอร์หรือไงวะ รู้อยู่แล้วว่าเช้าๆแบบนี้ไอ้พชรมันต้องขายของอยู่ที่ร้านแน่นอน กว่าจะมาก็เพลงมาร์ชรอบที่สองขึ้นโน่น” ครูโรจน์พูดกับครูสมจินต์ในขณะที่มือกำลังยกแก้วกาแฟอยู่

“เออ...ไอ้จินต์แกเตรียมตัวส่งวิทยฐานะหรือยังวะ” ครูโรจน์พูดต่อ

“ยังเลยว่ะแก งานเอกสารแบบนี้สู้พวกครูผู้หญิงไม่ได้หรอก เล่นเก็บแม่งละเอียดยิบชิบหายเลย กูตั้งแต่บรรจุมาก็มีแต่แผนการสอนเท่านั้นแหละว่ะ ไอ้เรื่องเอกสารตอหลดตอแหลพวกนั้นบอกตรงๆว่าไม่ใช่สันดานกูเลย” ครูสมจินต์หยิบปาท่องโก๋จิ้มสังขยาก่อนจะส่งเข้าไปในปาก

“กูก็ว่าเหมือนกัน เห็นครูสมรแม่งสร้างภาพสุดฤทธิ์เลย ทั้งถ่ายรูป ผลิตสื่อ ทำแฟ้มเอกสาร เหมือนเกณฑ์คนมาช่วยงานแต่งก็ว่าได้ ไหนจะวิทยฐานะ ไหนจะสมศ.เข้า วันนี้ไม่รู้ผ.อ.จะเรียกประชุมซักกี่รอบอีก วันก่อนแม่งล่อเข้าไปครึ่งวันดีที่ได้ข้าวแกงป้าพะยอมช่วย ไม่งั้นมีสิทธิ์เป็นลมคาห้องประชุมแน่” ครูโรจน์ปรับทุกข์กับเพื่อนซี้ที่บรรจุพร้อมกันเมื่อยี่สิบปีก่อน

“อย่าพูดเสียงใดไปเว้ย โน่นครูต้อมปากปีจอนั่งกินข้าวอยู่กับครูสมรอารมณ์เปลี่ยวอยู่ เดี๋ยวแม่นั่นมันก็คาบข่าวไปบอกนายมันอีกแหละ” ครูสมจินต์กระซิบเบาๆพลางบุ้ยปากไปยังโต๊ะข้างๆ

“จริงว่ะ ผ.อ.เรารู้ทุกเรื่องก็เพราะครูสองคนนี่แหละ ได้ข่าวว่าตอนนี้ได้ครูอ้อยมาพลอยผสมโรงอีกคนแล้วนี่” ครูโรจน์พูดพลางขณะที่ครูอ้อยเดินเข้ามาสมทบกับสองครูหญิงรุ่นเดอะที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว

“นี่น้องต้อมพี่แทบไม่ได้นอนเลย เอางานไปปรึกษาอาจารย์มาเมื่อวานแกบอกว่าของพี่ต้องปรับอีกแล้วล่ะ เพราะยังไม่เข้ากับเกณฑ์ที่ตั้งไว้” ป้าสมรอวดผลงานเล่มเขื่องที่อยู่ในมือ

“ตายแล้ว ขนาดพี่สมรที่ว่าเนี้ยบแล้วยังไม่ผ่านแล้วของต้อมจะผ่านเหรอคะ” ครูต้อมส่งเสียงแหลมราวตระหนกขึ้นจนคนในร้านหันมามอง

“เอาแบบนี้แล้วกันมีอะไรก็ปรึกษาพี่ที่ห้องคหกรรมแล้วกันนะ วันก่อนพี่ไปขอช่วยน้องดาวทำดอกไม้ใยบัวให้จนป่านนี้ยังไม่เห็นน้องเค้ามาหาพี่เลย บอกแต่ว่าไม่ว่างๆ แย่จริงๆเลยเด็กสมัยนี้ ไม่มีจิตอาสากับครูรุ่นพี่เลย” ครูสมรเอ่ยขึ้นลอยๆจงใจให้ครูต้อมได้ยินในขณะที่มือก็พลิกแฟ้มเอกสารอยู่

อีกไม่นานคณะกรรมการประเมินวิทยฐานะก็จะมาตรวจแล้ว ครูรุ่นที่อายุราชการและฐานเงินเดือนถึงเกณฑ์ที่จะทำวิทยฐานะต่างสับสนวุ่นวายอยู่กับเอกสารประกอบการประเมินและผลงานนักเรียนประกอบการพิจารณา ถ้าจะเทียบแล้วก็เป็นงานใหญ่ขนาดรองจากการประเมนของสมศ.เลยก็ว่าได้
ดังนั้นเวลาว่างของครูกว่าค่อนโรงเรียนในระยะนี้จึงดูจะทำตัวมีประโยชน์มากขึ้น บรรดาครูผู้หญิงขาเมาท์และวงเหล้าของครูผู้ชายก็พลอยซาๆลงไปด้วย

“แบบฟอร์มฉบับใหม่ล่าสุดจ้ะ มาเซ็นรับกันด้วยนะ” ครูปุ๊ชูเอกสารปึกใหญ่ลงบนโต๊ะตัวเอง

“แบบฟอร์มอะไรของผ.อ.อีกล่ะ” ครูพชรหันด้วยมาท่าทางเซ็งๆ

“อ้อ...เปล่าจ้ะ อันนี้เกณฑ์การประเมินวิทยฐานะที่เราต้องเตรียมตัวกันน่ะจ้ะ” หัวหน้าสายชั้น ป.๖รีบอธิบายเมื่อต่างคนต่างส่งสายตาเบื่อๆมาให้

“แล้วไป ว่าแต่พี่เอาไปให้ป้าสมรหรือยังล่ะเดี๋ยวจะน้อยใจว่าพวกเราไม่สนใจอีก เบื่อจะเป็นขี้ปากครูคนอื่นในโรงเรียน” ครูริสารีบเตือนครูปุ๊ด้วยความเป็นห่วง

“พี่ให้เรียบร้อยแล้วจ้ะ ให้คนแรกเลย วันก่อนเราไม่ให้ใบประเมินนิดเดียว ป้าแกเล่นโพนทะนาไปทั่วโรงเรียนเลย น่าเบื่อจริงพวกคนแก่วัยทองพวกนี้” ครูปุ๊นั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะหยิบเอกสารดังกล่าวขึ้นมาอ่าน

“น่าเบื่อจริงเลย เอกสารบ้าบอพวกนี้ ผมต้องมานั่งรวบรวมจนไม่มีเวลาเช็คสต๊อกของที่ร้านเลย นี่ดีที่ว่าพวกลูกจ้างพอจะวางใจได้ เฮ้อ!”

“พี่ว่าเธอออกไปขายของดีกว่าไหมล่ะ เห็นบ่นอยู่นั่นแหละ” ครูแต้วที่กำลังนั่งเอาเอกสารใส่ลงในซองถนอมเอกสารเอ่ยขึ้น

“ก็ว่าเหมือนกันแหละพี่ ให้อายุราชการยี่สิบห้าปีก่อนเหอะจะเออร์ลี่ให้ดู” ครูพชรพูดพลางตรวจใบงานที่เด็กส่ง

“เธอก็พูดได้สิ ใครเค้าก็รู้ว่าเธอกับครูพรรณีน่ะเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่เงินกู้แถมมีกิจการส่วนตัวอีกตะหาก แต่พี่สินอกจากเงินเดือนครูแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ชาติหน้าเกิดมาอย่าให้รวยบ้างแล้วกัน” ครูแต้วกล่าวด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

ครูเซฟดูจะมึนงงกว่าเพื่อนเพราะจับทางในการทำแฟ้มประเมินวิทยฐานะไม่ถูก ถ้าให้ไปตัดสินกีฬาหรือแข่งมหกรรมไตรกีฬายังดีกว่าให้มาสร้างเอกสารจุกจิกแบบนี้ ครูโรจน์กับครูสมจินต์ถือคติสองคนเพื่อนตาย มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาหารือกัน ครูบุ๊งก็อาศัยภรรยาที่แสนดีในการช่วยพิมพ์งานให้จนไม่มีเวลากระหนุงกระหนิงกัน ครูจินดาดูจะน่าสงสารกว่าเพื่อนเพราะไม่รู้เรื่องอะไรเลยนอกจากถ่ายเอกสารตามคนอื่นลูกเดียวโดยไม่ได้พิจารณาเลยว่าเกี่ยวข้องกับตัวเองหรือไม่ ส่วนครูแต้วกว่าจะพิมพ์แต่ละประโยคก็อ่านทบทวนแล้วทบทวนอีก เพราะเบื่อกับการพรินท์มาแล้วมีครูรุ่นพี่ติงว่ายังไม่เหมาะสม

“แล้วพี่แต้วถามหรือเหล่าล่ะคะว่าแบบไหนถึงจะตรงตามหลักเกณฑ์” ครูดาวถามด้วยความสงสัยในขณะที่สายตาก็กำลังพิสูจน์อักษรบนหน้าจอคอมพิวเตอร์

“ไม่รู้เหมือนกัน พอเอาให้คนนี้อ่านก็บอกอย่างหนึ่ง พอเอาให้อีกคนหนึ่งก็บอกไปอีกอย่างหนึ่ง พี่หมดกระดาษเอสี่ไปสี่ห้ารีมแล้วนะ น้องดาว พี่เหนื่อยเหลือเกิน” ครูแต้วถอนใจเฮือกใหญ่ ส่วนมือก็พลิกแฟ้มเอกสารสำรวจไปเรื่อยๆ บังเอิญสายตาเหลือบไปเห็นครูแอ้เดินรี่ไปทางห้องป.๔/๓

“รีบไปไหนน่ะน้องแอ้ แวะทางนี้ก่อนสิจ๊ะ” ครูแต้วทักทายครูในกลุ่มสาระเดียวกัน

“แอ้ขอตัวก่อนนะคะ พอดีป้าสมรฝากชั่วโมงห้อง ป.๔/๓ อีกแล้วน่ะค่ะ” ครูแอ้รีบพูดก่อนจะเดินต่อไป

“สงสารน้องแอ้เนอะ ได้ข่าวว่าป้าสมรไม่เคยไปสอนห้องป.๔/๓เลยตั้งแต่เปิดเทอมมา น้องแอ้ต้องสอนแทนตลอด” ครูแต้วพูดให้ครูดาวฟัง

“ไม่รู้อะไรซะแล้ว พี่แต้ว อย่าว่าแต่ ป.๔เลยพี่ ครูปออื่นเค้าก็มาบ่นให้หนูฟังบ่อยๆค่ะ” ครูดาวซึ่งสอนงานบ้านในช่วงชั้นที่ ๑ พูดถึงครูสมรซึ่งรับผิดชอบสอนงานบ้านในช่วงชั้นที่ ๒ ซึ่งไม่เคยเข้าสอนเลยเพราะมัวแต่เอาเวลาไปทำเอกสารประเมินวิทยฐานะอยู่ให้ครูแต้วฟัง

บรรยากาศการเรียนการสอนใน “เฌอคู่วิทยา”นั้นหากจะบรรยายในตอนนี้คือครูทุกคนพากันง่วนอยู่กับเอกสารเตรียมการประเมินทั้งสิ้น ส่วนนักเรียนก็ปล่อยให้เล่นกันเอ็ดตะโรในห้องเรียนในขณะที่ครูก็อยู่กันแต่ในห้องพักครูหรือไม่ก็ห้องคอมพิวเตอร์

“ครูต้อมครับ ถึงวิชาสังคมศึกษาแล้วครับ” หัวหน้าห้อง ป.๓/๒ เดินมาที่โต๊ะครูต้อมซึ่งเต็มไปด้วยเอกสารกองท่วมหัว

“กฤษฎา เธอบอกให้เพื่อนอ่านหนังสือบทที่ ๓ พลางๆก่อนแล้วทำแบบฝึกหัดหน้า ๒๕ แล้วเธอรวบรวมเอามาส่งครูที่โต๊ะ เอ๊ย! เอาไว้ตรวจชั่วโมงหน้าแล้วกัน ใครเสียงดังจดชื่อมาให้ครูด้วย” ครูต้อมกำชับนักเรียนหัวหน้าห้องอีกครั้งก่อนจะกลับเข้าไปอยู่ในกองเอกสารดังเดิม

เสียงดังลั่นมาจากห้องห้อง ป.๓/๒ ครูเรณูซึ่งสอนวิชาดนตรีอยู่ข้างๆอดรนทนไม่ได้จนต้องฉวยไม้เรียวมาเคาะบนโต๊ะในห้อง ป.๓/๒ เด็กนักเรียนจึงเงียบ

“นี่วิชาอะไร ทำไมส่งเสียงดังแบบนี้” ครูเรณูทำตาเขียวใส่นักเรียนที่กลับไปนั่งก้มหน้างุดที่โต๊ะตัวเอง

“วิชาสังคมของครูต้อมครับ” กฤษฏาลุกขึ้นยืนตอบ ครูเรณูจึงคลายน้ำเสียงลงก่อนจะพูดว่า

“มีงานอะไรก็เอาขึ้นมาทำสิ ครูสอนอยู่ข้างห้อง อย่าเสียงดังรบกวนเพื่อนสิคะ” แล้วเธอก็เดินกลับมาที่ห้องเรียนที่ตนเองสอน

“ดีที่เป็นชั่วโมงครูต้อม ลองเป็นห้องคนอื่นแล้วไม่เข้าสอนสิ คาบไปบอกนายมันหมด” ครูเรณูรำพึงกับตัวเองในขณะที่ได้ยินเสียงดังมาจากทางห้องเดิมอีกครั้ง

และแล้ววันที่คณะกรรมการประเมินวิทยฐานะมาประเมินครูในโรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”ก็มาถึง ครูแต่ละคนลุ้นกันระทึก เมื่อครูคนใดออกมาจากห้องสอบสัมภาษณ์ก็จะเข้าไปรุมกันถามจนตอบแทบไม่ทันทั้งๆที่คำถามของแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย ห้องเรียนแต่ละห้องถูกจัดตกแต่งอย่างสวยงามต่างจากความเป็นจริงลิบลับจนแม้แต่นักเรียนในห้องเองยังทำตัวไม่ถูก

“เมื่อเช้าไปซื้อผักชีในตลาดไม่มีแม้แต่ใบเดียวเลยพี่กรรณิการ์ขา” ครูพรรณีเดินยิ้มกริ่มเข้ามาในห้องวิชาการ

“ทำไมเหรอ น้องณี” ครูกรรณิการ์ทำหน้างงๆ

“ก็แม่ค้าบอกว่าครูโรงเรียนเฌอคู่วิทยาเหมามาตกแต่งโรงเรียนหมดน่ะสิคะ” ครูพรรณีหัวเราะเสียงดังก่อนจะเดินออกไปอย่างมีความสุข

( ชื่อตัวละครและเรื่องราวนี้เป็นแต่เรื่องสมมติขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงถึงผู้ใด หากได้ล่วงเกินแก่ใครก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ )

( โปรดติดตามตอนต่อไป )






สงครามกระดานดำ ตอน ผลผลิตจากโรงเรียน



ตลาดนัดวันศุกร์ข้างโรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”เป็นสถานที่สำหรับครูที่ว่างในชั่วโมงที่หนึ่งและสองไปจับจ่ายข้าวของกันอย่างสนุกสนาน เช่นเดียวกันกับครูต้อ หัวหน้ากลุ่มสาระสังคมฯกับครูดาวที่หอบข้าวของพะรุงพะรังตั้งแต่ขนมไทย ผลไม้สดๆและผักไว้กลับไปทำกับข้าวในตอนเย็น

“สวัสดีค่ะ ครูต้อ” แม่ค้าขายผลไม้ยกมือไหว้ทักทายครูทั้งสอง

“ค่ะ แม่ของเจตนาใช่ไหมคะ เป็นไงบ้าง ขายดีไหมคะ” ครูต้อก้มลงเลือกส้มโชกุนใส่ถุงพลาสติก

“เรื่อยๆน่ะค่ะ แต่ฝากครูหน่อยแล้วกันค่ะ ป้าเห็นพวกเด็กๆเฌอคู่น่ะชอบไปมั่วสุมกันที่ร้านเกมคอมพิวเตอร์แถวสองซอยถัดไปน่ะค่ะ นี่ก่อนป้ามาขายของก็เห็นเด็กใส่ชุดนักเรียนแล้วเอาเข้าไปเปลี่ยนในร้านเกมส์สองสามคนนะคะ สงสัยจะหนีเรียนแน่เลย”

ครูต้อยิ้มเจื่อนๆก่อนจะจ่ายเงินค่าส้มโชกุนแล้วรีบชวนครูดาวกลับโรงเรียน “รีบไปบอกฝ่ายปกครองดีกว่า ถ้ารู้ถึงหู ผ.อ.ล่ะเรื่องใหญ่อีก”

เมื่อกลับไปถึงโรงเรียน ที่ห้องปกครองเห็นแต่เก้าอี้อันว่างเปล่าของผู้ช่วยฯเกษม มีแต่ครูโรจน์ซึ่งทำงานฝ่ายปกครองอยู่ ครูต้อจึงได้แจ้งให้ทราบ ครูโรจน์กับครูผู้ชายสองสามคนก็ขับรถโรงเรียนออกไปและกลับมาพร้อมกับนักเรียนชั้น ป.๕ สองคนและชั้น ป.๖ หนึ่งคน ทั้งหมดให้การสารภาพว่า นายทรงพลที่อยู่ ป.๖ชักชวนนายไววิทย์และศุภกิจไปเล่นเกมโดยวางแผนเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยน ส่วนเงินก็ขโมยมาจากผู้ปกครอง

“น่าสงสารแทนพ่อแม่มันจริงๆ อุตส่าห์ทำงานแทบตายให้ลูกมันเอาไปผลาญในร้านเกม” ครูกรรณิการ์สังเวชใจในเรื่องราวที่ครูต้อเล่า

“พูดกันยากพี่ ขนาดลูกตัวเองยังอบรมไม่ได้ แล้วยังปัดมาให้ครูรับผิดชอบอีก ตกลงมันลูกใครกันแน่เนี่ย” ครูต้อแกะห่อข้าวเหนียวหน้าสังขยาใบเตยให้เพื่อนครู

“หนูมีเพื่อนสอนที่โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ เค้ามาต่อว่าหนูใหญ่เลยล่ะค่ะว่าเด็กโรงเรียนเราที่ไปเรียนต่อที่โรงเรียนเค้าน่ะ อ่านหนังสือก็ไม่ออก ท่องสูตรคูณก็ไม่ได้ โอ๊ย!สารพัด หนูนี่หน้าชาหมดเลยค่ะ” ครูดาวเล่าประสบการณ์ของตนเองบ้าง

“จะให้โทษใครล่ะ โน่นที่นั่งในห้องโน่นไงล่ะตัวดี ต้องเกรดสามเกรดสี่ ตอแหลกันทั้งนั้น ไม่รู้บ้างเหรอไงว่าพวกโรงเรียนมัธยมมันด่าฝากเรามาเป็นกระบุงโกยแล้ว ไม่เข้าหูบ้างหรือไง” ครูกรรณิการ์ส่งสายตาชี้ไปยังห้องผู้อำนวยการโรงเรียน

“คุยอะไรกันอยู่น่ะคะ ขอเมาท์ด้วยคนสิ” ครูต้อมส่งเสียงหวานท่าทางไม่จริงใจมาที่กลุ่มครูทั้งสาม

“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ น้องต้อม มาทานกะละแมไหมจ๊ะ เจ้านี้เค้าทำอร่อยนะ เผื่อมันจะช่วยให้น้องหายปากเปราะบ้าง” ครูต้อยื่นห่อกะละแมให้ด้วยยิ้มอาบยาพิษ ครูต้อมไม่พูดอะไรสะบัดหน้าแล้วออกเดินเข้าไปยังห้องผู้อำนวยการ

“ดูคลิปนี่ยังวะ มึง” เด็กชายอิทธิพลยื่นโทรศัพท์มือถือให้เพื่อนชายอีกคน

“รุ่นพี่โรงเรียนเรานี่หว่า มึงเอามาจากไหนวะไอ้อิท” เพื่อนชายสองสามคนถามอย่างสนใจ

“กูได้มาจากเพื่อนพี่กูมันโหลดให้ว่ะ” อิทธิพลพูดอย่างภูมิใจ

มือของครูบุ๊งคว้าโทรศัพท์มือถือจากกลุ่มเด็กชายหัวโจกในห้องของครูแต้วมา ครูศิลปะหนุ่มเห็นภาพของเด็กหญิงคนหนึ่งใช้รองเท้าตบนักเรียนหญิงอีกคนหนึ่งโดยมีเพื่อนๆยืนล้อมวงเชียร์อยู่ข้างๆ แล้วนักเรียนหญิงคนที่โตกว่าก็เอาหัวของเพื่อนอีกคนโขกบนขอบโต๊ะเรียน

“ขอครูก่อนนะ” ครูบุ๊งคว้าโทรศัพท์เครื่องนั้นมาที่โน้ตบุ๊คครูสมจินต์ในห้องพละทันที

“มีอะไรวะ ไอ้บุ๊ง รีบร้อนใหญ่เลย” ครูสมจินต์ที่กำลังตรวจสอบอุปกรณ์การกีฬาอยู่หันมาทางโน้ตบุ๊คของตัวเอง

“มาดูของดีเร็วพี่” ครูสมจินต์วางมือจากการทำงานเดินตรงเข้ามาดูหน้าจอโน้ตบุ๊ค

ในโทรศัพท์มือถือของเด็กชายอิทธิพลนั้นเต็มไปด้วยคลิปมากมาย ตั้งแต่คลิปนักเรียนตบกันไปจนถึงคลิปแอบถ่ายนักเรียนมัธยมและที่ขาดไม่ได้ก็คือคลิปของเปิ้ลซึ่งเป็นที่โจษจันไปทั่วโรงเรียนเมื่อหลายเดือนก่อน

“ตามไม่ทันจริงๆเด็กเดี๋ยวนี้ มือถือเครื่องเล็กนิดเดียวจุหนังโป๊ได้เป็นร้อยเรื่อง” ครูสมจินต์คลิกคำว่า “เซฟ”เก็บลงในโน้ตบุ๊คของตัวเอง

“ที่น่าเวทนาที่สุดคืออะไรรู้ไหม บุ๊ง” ครูสมจินต์หันมาทางครูบุ๊งด้วยแววตาหดหู่

“ทำไมเหรอพี่”

“เด็กนักเรียนหญิงที่จับหัวเพื่อนอีกคนโขกกับขอบโต๊ะน่ะเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเรา” ครูบุ๊งไม่พูดอะไรเพราะสีหน้าของครูสมจินต์นั้นดูท้อแท้เหลือเกิน

เย็นวันนั้นขณะที่ครูโรจน์กำลังขับรถออกไปจากโรงเรียนก็เห็นเถ้าแก่เส็งซึ่งเปิดร้านขายขนมเด็กแถวๆโรงเรียนเดินลากตัวนักเรียนชายคนหนึ่งมาอย่างโกรธแค้น

“อาคุงคูอยู่พอลีเลย ปูเหลียวอ่า อ้ายเหล็กนี่มังเข้าไปคาโมยของในร้างอั๊วอ่า” เถ้าแก่เส็งกระชากตัวนักเรียนคนนั้นให้ครูโรจน์พาไปสะสางในห้องปกครอง

เด็กชายเดชวิทย์สารภาพว่า ขโมยของในร้านเถ้าแก่เส็งและอีกหลายร้านไปขายต่อเพื่อเอาเงินไปเล่นเกม แถมบางครั้งเค้าก็ขโมยของในโรงเรียนไปขายด้วย

“นี่จะไม่มีนักเรียนดีๆบ้างเลยหรือไงนะ พวกเราสอนนักเรียนให้เป็นโจรกันทั้งนั้นเลยเหรอ” ครูดาวโมโหมากเมื่อทราบว่านักเรียนห้องประจำชั้นของตัวเองไปขโมยของในร้านของเถ้าแก่เส็ง

“มันอยู่ที่สันดานน้อง ไม่เคยได้ยินเหรอว่าสันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก แต่นักเรียนที่ดีๆก็มีเหมือนกันนะ ดูอย่างนายวรากรสิตอนอยู่ที่นี่เกเรสุดๆเลย ตอนนี้ไปเป็นประธานนักเรียนแถมพ่วงตำแหน่งเยาวชนดีเด่นระดับภาคอีกต่างหาก” ครูกรรณิการ์ปลอบให้ครูห้องประชาสัมพันธ์คลายโทสะลง

“พี่คิดดูสิ ขนาดอยู่ ป.๑ ยังขนาดนี้ ต่อไปข้างหน้าหนูไม่อยากจะคิดเลย” ครูดาวพูดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

ครูกรรณิการ์เห็นใจในความอุทิศกายและใจในการสอนของครูรุ่นน้องคนนี้มากจึงชักแม่น้ำทั้งห้ามาเป็นกำลังใจให้เธอ

“น้องดาวน่ะเอาใจใส่เด็กนักเรียนดีแล้วล่ะจ้ะ แต่เราก็ต้องดูพื้นฐานของนักเรียนด้วยนะ ยกตัวอย่างง่ายๆว่าสับปะรดจากไร่เดียวกัน ดูแลเอาใจใส่เหมือนกันก็ใช่ว่าจะได้ขนาดมาตรฐานที่จะทำเป็นผลไม้กระป๋องเหมือนกันซักหน่อย มันก็มีลูกที่ไม่ได้มาตรฐานก็ต้องเอาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นหรือถ้ามันเน่าก็เอาไปทำปุ๋ยได้อย่างเดียวเท่านั้น

นิ้วสิบนิ้วมันยังไม่เท่ากันเลย นับประสาอะไรกับนักเรียนที่มาจากร้อยพ่อพันธุ์แม่ ครูก็เหมือนกับผู้ชี้แนะทางความคิดเท่านั้น แต่คนที่จะเลือกทางเดินชีวิตก็คือตัวของเด็กเองนะ ถ้าเด็กมันดีจริง ทำไมเวลาครูไม่อยู่เค้าถึงได้เล่นกันหลุดโลกเลยล่ะ ก็เพราะว่าเค้าทำตัวดีเพราะความกลัวครู ไม่ได้มาจากใจที่แท้จริงไง”

ครูกรรณิการ์ส่งยิ้มอย่างเมตตาให้กับครูสาวที่นั่งสีหน้าหดหู่อยู่ที่โต๊ะครู ครูดาวจึงค่อยมีสีหน้าสดชื่นขึ้น ทันใดนั้นเสียงดังลั่นก็ทำให้การสนทนาหยุดชะงักไป ครูต้อมเดินออกมาจากห้องพักครูแล้วตวาดนักเรียนชายที่กำลังเอาหนอนหยอกล้อเพื่อนนักเรียนหญิงจนกรี๊ดเสียงดังลั่น

“เล่นบ้าๆอะไรกันอีกน่ะ ไอ้เด็กพวกนี้ ไหนครูประจำชั้นชื่ออะไร ไม่อบรมสั่งสอนเด็กในห้องบ้างเหรอ” ครูต้อมเดินเข้าไปใกล้เด็กกลุ่มนั้นซึ่งก็วิ่งหนีแตกกระเจิงไปตั้งแต่ได้ยินเสียงครูต้อมแล้ว

ครูกรรณิการ์และครูดาวเห็นเหตุการณ์แล้ว ครูกรรณิการ์ก็หันมาพูดกับครูดาวต่อ

“บางครั้งการที่นักเรียนไปก่อเรื่องภายนอกมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับครูประจำชั้นหรอก พี่เพิ่งบอกเมื่อกี้ไงว่า บัวยังมีสี่เหล่าเลย เราไม่สามารถจะทำให้บัวใต้ตมมันโผล่ขึ้นมาเองได้หรอก ขนาดพระพุทธเจ้ายังไม่สามารถทำให้พระเทวทัตสำนึกตัวได้เลย จนกระทั่งพระเทวทัตยอมยกมือไหว้เองนั่นแหละ.....”

ขณะที่ครูกรรณิการ์จะพูดต่อพลันก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาโดยที่ไม่ทันตั้งตัว

“ดาว นี่เธอเป็นครูประจำชั้นประสาอะไรน่ะ เด็กไปทำห้องวิทยาศาสตร์ของครูก้อยแตกเสียหายหมดเลย” ร่างอ้วนเตี้ยของ ผ.อ.จิ๋มยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่หน้าห้องประชาสัมพันธ์ด้วยสีหน้าปานจะกินเลือดกินเนื้อ

ครูกรรณิการ์เหลือบไปเห็นครูดาวนั่งหน้าซีด ตัวสั่นงกๆจึงชิงตอบว่า “ผ.อ.คะ แล้วนี่มันคาบของครูก้อยนี่คะ ก็อยู่ในความรับผิดชอบของครูก้อยสิ จะมาเอาผิดกับน้องดาวได้ไง ครูประจำชั้นไม่ได้ตามตูดเด็กทั้งสี่สิบคนตลอดทั้งวันทั้งคืนนะคะ”

ผ.อ.จิ๋มส่งสายตาอาฆาตมาทางครูกรรณิการ์แทน แต่หาได้สะทกสะท้านอะไรไม่ เพราะประสบการณ์สามสิบห้าปีของความเป็นครูหลอมให้ครูกรรณิการ์กลายเป็นเหล็กกล้าแล้ว

“ไม่เกี่ยวกับเธอ กรรณิการ์ ดาวตามฉันไปที่ห้องหน่อยสิ” ผ.อ.จิ๋มหันหน้าไปทางอื่นขณะที่ออกคำสั่ง

ครูดาวเดินตัวลีบเหมือนนักโทษจะเข้าลานประหารตามหลังผ.อ.จิ๋มไปโดยมีครูต้อมแอบชะเง้อชะแง้มาจากห้องที่ตัวเองสอนอยู่

“เมื่อไหร่ไอ้พวกหนักแผ่นดินนี้มันจะหมดไปจากโรงเรียนเราซักทีนะ สงสัยจะเข้ายุคกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอยแล้วมั้ง” ครูกรรณิการ์มองไปทางครูต้อมก่อนจะถอนใจด้วยความสมเพช

( ชื่อตัวละครและเรื่องราวนี้เป็นแต่เรื่องสมมติขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงถึงผู้ใด หากได้ล่วงเกินแก่ใครก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ )

( โปรดติดตามตอนต่อไป )

สงครามกระดานดำ ตอน แบบฟอร์มฉบับใหม่ล่าสุด ณ เวลา ..........



ห้องประชุมโรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”มีหัวหน้ากลุ่มสาระทั้ง ๘ สาระและหัวหน้าสายชั้นทั้ง ๖ สายชั้นนั่งคุยกันเสียงขรม โดยมีครูกรรณิการ์ หัวหน้างานวิชาการนั่งดูกระดาษสองสามแผ่นในมืออย่างไม่สนใจครูคนอื่นๆ

“มากันครบหรือยัง” ผ.อ.จิ๋มชะโงกหน้าเข้ามาในห้องประชุม ครูทั้งหมดเงียบโดยอัตโนมัติ

“ครบแล้วค่ะ ผ.อ.” ครูกรรณิการ์หันมาที่ผู้อำนวยการโรงเรียน

“แล้วทำไมไม่เข้าไปตามฉัน แย่จริงๆเลย ไม่รู้จักสัมมาคารวะกันบ้างเลย” ผ.อ.จิ๋มตวาดใส่หัวหน้างานวิชาการที่นั่งหน้าจ๋อยในทันที ก่อนที่จะพาร่างอันอุ้ยอ้ายนั่งลงบนเก้าอี้ประธานการประชุม มีครูต้อมนำน้ำขิงอุ่นๆตามเข้ามาเสิร์ฟก่อนที่จะเดินออกไป

“ที่ดิฉันเชิญทุกคนมาประชุมในวันนี้เพราะว่าอีกไม่นาน สมศ.ก็จะเข้ามาประเมินโรงเรียนแล้ว เราจำเป็นจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม เริ่มจากทุกคนต้องมีแผนการสอนที่เป็นปัจจุบันและย้อนหลังสามปี และต้องมี

ตารางสอน
ตารางเวรสวัสดิการประจำวัน เช่น ยืนหน้าประตูโรงเรียน , รักษาความสะอาดบริเวณที่ได้รับมอบหมาย
ตารางสำรวจจำนวนนักเรียนที่มาโรงเรียนสาย
ตารางสำรวจนักเรียนที่ไม่รับประทานอาหารเช้าและเที่ยง
ตารางสำรวจนักเรียนเล็บยาว ,ผมยาว,แต่งกายไม่เรียบร้อย
ตารางตรวจสุขภาพในช่องปาก ว่ามีฟันผุกี่ซี่ ซี่ไหนบ้าง มีคราบหินปูนกี่ซี่ โรคเหงือกกี่คน
ตารางบันทึกพฤติกรรมนักเรียน
ตารางสำรวจนักเรียนแปรงฟันหลังรับประทานอาหารเที่ยง
ตารางประเมินนักเรียนทั้งการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน
ตารางประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (สำรวจแม้กระทั่งการใช้ห้องสุขาของนักเรียน)
ตารางบันทึกจำนวนสถิติการป่วย ลา ขาด ของนักเรียน (ต้องโทรศัพท์เช็คทุกครั้งที่นักเรียนขาด)
ตารางบันทึกการทำความดีของนักเรียน
ตารางบันทึกการอบรมคุณธรรม-จริยธรรม
ตารางบันทึกการทำเวรต่างๆของนักเรียน
ตารางการทำความสะอาดบริเวณโรงเรียนที่รับผิดชอบของนักเรียน
ตาราง/แผนผังแสดงการเดินทาง/ที่ตั้งบ้านที่อยู่อาศัยของนักเรียน
ตารางสำรวจความเป็นอยู่ของครอบครัวนักเรียน เช่น พ่อแม่อยู่ด้วยกัน , พ่อแม่หย่าร้าง , อยู่กับพ่อหรือแม่ , อยู่กับบุคคลอื่น , ฯลฯ
ตารางประเมินต่างๆในการสอน บางครั้งใน ๑ ชั่วโมงครูอาจต้องบันทึกถึง ๓ ตารางเลย เช่น ตารางบันทึกคะแนน , ตารางการประเมินทักษะกระบวนการกลุ่ม , ตารางวัดเจตคติในชั่วโมงนั้นๆตามจุดประสงค์การเรียนรู้
..................................................................................................” จากนั้นก็มีรายชื่อตารางอีกสารพัดตามแต่ที่ผู้อำนวยการโรงเรียนจะสามารถนึกออกได้ สร้างความงุนงงแก่ครูที่นั่งฟังในห้องประชุมอย่างยิ่งก่อนที่จะจบประโยคว่า “เข้าใจไหม” จากนั้นผ.อ.จิ๋มก็ยกแก้วน้ำขิงซึ่งเย็นชืดแล้วขึ้นจิบ

“แต่ผ.อ.คะ หนูว่าบางตารางและบางหัวข้อที่ ผ.อ.กล่าวมามันซ้ำซ้อนกันนะคะ หนูเกรงว่าเราจะทำไม่ทันและอาจส่งผลกระทบต่อการเรียนได้” ครูมัทนา หัวหน้าสายชั้น ป.๔ ยกมือขึ้นแย้ง

“ไม่รู้ ทำยังไงก็ได้ให้มันมีขึ้นมา อย่าให้ผลการประเมินโรงเรียนเราต่ำเป็นอันขาด อ้อ...แล้วจำการประชุมเมื่อตอนเปิดเทอมใหม่ๆได้ไหม ที่ผ.อ.เคยบอกว่า จะต้องปรับผลสัมฤทธิ์แต่ละวิชาให้สูงกว่าเดิม จัดการหรือยัง แล้วนี่ผู้ช่วยฯเครือวัลย์หายไปไหนน่ะ” ผู้อำนวยการไม่ได้สนใจคำโต้แย้งของครูมัทนาเลย และเพิ่งฉุกคิดได้ว่าลืมเรียกผู้ช่วยฯฝ่ายวิชาการมารับทราบด้วย

“ประชุมอะไรกันคะ ผ.อ.” ผู้ช่วยฯเครือวัลย์ยื่นหน้าเข้ามาในห้องประชุมทันทีเมื่อผ.อ.จิ๋มกล่าวจบ

“มาพอดี เรื่องของเธอนั่นแหละ มานั่งฟังตรงนี้เลย” ผ.อ.จิ๋มส่งสายตาเชิงรำคาญไปยังผู้ช่วยฯฝ่ายวิชาการ แม้ผู้อำนวยการจะบอกว่าเป็นเรื่องของผู้ช่วยฯเครือวัลย์ แต่ดูเหมือนคนที่เจ้ากี้เจ้าการกว่าเพื่อนก็คือตัวผ.อ.จิ๋มนั่นเอง

การประชุมดำเนินต่อไป ครูพชรนั่งมองนาฬิกาติดผนังเรือนโตที่เข็มยาวเวียนมาพบเลขหกเป็นรอบที่สามแล้ว

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผ.อ.ก็ขอให้ทั้งหัวหน้าสายชั้นและหัวหน้ากลุ่มสาระไปดำเนินการประชุมและรวบรวมเอกสารหลักฐานต่างๆให้เสร็จเรียบร้อยส่งให้ผู้ช่วยฯเครือวัลย์ตรวจและรายงานผ.อ.ภายในวันศุกร์นี้ เข้าใจไหม”

ทั้งหมดทยอยออกจากห้องประชุมและตรงไปที่โรงอาหารทันที ครูแต้วรีบตรงดิ่งไปปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดตามปกติ

“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ พี่นา” ครูแอ้ถามหัวหน้าสายชั้นของตัวเองที่นั่งหน้างออยู่หน้าจานข้าวผัดกุนเชียง

“ไม่รู้เหมือนกัน แอ้ พี่งงไปหมดเลย วันก่อนประชุมบอกอย่างหนึ่ง พอมาวันนี้ก็บอกให้ปฏิบัติอีกอย่าง พี่ก็ทำไม่ถูกเหมือนกัน”

ครูสมรได้ทีก็พลอยผสมโรงเข้ามาทันที “เป็นครูมาหลายสิบปี เหนื่อยที่สุดก็ตั้งแต่สมัยปฏิรูปการศึกษานี่แหละ แล้วน้องลองดูนักเรียนโรงเรียนเราสิ มันพวกเหลือขอทั้งนั้น อย่าว่าแต่อ่าน คิด วิเคราะห์เลย ให้มันท่องและเขียนกอไก่ถึงฮอนกฮูกให้ได้ก่อนเหอะ ครูภาษาไทยนี่ล่ะตัวดีนัก”

ครูพชรที่กำลังซดน้ำซุปอย่างเอร็ดอร่อยละจากจานข้าวผัดรสโอชะทันที “ใครสอนเก่งนักก็ลองมาสอนสิ วิชาภาษาไทยน่ะ ก็อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้ที่บอกว่ามีเทคนิคดีๆน่ะ ไม่เห็นเอาไปใช้กับเด็กตัวเองบ้างล่ะ พอขึ้นมาป.๖เห็นอ่านไม่ออกทั้งเพ”

ครูกิ่งแก้วที่นั่งข้างครูสมรรีบปรามครูพชรอย่างฉับพลัน “ไปพูดกับพี่เค้าอย่างนี้ได้ไง เค้าน่ะรุ่นแม่เธอแล้วนะ ไม่ดีเลย พชร”

“ใครดัดจริตฟังไม่ได้ก็ไม่ต้องฟังสิ พูดเรื่องจริงแล้วรับไม่ได้ ไอ้พวกชอบหลอกตัวเอง ยกหางตัวเอง น่ารำคาญ” ครูพชรลุกขึ้นก่อนจะเอาจานข้าวไปเก็บแล้วเดินออกจากที่นั่น

และวันนัดหมายส่งเอกสารหลักฐานต่างๆก็มาถึง ผู้ช่วยฯเครือวัลย์ ครูกรรณิการ์และครูสุชาวดีช่วยกันลงทะเบียนเอกสารที่กองท่วมหัวบนโต๊ะในห้องวิชาการอย่างขยันขันแข็ง ตลอดสัปดาห์ครูโรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”ต้องรีบเร่งในการสร้างหลักฐานกันจ้าละหวั่น แล้วแต่เทคนิคของแต่ละบุคคล สงสารก็แต่ครูรุ่นสงครามโลกที่ต้องจ้างร้านพิมพ์งานหน้าโรงเรียนหรือไหว้วานลูกหลานให้ช่วยพิมพ์งานด้วยคอมพิวเตอร์ บางคนอดหลับอดนอนจนสอนผิดๆถูกๆไปเลยก็มี

แต่ที่น่าสงสารที่สุดคือ นักเรียนที่ต้องรับภาระงานต่างๆที่ครูต้องนำไปส่ง ผ.อ. เพราะการสอนที่เป็นไปอย่างเรื่อยเปื่อย และไม่ได้เก็บผลงานไว้อย่างเป็นระบบ ทำให้นักเรียนหลายห้องต้องทำโครงงานพร้อมกันถึง ๘ เล่มครบตามสาระวิชา มีการสอบประเมินสารพัดในแต่ละชั่วโมง การสร้างรูปภาพไว้เป็นหลักฐานจนร้านล้างอัดรูปแทบจะไม่มีเวลาว่าง เมื่อถึงชั่วโมงว่างของครูคนใดจากเดิมที่ครูผู้ชายจะไปรวมกลุ่มกันที่ศาลาเล็กใต้ลานโพ ครูผู้หญิงก็นั่งกินของกระจุกกระจิกกันในห้องพักครู กลายเป็นว่าทุกคนต่างมุ่งตรงไปพิมพ์งานกันที่ห้องคอมพิวเตอร์โรงเรียน พรินท์งานจนครูคอมพิวเตอร์ประจำห้องมองกันตาเขียว

“พี่ดาวครับ รบกวนช่วยเอากระดาษมาเองนะครับ อาทิตย์นี้ผมหมดกระดาษเอสี่ไปหลายรีมแล้ว” ครูวิรุณที่ประจำห้องคอมพิวเตอร์นักเรียนชั้น ป.๑-๒ พูดด้วยความเกรงใจ

“จ้ะ แล้วนี่พี่สั่งพรินท์แล้วทำไมไม่ติดล่ะ” ครูดางตระหนกเมื่อเห็นกระดาษเปล่าออกมาจากเครื่องพิมพ์

“สงสัยหมึกหมดแล้วพี่” ครูวิรุณพูดเสียงอ่อยๆ

“ดีนะที่เรามีโน้ตบุ๊คไม่ต้องไปแย่งกับคนอื่น” ครูพชรนั่งพิมพ์งานอย่างเร่งรีบที่โต๊ะตัวเอง

“ทำอะไรกัน เด็กๆก็เผื่อพี่หนึ่งชุดด้วยนะ” เสียงครูต้อมที่เดินผ่านห้องพักครูแว่วเข้ามา ดีที่แกไม่เห็นครูพชรนั่งเบ้ปากให้ ไม่เช่นนั้นคงคาบไปฟ้อง ผ.อ.จิ๋มอีก

“ทำไมจะต้องไปง้อไอ้พวก สมศ.มันด้วยนะ ทำไมล่ะ ถ้าประเมินไม่ผ่านแล้วมันจะสั่งปิดโรงเรียนเหรอไง” ครูจินดาบ่นพลางบันทึกแผนการสอนของตัวเองไปพลาง

“อุ๊ย...ไม่ได้หรอกค่ะ ก็ผ.อ.เราเค้าเก่งนี่คะ ได้รับรางวัลผู้บริหารดีเด่นจากหลายสถาบันแล้ว เกียรติยศมันค้ำคอค่ะ นั่งบนหลังช้างแล้ว ไม่ย่างลงหลังหมาหรอกค่ะ” ครูมัทนาพูดแกมหมั่นไส้กับผู้บริหารโรงเรียน

“นี่พี่คะได้ข่าวการเปลี่ยนแบบฟอร์มบันทึกหลังสอนแล้วก็ตารางอีกสารพัดไหมคะ” ครูแอ้วิ่งกระหืดกระหอบมาที่โต๊ะของครูรุ่นป้าทั้งคู่

“อะไรนะ” ครูมัทนาและครูจินดาถามพร้อมกัน

ครูแอ้ลากเก้าอี้มานั่งก่อนจะเล่าเรื่องราวให้ทั้งคู่ฟัง

“ก็ผ.อ.แกเกิดปิ๊งไอเดียอะไรขึ้นมาไม่รู้ บอกว่าหลักฐานต่างๆของโรงเรียนเราไม่เป็นไปตามมาตรฐานของ สมศ. ต้องมีการปรับตารางและเอกสารใหม่หมดทั้งแผนการสอน .................”ครูแอ้จาระไนเอกสารต่างๆที่ครูทั้งโรงเรียนเพิ่งจะรวบรวมเสร็จเรียบร้อยและส่งให้ฝ่ายวิชาการไปแล้ว

“บ้า บ้าที่สุด ฉันเป็นครูนะ เค้าให้มาสอนนักเรียนไม่ใช่ให้มาสร้างหลักฐานจอมปลอม ให้สวยหรูทั้งที่มีเด็กไร้คุณภาพอยู่เต็มโรงเรียนนะ เวทนาจริง การศึกษาไทย” ครูมัทนาวางปากกาที่กำลังบันทึกแผนการสอนและเอนหลังบนพนักพิงอย่างเบื่อหน่าย

“เอ้า..ทุกคนมารับแบบฟอร์มใหม่กันเร็ว” ครูปุ๊ หัวหน้าสายชั้น ป.๖ เอาแบบฟอร์มรูปแบบใหม่มาแจกให้ครูในสายชั้น

“แบบฟอร์มฉบับใหม่ล่าสุด ณ เวลานี้ใช่ไหมคะ พี่ปุ๊” ครูริสาถามแกมประชดประชัน

“สิ่งใดเจ้าว่างามต้องตามเจ้า มีใครเล่าจะไม่งามตามเสด็จนะพี่ริสา” ครูพชรยกกลอนในอิศรญาณภาษิตขึ้นมาพูดในขณะที่มือก็กำลังปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแผนการสอนสำเร็จรูปที่มีขายในท้องตลาดให้เป็นรูปแบบของตนเองอยู่

“แล้วผู้ช่วยฯเครือวัลย์ไม่พูดอะไรบ้างเหรอ” ครูแต้วถาม

“จะพูดอะไรได้ล่ะ ถูกผ.อ.ยึดอำนาจฝ่ายวิชาการไปเรียบร้อยแล้ว อยู่ที่นี่มาหลายปีไม่รู้อีกเหรอว่า คนที่ชี้เป็นชี้ตายในโรงเรียนน่ะก็มีแต่แม่ซูสีไทเฮาที่คอยบัญชาการอยู่ในห้องเย็นนั่นน่ะแหละ” ครูริสาบุ้ยปากไปทางอาคารเรียนหนึ่งซึ่งเป็นตึกอำนวยการของโรงเรียน

เช้าวันต่อมา เสียงเพลงมาร์ชโรงเรียนดังเป็นรอบที่สอง ครูพชรเดินมาเซ็นชื่อลงเวลาปฏิบัติราชการและเหลือบไปเห็นกองเอกสารสองสามกองตั้งอยู่ มีป้ายบอกว่า “เชิญรับคนละ ๑ ชุด” ติดไว้

“อะไรอีกล่ะ พี่กุ๊ก” ครูพชรถามเหมือนจะมีลางสังหรณ์แปลกๆอีก

“แบบฟอร์มฉบับใหม่ล่าสุดของวันนี้จ้ะ น้องพชร” ครูกุ๊กส่งยิ้มให้พร้อมทั้งหยิบเอกสารแต่ละชุดให้ครูหนุ่ม

“แล้วที่พี่ปุ๊เอาไปแจกให้ที่สายชั้นแล้วบอกว่าจะรวบรวมส่งวันนี้ล่ะครับ” พชรทำท่าล้วงลงไปในแฟ้มเอกสารของตัวเอง

“แบบฟอร์มนั้นยกเลิกไปแล้วล่ะจ้ะ อันนี้ ผ.อ.เพิ่งโทร.ให้พี่ออกแบบตารางเมื่อคืนและรีบมาก๊อปปี้พรินท์แจกครูภายในเช้าวันนี้จ้ะ อ้อ...ส่งภายในวันนี้ก่อนสี่โมงเย็นด้วยนะจ๊ะ”

ครูพชรเดินหัวเสียไปยังห้องพักครูสายชั้น ป.๖ ในมือที่ถือแบบฟอร์มที่รับแจกจากพี่ปุ๊เมื่อวานนั้นเขาก็จับฉีกแล้วขยำขยี้อย่างหนำใจก่อนที่จะโยนลงในถังขยะ

( ชื่อตัวละครและเรื่องราวนี้เป็นแต่เรื่องสมมติขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงถึงผู้ใด หากได้ล่วงเกินแก่ใครก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ )

( โปรดติดตามตอนต่อไป )

วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สงครามกระดานดำ ตอน คลิปฉาว



เช้าวันใหม่ของโรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”อันแสนสดใส นกกระจิบนกกระจอกส่งเสียงเจื้อยแจ้วหยอกล้อกันที่ต้นโพคู่ แสงแดดลอดกิ่งก้านโพใหญ่ลงมา นักเรียนเล็กๆทั้งชายและหญิงเล่นเครื่องเล่นสนามอย่างสนุกสนาน อีกมุมหนึ่งครูแต้วก็กำลังดูแลความเรียบร้อยของนักเรียนที่ทำความสะอาดบริเวณหน้าเสาธง ครูเซฟเดินออกไปทางหน้าโรงเรียนเพื่อกินข้าวแกงร้านป้าพะยอม

“เซฟ เดี๋ยวหลังเลิกแถวแล้วไปที่ห้องพละเลยนะ” ครูสมจินต์ที่ปฏิบัติหน้าที่เวรพานักเรียนข้ามถนนกระซิบเบาๆ ครูเซฟเดินงงข้ามไปร้านข้าวแกงป้าพะยอม

บรรดาครูผู้ชายวันนี้ดูหลุกหลิกอย่างไรไม่ทราบได้ พอนักเรียนทยอยเดินแถวกลับเข้าไปยังห้องเรียน บรรดาครูผู้ชายก็ไปยืนออหน้าโน้ตบุ๊คของครูสมจินต์ในห้องพละเต็มไปหมด ครูเซฟเดินแหวกวงเข้ามาอย่างสงสัย

ภาพบนหน้าจอโน้ตบุ๊คเป็นภาพภายในห้องเรียนห้องหนึ่ง มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งกำลังจูบอย่างดุเดือดกับชายหนุ่มแล้วภาพก็ถูกตัดมาที่ใบหน้าของนักเรียนหญิง

“เฮ้ย! ยายเปิ้ลนี่นา” ครูเซฟอุทานลั่น

“ดูต่อเว้ย ยังมีทีเด็ด” ครูสมจินต์บีบมือของครูเซฟไว้

ภาพถูกตัดมาที่มือสากๆของชายหนุ่มที่ล้วงเข้าไปภายใต้เสื้อชั้นในของนักเรียนหญิง แล้วปทุมถันขนาดกะทัดรัดก็เผยโฉมออก เม็ดบัวสีชมพูถูกปากสากๆของชายหนุ่มดูดอย่างเมามัน ได้ยินเสียงครางเบาๆแต่ก็บอกไม่ได้ว่ามาจากในหรือนอกจอ จากนั้นก็ค่อยๆซูมต่ำลงมาเรื่อยๆ บรรดาครูผู้ชายดูฉากรักอันแสนจะเร่าร้อนนั้นอย่างจดจ่อจนภาพถูกตัดไป จึงค่อยๆคลายวงออก

“แล้ว ผ.อ.รู้เรื่องนี้หรือยังล่ะ” ครูเซฟถามด้วยความกังวลเพราะว่าเด็กหญิงเปิ้ลในคลิปนั้นเป็นนักเรียนประจำชั้นของเขานั่นเอง

“ไม่นึกเลยนะว่าเด็ก ป.๕ จะลีลาแพรวพราวขนาดนี้ อิจฉาไอ้หนุ่มนั่นจริงๆ” ครูสมจินต์เอามือเช็ดน้ำลาย

“จะไม่หื่นไปหน่อยเหรอพี่ นั่นลูกศิษย์เรานะ เสียจรรยาบรรณครูหมด” ครูบุ๊งใช้เสียงปรามครูรุ่นพี่

“หนอยแน่ ไอ้บุ๊ง อย่ามาทำเป็นพ่อพระหน่อยเลยวะ จำตอนที่คุมกีฬานักเรียนไปพิจิตรได้หรือเปล่า ที่แกเรียกหนูๆในคาราโอเกะมากกตั้งสองคน แกทั้งล้วงทั้งควักไม่เกรงใจพี่บ้างเลย” ครูสมจินต์เตรียมตัวจะหาเรื่องมาเผาครูหนุ่มจอมเจ้าชู้ซึ่งพยายามเอามือปิดปากไม่ให้พูดต่อ

“แล้วสุดท้ายยายสองสาวนั่นก็พูดว่า ครูจำหนูไม่ได้จริงๆหรือคะ เท่านั้นแหละ หน้าซีดเป็นไก่ต้มเลย” บรรดาครูที่อยู่ในห้องพละหัวเราะดังลั่นก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้นมา

“มีประชุมอะไรกันเหรอหัวหน้าสาระสุขศึกษา” เมื่อมองไปทางต้นเสียงก็เห็น ผ.อ.จิ๋มยืนอยู่ที่ประตู ครูสมจินต์รีบใช้ความไวปิดโน้ตบุ๊คทันที ครูคนอื่นๆไหว้ผู้อำนวยการก่อนจะทยอยเดินออกจากห้องพละไป

ครูเซฟเข้าไปโฮมรูมนักเรียนในห้องแล้วมองไปที่เปิ้ลหรือ “ด.ญ.กัลยาณี”ที่นั่งอยู่แถวหลังสุด ปีนี้เธอน่าจะอายุ ๑๑ ปีแล้ว เขาก็เพิ่งสังเกตว่ารูปร่างของเธอดูจะแตกเนื้อสาวก่อนใครอื่นในห้อง เวลามองผู้ชายก็จะมีแววตาที่มีจริตจะก้าน มองหน้าอกหน้าใจ สะโพกก็ใช่ย่อย

“บ้า คิดอะไรอยู่วะเรา” มโนธรรมของครูเซฟส่งเสียงปรามขึ้น

โลกในยุคดิจิตอลแค่ปลายนิ้วคลิก มันระบาดรวดเร็วยิ่งว่าโรคห่าลงกินเมืองเสียอีก ไม่ช้าไม่นาน
คลิปฉาวนั้นก็ถูกเผยแพร่ไปเรื่อยๆผ่านทางโทรศัพท์มือถือ เรียกกันว่าใครไม่เคยดูก็เชยระเบิด เช่นเดียวกับที่ห้องพักครูสายชั้น ป.๖ ที่ครูพชรยื่นโทรศัพท์มือถือให้ครูแต้วที่กำลังง่วนตรวจการบ้านอยู่ดู

“ว้าย! บ้าจริง พชร ทุเรศ ลามกอะไรอย่างนี้ เอาออกไปเลยนะ” ครูแต้วปัดมือของครูสอนภาษาไทยออกไปอย่างรวดเร็ว

“บ้าจริง ครูแต้วนี่ มือถือผมเกือบตกเลยนะนี่ อุตส่าห์เอาของดีให้ดู เผื่อจะมีอารมณ์จะได้คิดมีกิ๊กซะบ้าง” ครูพชรนั่งลงที่เก้าอี้พลาสติกหน้าโต๊ะของครูแต้ว

“ไม่ต้องเอามาให้ฉันดูหรอกย่ะ ของลามกจกเปรตแบบนี้” ครูแต้วเดินตุปัดตุเป๋ออกไปจากห้องพักครู

“ไม่รู้ป่านนี้ครูเซฟจะจัดการกับแม่เปิ้ลนั่นยังไงนะ” ครูริสาที่นั่งอยู่ข้างๆจึงแสดงความคิดเห็นขึ้น

“ก็ส่งฝ่ายปกครองให้ผู้ช่วยฯเกษมจัดการสิ” ครูพชรหัวเราะลั่นก่อนจะส่ายหัวอย่างเยาะเย้ย

“ป่านนี้มุดหนีเจ้าหนี้ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ จะไปหวังพึ่งพาอะไรได้ล่ะ ไปห้องปกครองก็เจอแต่เก้าอี้เปล่าก็เท่านั้น”

ผ.อ.จิ๋มเมื่อทราบเรื่องก็ได้มอบหมายให้ครูกิ่งแก้ว ครูแนะแนวประจำโรงเรียนได้นำเด็กหญิงกัลยาณีมาสัมภาษณ์ และแล้วความจริงก็ปรากฏ

เด็กหญิงกัลยาณีเล่าว่า เธออาศัยกับพ่อซึ่งขับรถจักรยานยนต์รับจ้างอยู่หน้าโรงเรียนแต่เพียงลำพัง ส่วนแม่นั้นไปมีครอบครัวใหม่แล้ว ตอนเธออยู่ ป.๔ พ่อของเธอเมามากแล้วได้ล่วงเกินทางเพศเธอเป็นประจำ ต่อมามีวัยรุ่นชายข้างบ้านคนหนึ่งชวนเธอไปดูหนังที่บ้านของเขา แล้วเปิดหนังโป๊ให้เธอดู เธอรู้สึกว่าร้อนวูบวาบไปทั้งตัว แล้วชายหนุ่มก็ค่อยๆใช้วาจาหว่านล้อมจนเธอยอมตกเป็นของเขา เพราะสิ่งที่เขากระทำกับเธอนั้นมันนุ่มนวลและอ่อนโยนไม่หื่นกระหายและหยาบอย่างที่พ่อทำ เธอจึงรู้สึกรักเขามาก แล้วเธอกับเขาก็ลักลอบได้เสียกันมาเรื่อยๆเช่นกัน ส่วนพ่อนั้นระยะหลังๆก็ยิ่งระบายอารมณ์กับเธอถี่ขึ้น เธอคิดอยากจะหนีแต่ก็มองไม่เห็นว่าใครจะเป็นที่พึ่งได้

เธอไม่คิดด้วยซ้ำว่าคลิปนี้จะหลุดออกมา เพราะว่าวันที่เกิดเหตุการณ์นี้เธอกำลังทำเวรตอนเย็นแล้วทุกคนก็ทยอยกันกลับบ้านหมด ส่วนตัวเธอนั้นนั่งทำการบ้านอยู่เพราะไม่อยากกลับไปพบพ่อที่บ้าน แล้วแฟนหนุ่มของเธอก็พรวดพราดเข้ามาในห้องเรียนแล้วโอ้โลมเธออย่างหื่นกระหาย เธอกลัวว่าจะมีคนเห็นแต่ก็พ่ายแพ้ต่อลีลาเล้าโลมของเขา ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจะถ่ายฉากรักเก็บไว้ เพราะแฟนเธออ้อนวอนว่าอยากจะเก็บไว้ดูเวลาคิดถึง ด้วยความไร้เดียงสาเธอจึงยอมเพราะหลงเชื่อคำของเขา

ครูกิ่งแก้วถอนใจอย่างเวทนา ส่วนเปิ้ลนั้นร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก เธอรู้สึกอับอายมากที่ถูกเพื่อนชายหลอกเจาะไข่แดงฟรีๆแถมยังเอาคลิปเธอออกมาประจานอย่างนี้

“แล้วจะทำยังไงต่อดีล่ะ พี่กิ่ง” ครูเซฟถามอย่างกังวล

“ก็คงต้องดำเนินคดีกับพ่อเธอตามกฎหมาย ส่วนผู้ชายนั้นก็ต้องข้อหาด้วยเช่นกัน” ครูกิ่งแก้วตอบอย่างเหนื่อยใจกับคำสารภาพของนักเรียนหญิงชั้น ป.๕

“แล้วตัวเปิ้ลล่ะครับ”

ครูกิ่งแก้วส่งสายตาเชิงเวทนามาที่ครูเซฟ “พี่ว่าก็คงต้องส่งไปสถานสงเคราะห์หญิงล่ะ เพราะแม่ของเปิ้ลเองก็หย่าร้างไปนานแล้ว ไม่สามารถติดต่อได้”

ผ.อ.จิ๋มเป็นธุระติดต่อเรื่องของการส่งเปิ้ลไปอยู่สถานสงเคราะห์ แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเพราะผลการตรวจร่างกายนั้นปรากฏว่า เปิ้ลตั้งครรภ์อ่อนๆได้สองเดือนแล้ว และที่น่าเศร้ากว่านั้นคือ ผลการตรวจดีเอ็นเอปรากฏว่าเด็กในท้องเป็นลูกที่เกิดจากพ่อของเปิ้ลเอง ส่วนด้านแฟนของเปิ้ลนั้นก็ถูกดำเนินคดีในข้อหาพรากผู้เยาว์และกระทำการอนาจารต้องเข้าสถานพินิจหลายปีเช่นกัน สงสารก็แต่คลิปฉาวนั้นก็ยังคงส่งต่อจากมือต่อมือไปเรื่อยๆในโลกดิจิตอล

“ฉันเคยพูดหลายครั้งแล้วใช่ไหมว่าให้เยี่ยมบ้านนักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนกลุ่มเสี่ยง” เสียงแหลมเล็กของผู้อำนวยการโรงเรียนระบายออกมาในห้องประชุมโรงเรียนโดยมีครูนั่งกันอยู่เต็ม

“ต้องขอขอบคุณครูกิ่งแก้วที่ช่วยจัดการเรื่องนี้จนลุล่วงไปได้ด้วยดี ผ.อ.ได้ทำรายงานต่อผ.อ.เขตพื้นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน แล้วขอให้ครูประจำชั้นทุกคนจำไว้เลยนะว่า ให้ดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิด แต่สำหรับนักเรียนสาวๆกับครูบุ๊งนี่ คงไม่ต้องใกล้ชิดกันมากนะคะ เดี๋ยวจะเหมือนนักเรียนห้องครูเซฟอีก” ผ.อ.จิ๋มกล่าวเป็นเชิงเสียดสีครูเซฟตามนิสัยของตัวเองที่ชอบประจานคนอื่นในที่ประชุม

“วิชา”

“มาครับ”

“สุรพงศ์”

“มาครับ”

“กนกวรรณ”

“มาค่ะ”

“กัลยาณี”

ครูเซฟชะงักทันที สายตาเหลือบไปมองที่นั่งประจำของเด็กหญิงกัลยาณีซึ่งมีแต่ความว่างเปล่า ป่านนี้เด็กสาวคงจะท้องแก่ใกล้จะคลอดแล้วในสถานสงเคราะห์หญิง ถ้าเธอยังเรียนอยู่ที่นี่ก็คงจะได้สอบปลายภาคเรียนเพื่อเลื่อนชั้นไปอยู่ ป.๖ แล้ว

“กลีบผกาเจ้าเอ๋ยเคยอยู่ต้น

ต้องผจญภุมรินบินตอมไต่

ลมพัดร่วงลงดินแทบสิ้นใจ

ถูกหนอนไชชอนขยี้พลีพรหมจรรย์”

ปากกาในมือครูพชรหยุดชะงัก เมื่อลมแรงพัดแจกันดอกไม้บนโต๊ะหล่นลงแตก

( ชื่อตัวละครและเรื่องราวนี้เป็นแต่เรื่องสมมติขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงถึงผู้ใด หากได้ล่วงเกินแก่ใครก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ )

( โปรดติดตามตอนต่อไป )

สงครามกระดานดำ ตอน แชร์ตาลปัตร



เรื่องหนึ่งที่มีอยู่ทั่วทุกโรงเรียนในประเทศไทยและถือเป็นปัญหาสำคัญของกระทรวงศึกษาธิการเลยก็ว่าได้ คือ การเป็นหนี้สารพัดของครู ไม่เว้นโรงเรียน “เฌอคู่วิทยา” วันนี้วันเงินเดือนออกบรรยากาศหน้าประตูโรงเรียนคึกคักเป็นพิเศษไปด้วยบรรดาเจ้าหนี้ทั้งในและนอกระบบ ร้านข้าวแกงป้าพะยอมดูจะเงียบเหงาซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะป่านนี้บรรดาครูลูกหนี้ทั้งหลายคงจะวางแผนเข้ามาโรงเรียนอย่างไรโดยไม่พบกับเจ้าหนี้

“เฮ้ย! พี่สมจินต์ทำไมปีนรั้วเข้ามาล่ะ ประตูโรงเรียนก็มี บ้าเปล่านี่” ครูแต้วที่กำลังควบคุมนักเรียนทำความสะอาดบริเวณใต้อาคารเรียนสี่อุทานเมื่อเห็นคนกำลังเดินฝ่ากอกล้วยข้างรั้วโรงเรียนเข้ามา

“อย่าเสียงดังไปสิ แต้ว เดี๋ยวเจ้าหนี้พี่ก็รู้หมดว่าพี่มาโรงเรียนแล้ว” ครูสมจินต์ หัวหน้ากลุ่มสาระสุขศึกษาและพลศึกษาปัดเศษใบไม้ตามเนื้อตามตัวก่อนจะเดินอย่างระแวดระวังไปที่เซ็นชื่อลงเวลาปฏิบัติราชการ

“มาพอดีเลย น้องสมจินต์ รับใบเสร็จด้วยค่ะ” ครูพรรณี ฝ่ายการเงินโรงเรียนและผู้จัดการร้านสหกรณ์โบกใบเสร็จค่าสินค้าซื้อเชื่อของสหกรณ์และใบเสร็จชำระหนี้ของธนาคารโรงเรียนให้ครูสมจินต์

“เฮ้อ...หนีเสือปะจระเข้แท้ๆเลยกู” ครูสมจินต์ถอนใจก่อนจะดูยอดหนี้รวมประจำเดือนนี้ที่ครูพรรณียื่นให้ แล้วธนบัตรใบสีม่วงห้าใบก็ถูกส่งผ่านเข้าไปอยู่ในกระเป๋าหลุยส์ วิคตองใบโตของครูพรรณี

เสียงเพลงมาร์ชโรงเรียนดังเป็นรอบที่สองเป็นสัญญาณว่าครูพชรกำลังจะเดินผ่านประตูโรงเรียนเข้ามา

“น้องพชรๆ ทางนี้หน่อยน้อง” ครูอ้อยที่แอบอยู่ข้างรถบรรทุกที่จอดใกล้ๆโรงเรียนเรียกเบาๆ ครูพชรหันมองที่มาของเสียงก่อนจะเดินเข้าไปหา

“เอาเท่าไหร่อีกล่ะพี่เดือนนี้” น้ำเสียงของพชรถามอย่างรำคาญ

“หกพันก่อนแล้วกันน้อง” ครูอ้อยยกมือไหว้ปะหลกๆ

ครูพชรล้วงกระเป๋าหยิบธนบัตรสีเทาๆหกใบส่งให้เพื่อนครู
“ขอบใจมากน้อง เดี๋ยวกลางเดือนค่อยเคลียร์นะ” ครูอ้อยรีบเดินออกจากข้างรถบรรทุกกำลังจะเข้าประตูโรงเรียน แต่ทว่ามีผู้ชายสองคน ผู้หญิงหนึ่งคนเดินเข้ามาหาครูอ้อยโดยพร้อมเพรียงกันแล้วธนบัตรสีเทาทั้งหกใบที่ยืมครูพชรเมื่อสักครู่ก็ถูกเปลี่ยนมือแบ่งไปให้คนทั้งสาม

“น่าเบื่อจริงๆเลย พวกคนจนๆไม่รู้จักจัดการการเงินพวกนี้” ครูพชรเดินบ่นไปเรื่อยๆเมื่อเห็นสภาพของวันสิ้นเดือนแบบนี้จนชินตา

สองสามวันต่อมา ครูอ้อยเดินสีหน้ายิ้มแย้มเข้ามาหากลุ่มครูที่กำลังนั่งทานข้าวเที่ยงกันอยู่ เธอวางกระดาษและปากกาลงกลางโต๊ะ ครูที่นั่งอยู่หันมามองเป็นตาเดียวกัน

“อะไรคะพี่อ้อย” ครูแอ้ถามด้วยความสงสัย ครูอ้อยลากเก้าอี้พลาสติกเพื่อนั่งลงอธิบายให้ฟัง

“ใครสนใจเล่าแชร์บ้างจ๊ะ พี่เป็นเจ้ามือแชร์เอง ลงชื่อเลยนะจ๊ะ”

ครูสุชาวดีที่กำลังกินข้าวอยู่ถามรายละเอียดเพิ่มเติม “แล้วมือละเท่าไหร่ล่ะคะ เล่นกี่คนแล้วจะเปียแชร์วันไหน”

“ถามดีมากจ้ะ มือละพันเท่านั้น เปียทุกวันที่ ๕ ของเดือนที่ห้องสมุดโรงเรียนนะ ดีกว่าเอาเงินเก็บไว้เฉยๆเผื่อใครจำเป็นจะได้เอาออกไปใช้ เปียขั้นต่ำ ๕๐๐ นะจ๊ะ” ครูอ้อยรีบสาธยายเชิญชวนเพื่อนครูด้วยกัน

“ก็ดีเหมือนกัน เล่นกันมากๆสิจะได้เงินก้อนใหญ่ไปปลดหนี้หรือถือว่าออมทรัพย์กันเล่นๆ” ป้าจินดาสนับสนุนคำพูดของครูอ้อยซึ่งอยู่สายชั้น ป.๒ ด้วยกัน

ไม่นานกระดาษเปล่าแผ่นนั้นก็มีรายชื่อของครู ๒๐ คนเขียนต่อกันยาวลงมา ครูอ้อยยิ้มด้วยความพอใจก่อนที่จะเดินจากไป

เดือนที่หนึ่ง ผู้ที่เปียแชร์ได้คือครูรินดา ครูอ้อยก็จ่ายเงินให้ตามปกติ เดือนที่สอง สาม สี่ ห้าผ่านไปวงแชร์นี้ก็ดำเนินไปตามปกติ

เมื่อก้าวสู่เดือนที่ห้า ผู้ที่เปียแชร์ได้คือ ครูพชร ครูที่เปียแชร์ไม่ได้ก็ทยอยออกจากห้องสมุด ครูพชรเดินเข้ามาทวงเงินที่ครูอ้อย

“ไหนล่ะ พี่อ้อย เงินที่ผมเปียได้พร้อมดอกอ่ะ” ครูพชรแบมือออกแต่ครูอ้อยกำข้อมือไว้แทนแล้วดึงตัวเข้าไปที่มุมเคาน์เตอร์ยืม-คืนหนังสือ

“น้องพชรจ๊ะ พอดีเดือนนี้พี่ร้อนเงิน เอาแบบนี้ได้ไหม เงินที่น้องเปียได้พี่จะเป็นคนส่งให้ในเดือนต่อๆไป โอเคไหมจ๊ะ”

ครูพชรคำนวณในใจ “เราเปีย ๕๕๐ บาท (คิดในใจ) พี่อ้อยติดเงินเราหนึ่งหมื่นบาท ดีเหมือนกันให้พี่อ้อยหักเงินไปในตัวเลยก็ดี เราเองก็สบาย”

“โอเคครับพี่อ้อย” ครูพชรพยักหน้าแล้วก็เดินไปสอนที่ชั้น ป.๖ ต่อ ส่วนครูอ้อยถอนใจโล่งอกก่อนที่จะหยิบเครื่องคิดเลขออกมาคำนวณ

แล้วแชร์เดือนที่หก เจ็ด แปด ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันหนึ่งครูพชรซึ่งกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ศาลาใต้ลานโพคู่กับครูบุ๊งกันอยู่ก็งงมากเมื่อเห็นป้าจินดาเดินรี่เข้ามาหา

“มีอะไรเหรอป้าจินดา ร้อยวันพันปีไม่เห็นลงมาที่ลานโพนี้เลย” ครูบุ๊งกระเถิบให้ป้าจินดานั่งบนเก้าอี้ม้าหิน

“น้องพชร น้องให้นังอ้อยมันหักเงินค่าแชร์ด้วยใช่ไหม” ป้าจินดาถามด้วยความน้ำเสียงกังวล

“ครับ ทำไมเหรอป้า” ครูพชรงงกับน้ำเสียงของป้าจินดา ครูร่วมสายชั้นกับครูอ้อย

“นังนั่นมันร้ายนะ มันวางแผนให้พวกเราเล่นแชร์แล้วก็เอาเงินนี่ไปโปะหนี้ของมันน่ะสิ ป้าไปถามคนที่เปียได้ทั้งสองเดือนที่ผ่านมาแล้ว ทั้งครูแต้ว ครูแอ้ ก็ให้คำตอบแบบน้องเหมือนกัน”น้ำเสียงของป้าจินดาสั่นรัวขึ้น

“อ้าว..จริงเหรอป้า ผมน่ะไม่มีปัญหาหรอกเพราะครูอ้อยเค้ายืมเงินผมไป รวมเบ็ดเสร็จทั้งต้นทั้งดอกก็หลุดกันกับค่าแชร์พอดี” ป้าจินดาตบโต๊ะดังปังจนครูหนุ่มทั้งคู่สะดุ้ง

“แต่ป้าไม่ใช่อย่างพชรนี่ ป้าร้อนเงินต้องการใช้เงินก้อนนี้เลย ลูกสาวป้ากำลังจะไปฝึกงานที่เชียงใหม่ต้องใช้เงินก้อนนี้ไปใช้จ่ายนะ” ป้าจินดาอธิบายด้วยความโมโหก่อนจะลุกออกจากที่นั่นไปทิ้งให้ครูทั้งสองงงกันต่อ

ผ่านไปหลายเดือน ครูที่ยังเปียแชร์ไม่ได้ก็เริ่มวิตกกังวลกับแชร์วงนี้ว่าจะล้มหรือไม่ เพราะรวมหนี้เบ็ดเสร็จที่ครูอ้อยค้างจ่ายและยังไม่ได้จ่ายนั้นมีมูลค่าหลายหมื่นบาททีเดียว คนที่เปียได้มือหลังๆล้วนแล้วแต่เปียลมทั้งนั้น ส่วนเงินก็ยังอยู่ที่ครูอ้อยทั้งสิ้น

“ทำไงดีล่ะ ริสา แม่พี่ต้องใช้เงินไปลงทุนที่สวนด้วย” ครูแต้วปรึกษากับครูริสาซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือเรื่องย่อละครอยู่

“ไม่รู้สิพี่ ริสาก็กลุ้มใจเหมือนกัน อุตส่าห์ชิงเปียได้ก่อนแล้วนะ อิจฉาพวกเปียได้แรกๆจัง ได้เงินครบไปใช้สบายๆแล้ว” ครูริสาบุ้ยปากมาทางครูพชร

“อ้าว...ก็ผมมีเรื่องหนี้สินส่วนตัวกับพี่อ้อยนี่ครับ ก็ใช้วิธีหักไปเลยก็สะดวกผมนี่” ครูพชรรีบอธิบายให้ฟังก่อนจะหยิบหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอนในชั่วโมงต่อไป

“เชื่อริสาเถอะพี่แต้ว ว่าเรื่องนี้ต้องบานปลายแน่นอน” ครูริสาเอ่ยขึ้นเหมือนทุกครั้งที่เธอมีลางสังหรณ์

ที่ห้องประชาสัมพันธ์ ครูดาวนั่งประดิษฐ์ดอกไม้ใยบัวอยู่โดยมีครูต้อมและครูกรรณิการ์นั่งทานบัวลอยไข่หวานอยู่ ครูต้อมเปิดประเด็นขึ้นมาทันที

“นี่น้องดาวเล่นแชร์ครูอ้อยหรือเปล่าจ๊ะ” ครูต้อมถามหยั่งเชิง

“เปล่าค่ะ พี่ต้อม” ครูดาวหันหน้ามาคุยกับครูต้อม

ครูต้อมตบอกเบาๆด้วยความโล่งใจก่อนจะสาธยายตามประสาคนช่างนินทา “ดีแล้วจ้ะ น้องดาว พี่อยู่ที่นี่มานาน ถามพี่สิ พี่รู้หมดแหละ ครูอ้อยน่ะเป็นครูที่มีหนี้สินรุงรังมากที่สุดในโรงเรียนเลยนะจะบอกให้ น้องดาวรู้ไหมว่าเงินเดือนหักหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ครู ธนาคารโรงเรียนแล้วก็หักค่าซื้อสินค้าสหกรณ์โรงเรียนแล้วเหลือเท่าไหร่” ครูต้อมเปิดช่องว่างจงใจให้ครูดาวถาม ครูดาวส่ายหน้าโดยอัตโนมัติ

“ห้าร้อยบาทถ้วนๆจ้ะ นี่ยังไม่ได้รวมหนี้บัตรอิออน เฟิร์สชอยส์ ควิกแคชและก็หนี้นอกระบบนะจ๊ะ” ครูต้อมลากเสียงยาวก่อนจะจิบน้ำมะตูมเบาๆ ครูกรรณิการ์ที่กำลังอร่อยอยู่กับบัวลอยไข่หวานหันหน้าขึ้นมาเสริมต่อ

“ดีแล้วที่น้องดาวไม่ไปเล่นแชร์ครูอ้อยด้วย บ้านนี้เค้าเป็นหนี้กันทั้งบ้านเลยทั้งผัวทั้งเมียแล้วก็จะมีข้ออ้างน่าสงสารสารพัดเลยล่ะ ที่บ้านพ่อป่วยบ้าง แม่ไม่สบายบ้าง น้องชายต้องเสียค่าเทอมบ้าง แรกๆพี่ก็สงสาร แต่พอจับติดพี่ก็หักหนี้จากเงินเดือนเลย”

“นั่นน่ะสิคะ หนูเห็นครูพรรณีไปเดินป้วนเปี้ยนๆหน้าห้อง ป.๒/๑ บ่อยจัง” ครูดาวตัดด้ายที่มัดก้านดอกไม้ออกอย่างบรรจง

“ขานั้นเค้าก็เจ้าแม่เงินกู้รายใหญ่ของย่านนี้จ้ะ รองลงมาก็ครูพชรนั่นแหละ แต่ครูพรรณีเค้าเขี้ยวกว่าหลายเท่า” ครูต้อมพูดก่อนที่จะหยิบชามขนมของตัวเองและของครูกรรณิการ์เดินออกไปทางโรงอาหาร ครูกรรณิการ์จึงได้หันกลับมาหาครูดาวอีกครั้ง

“ว่าแต่คนอื่นนัก ครูต้อมนี่ก็ใช่ย่อยซะที่ไหน หนี้สินก็รุงรังพอกันแหละ ดีที่ว่าไปประจบยืมเงิน ผ.อ.มาจ่ายทุกเดือน ไม่งั้นป่านนี้ก็คงแย่พอๆกับครูอ้อยนั่นแหละ”

ผ่านไปหลายเดือน ป้าจินดาที่ตามทวงหนี้แชร์จากครูอ้อยและเจ้าหนี้อื่นๆก็แวะเวียนมาที่ห้อง ป.๒/๑ เรื่อยๆ จนวันหนึ่งป้าจินดาคงจะอดรนทนไม่ได้จึงตรงดิ่งเข้าไปที่ห้องทำงานของ ผ.อ.จิ๋ม พอครูอ้อยรู้เรื่องก็หน้าซีดเผือดทันที และก็ลาโรงเรียนไปหนึ่งสัปดาห์

“มันหายหัวไปไหนนะนี่ พอรู้ว่าฉันไปฟ้อง ผ.อ.ก็ชิงลาเลยนะนังนี่” ป้าจินดานั่งปรับทุกข์กับครูพี่นาและครูแอ้ที่ใต้ต้นอโศกหน้าอาคารเรียนหนึ่ง

“เธอก็จะไปไล่ต้อนหมาจนตรอกทำไม ดีไม่ดีมันเบี้ยวเอาซะเฉยๆล่ะว่าไง” ครูพี่นาลูบหลังป้าจินดาเบาๆ

สัปดาห์ต่อมาครูอ้อยก็ปรากฏตัวในโรงเรียนอย่างเงียบๆ เธอรีบเซ็นชื่อแล้วก็เดินเข้าไปในห้องทำงานของ ผ.อ.จิ๋ม โดยที่ครูต้อมยังไม่ทันจะเอาชุดอาหารเช้าเข้าไปเสิร์ฟ ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงขณะที่นักเรียนทยอยเดินไปดื่มนมโรงเรียนและเข้าห้องเรียน ส่วนคุณครูต่างก็ทยอยจะเข้าไปโฮมรูมนักเรียนในห้องประจำชั้น

“ประกาศนะคะ ขอเชิญครูพชร ครูริสา ครูแต้ว ครูจินดา ครู...........................ประชุมพร้อมกันที่ห้องประชุมโรงเรียนตอนนี้เลยค่ะ”เสียงจากห้องประชาสัมพันธ์ประกาศย้ำอีกครั้ง คุณครูที่มีรายชื่อล้วนแต่เป็นสมาชิกในวงแชร์ครูอ้อยทั้งนั้น

ในห้องประชุมโรงเรียนที่แสนจะเย็นฉ่ำแต่ทกคนรู้สึกว่าเหงื่อไหลท่วมหลังกันแทบทุกคน ยิ่งได้ยินคำพูดที่หลุดจากปากของผู้อำนวยการโรงเรียน เสียงแหลมเล็กเสียดแทงเข้าไปถึงหัวใจเลยทีเดียว

“เป็นครูประสาอะไรกัน เห็นคนอื่นเดือดร้อนแล้วยังจะกดดันให้เพื่อนเค้าต้องลำบากใจอีก รู้ไหมทำแบบนี้มันไม่ถูกต้อง เราควรจะช่วยเหลือเค้ามากกว่าที่จะไปทวงเงินจากเค้านะ”

ครูพชรรับไม่ได้กับคำพูดนั้นจึงยกมือขึ้นประท้วงทันที “ขออนุญาตครับ ผ.อ. นี่มันเรื่องการเงิน เรื่องทางธุรกิจนะครับ คนเป็นหนี้ก็ต้องจ่ายสิครับ ไอ้ตอนที่เดือดร้อนเห็นมายกมือไหว้ปะหลกๆ พอเราไปทวงแล้วทำตาดุเหมือนเสือ ผ.อ.จะเบนประเด็นให้พวกเราเป็นคนผิดไม่ได้นะครับ”

ผ.อ.จิ๋มส่งเสียงแหลมเล็กผ่านไมโครโฟนอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องมาสอนฉันหรอก ฉันเล่นแชร์มาหลายวงแล้ว เจ้ามือก็เคยเป็นมาแล้ว เพิ่งจะเห็นแชร์แปลกประหลาดก็คราวนี้แหละ”

ครูริสายกมือขึ้นอธิบายเพิ่มเติม “แต่ ผ.อ.คะ คนที่ชวนเล่นแล้วก็เบี้ยวหนี้คือ ครูอ้อยนะคะ หนูฟังๆแล้วเหมือนผ.อ.จะบอกว่าเค้าถูกและเราผิดนะคะ”

ผ.อ.จิ๋มพยักหน้าแล้วเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น ส่งสายตามาที่ครูริสารที่นั่งอยู่ทางด้านขวาของตัวเอง “ไม่รู้ล่ะ ยังไงพวกเธอก็ต้องช่วยเหลือครูอ้อย เค้าน่าสงสารจะตาย ฐานะทางบ้านก็ไม่ดี จำเป็นต้องใช้เงินมาก ตัวเค้าเองก็เป็นมะเร็งต้องใช้เงินรักษาตัวเองอีก รายได้ก็มีทางเดียว..........ฉันจะดูสิว่าใครจะมีคุณธรรมจริยธรรมก็วัดจากการเล่นแชร์คราวนี้แหละ” ผ.อ.จิ๋มเดินออกจากห้องประชุมแล้ว ทุกคนในห้องนั้นจึงประชุมกันต่อ

“มันบ้าไหมล่ะ อีแก่นี่ เราเป็นเจ้าหนี้แท้ๆกลับถูกด่าว่าผิด ในขณะที่อีอ้อยน่ะมันหลอกให้เราเล่นแชร์แล้วเอาเงินเราไปหมุน บ้ากันไปใหญ่แล้ว” ครูจินดาหัวเสียโพล่งผรุสวาทออกมา

“เค้าเป็นมะเร็ง เชอะ! มะเร็งส้นตีนสิ เพี้ยง...ขอให้มันเป็นจริงๆเหอะ แม่จะหัวเราะให้ฟันร่วงเลย”ครูริสายกมือไหว้ท่วมหัวในขณะที่ครูพชรนั่งเซ็งเป็นที่สุด

“คนเรากลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำกันเห็นๆเลย ไม่รู้ครูอ้อยมันไปตีบทแตกอะไรให้ผ.อ.ฟังก็ไม่รู้ ไปสอนดีกว่า”ครูพชรพูดก่อนจะเดินออกจากห้องประชุมอย่างเนือยๆ

ที่ห้องพักครูสายชั้น ป.๖ ครูพชรนั่งตรวจการบ้านอยู่ ป้าจินดาก็ผลุนผลันเข้ามาจนเขาไม่ทันตั้งตัว ป้าจินดาลากเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆมานั่ง

“ป้ารู้แล้วล่ะว่านังอ้อยมันไปพูดอะไรกับ ผ.อ.” พูดได้เท่านี้ครูคนอื่นๆก็มายืนล้อมวงที่โต๊ะครูพชรโดยไม่ได้นัดหมาย

“มันเข้าไปร้องห่มร้องไห้แล้วก็ใช้บทเดียวกับที่ตอแหลใส่พวกเรานั่นแหละ พี่ไปถามครูต้อมมาแล้ว นังนั่นอยู่ในเหตุการณ์ตลอด เชื่อถือได้แน่นอน แถมนังอ้อยมันยังใส่ร้ายพวกเราว่าขู่สารพัดสาระเพ อุ๊ย!ไม่อยากจะเล่า พูดแล้วของขึ้น” มือของป้าจินดาขยำพนักเก้าอี้อย่างแรง ทุกคนที่ได้ฟังก็พลอยหดหู่ใจกับความอยุติธรรมนี้เหลือเกิน

ครูริสายังมีเรื่องแคลงใจอีกจึงถามต่อว่า “แล้วทำไมผ.อ.ถึงไปเข้าข้างครูอ้อยได้ล่ะ”

ป้าจินดาตบโต๊ะดังปังก่อนจะพูด “อ๋อ! ผ.อ.เสนอว่าจะช่วยปลดหนี้ให้แลกกับการที่ให้มันคอยเป็นหูเป็นตาให้อีกคนหนึ่งน่ะสิ ใช้เงินซื้อสุนัขรับใช้เพิ่มมาอีกตัวไงล่ะ”

ที่ลานโพ ครูพชรนั่งกับครูบุ๊งเหมือนปกติ มีครูเซฟที่พานักเรียนมาเล่นเสือกินวัวตามมาคุยด้วยทีหลัง ปรากฏร่างของผู้ช่วยฯเกษมเดินยิ้มกริ่มเข้ามาหาครูทั้งสาม ครูเซฟลุกขึ้นให้ผู้ช่วยฯฝ่ายปกครองควบฝ่ายบริการนั่ง

“ไงล่ะ พชร ได้ข่าวว่าเป็นเจ้าหนี้เงินกู้รายใหญ่เหรอ มันจะข้ามหน้าข้ามตาไปหรือเปล่า พี่น่ะให้คนยืมเงินเปล่าๆก็เคยมาแล้ว อย่าเขี้ยวไปหน่อยเลย เงินทองน่ะของนอกกาย ช่วยคนอื่นน่ะเป็นกุศลนะ” มือของผู้ช่วยฯเกษมตบบนบ่าครูพชรเบาๆเป็นเชิงเสียดสี

“พี่เกษมคะ อยู่นี่เอง หนูตามหาทั่วโรงเรียนเลย” ครูพรรณีเดินมาด้วยท่าทีกระหืดกระหอบ

“มีอะไรเหรอ น้องณี จะให้พี่เซ็นอนุมัติโครงการอะไรเหรอ” ผู้ช่วยฯเกษมหยิบปากกาปากเกอร์เตรียมจะเซ็นชื่อ

“เปล่าค่ะพี่ หนูเอาใบเสร็จค่าธนาคารโรงเรียน ค่าสินค้าสหกรณ์ และก็ที่พี่ยืมหนูไปสองเดือนทั้งต้นทั้งดอก เบ็ดเสร็จ ๗๕๐๐ บาทค่ะ” ครูพรรณียื่นใบเสร็จยัดใส่มือผู้ช่วยฯทันที

ผู้ช่วยฯเกษมเปิดกระเป๋าเงินดู ครูพชรสังเกตเห็นมีแต่ธนบัตรสีแดงๆอยู่สามสี่ใบเท่านั้น เขาแอบยิ้มอยู่ในใจ


“วันนี้พี่ยังไม่ไปเก็บเงินจากลูกหนี้เลย ขอทราบยอดไว้ก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ค่อยจ่ายแล้วกัน” ผู้ช่วยฯยิ้มแหยๆก่อนเตรียมตัวจะลุกขึ้นเดินหนีครูพรรณี

“หวังว่าพรุ่งนี้หนูคงจะพบพี่นะคะ เอานี่ด้วยค่ะ จดหมายจากอิออน ควิกแคชแล้วก็เฟิร์สชอยส์ แล้วก็รู้สึกว่าที่ห้องปกครอง เถ้าแก่เส็งกับเจ๊กิมมารออยู่นะคะ” ครูพรรณีหยิบซองจดหมายประทับตราบริษัทการเงินจากกระเป๋าถือให้อีกปึกใหญ่

ครูพรรณีเดินจากไป ส่วนผู้ช่วยฯเกษมก็เดินไปทางโรงจอดรถและสตาร์ทรถออกไปข้างนอกเร็วฉิว ครูพชรยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะเดินไปทานข้าวเที่ยงที่โรงอาหาร

( ชื่อตัวละครและเรื่องราวนี้เป็นแต่เรื่องสมมติขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงถึงผู้ใด หากได้ล่วงเกินแก่ใครก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ )

( โปรดติดตามตอนต่อไป )