ตลาดนัดวันศุกร์ข้างโรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”เป็นสถานที่สำหรับครูที่ว่างในชั่วโมงที่หนึ่งและสองไปจับจ่ายข้าวของกันอย่างสนุกสนาน เช่นเดียวกันกับครูต้อ หัวหน้ากลุ่มสาระสังคมฯกับครูดาวที่หอบข้าวของพะรุงพะรังตั้งแต่ขนมไทย ผลไม้สดๆและผักไว้กลับไปทำกับข้าวในตอนเย็น
“สวัสดีค่ะ ครูต้อ” แม่ค้าขายผลไม้ยกมือไหว้ทักทายครูทั้งสอง
“ค่ะ แม่ของเจตนาใช่ไหมคะ เป็นไงบ้าง ขายดีไหมคะ” ครูต้อก้มลงเลือกส้มโชกุนใส่ถุงพลาสติก
“เรื่อยๆน่ะค่ะ แต่ฝากครูหน่อยแล้วกันค่ะ ป้าเห็นพวกเด็กๆเฌอคู่น่ะชอบไปมั่วสุมกันที่ร้านเกมคอมพิวเตอร์แถวสองซอยถัดไปน่ะค่ะ นี่ก่อนป้ามาขายของก็เห็นเด็กใส่ชุดนักเรียนแล้วเอาเข้าไปเปลี่ยนในร้านเกมส์สองสามคนนะคะ สงสัยจะหนีเรียนแน่เลย”
ครูต้อยิ้มเจื่อนๆก่อนจะจ่ายเงินค่าส้มโชกุนแล้วรีบชวนครูดาวกลับโรงเรียน “รีบไปบอกฝ่ายปกครองดีกว่า ถ้ารู้ถึงหู ผ.อ.ล่ะเรื่องใหญ่อีก”
เมื่อกลับไปถึงโรงเรียน ที่ห้องปกครองเห็นแต่เก้าอี้อันว่างเปล่าของผู้ช่วยฯเกษม มีแต่ครูโรจน์ซึ่งทำงานฝ่ายปกครองอยู่ ครูต้อจึงได้แจ้งให้ทราบ ครูโรจน์กับครูผู้ชายสองสามคนก็ขับรถโรงเรียนออกไปและกลับมาพร้อมกับนักเรียนชั้น ป.๕ สองคนและชั้น ป.๖ หนึ่งคน ทั้งหมดให้การสารภาพว่า นายทรงพลที่อยู่ ป.๖ชักชวนนายไววิทย์และศุภกิจไปเล่นเกมโดยวางแผนเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยน ส่วนเงินก็ขโมยมาจากผู้ปกครอง
“น่าสงสารแทนพ่อแม่มันจริงๆ อุตส่าห์ทำงานแทบตายให้ลูกมันเอาไปผลาญในร้านเกม” ครูกรรณิการ์สังเวชใจในเรื่องราวที่ครูต้อเล่า
“พูดกันยากพี่ ขนาดลูกตัวเองยังอบรมไม่ได้ แล้วยังปัดมาให้ครูรับผิดชอบอีก ตกลงมันลูกใครกันแน่เนี่ย” ครูต้อแกะห่อข้าวเหนียวหน้าสังขยาใบเตยให้เพื่อนครู
“หนูมีเพื่อนสอนที่โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ เค้ามาต่อว่าหนูใหญ่เลยล่ะค่ะว่าเด็กโรงเรียนเราที่ไปเรียนต่อที่โรงเรียนเค้าน่ะ อ่านหนังสือก็ไม่ออก ท่องสูตรคูณก็ไม่ได้ โอ๊ย!สารพัด หนูนี่หน้าชาหมดเลยค่ะ” ครูดาวเล่าประสบการณ์ของตนเองบ้าง
“จะให้โทษใครล่ะ โน่นที่นั่งในห้องโน่นไงล่ะตัวดี ต้องเกรดสามเกรดสี่ ตอแหลกันทั้งนั้น ไม่รู้บ้างเหรอไงว่าพวกโรงเรียนมัธยมมันด่าฝากเรามาเป็นกระบุงโกยแล้ว ไม่เข้าหูบ้างหรือไง” ครูกรรณิการ์ส่งสายตาชี้ไปยังห้องผู้อำนวยการโรงเรียน
“คุยอะไรกันอยู่น่ะคะ ขอเมาท์ด้วยคนสิ” ครูต้อมส่งเสียงหวานท่าทางไม่จริงใจมาที่กลุ่มครูทั้งสาม
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ น้องต้อม มาทานกะละแมไหมจ๊ะ เจ้านี้เค้าทำอร่อยนะ เผื่อมันจะช่วยให้น้องหายปากเปราะบ้าง” ครูต้อยื่นห่อกะละแมให้ด้วยยิ้มอาบยาพิษ ครูต้อมไม่พูดอะไรสะบัดหน้าแล้วออกเดินเข้าไปยังห้องผู้อำนวยการ
“ดูคลิปนี่ยังวะ มึง” เด็กชายอิทธิพลยื่นโทรศัพท์มือถือให้เพื่อนชายอีกคน
“รุ่นพี่โรงเรียนเรานี่หว่า มึงเอามาจากไหนวะไอ้อิท” เพื่อนชายสองสามคนถามอย่างสนใจ
“กูได้มาจากเพื่อนพี่กูมันโหลดให้ว่ะ” อิทธิพลพูดอย่างภูมิใจ
มือของครูบุ๊งคว้าโทรศัพท์มือถือจากกลุ่มเด็กชายหัวโจกในห้องของครูแต้วมา ครูศิลปะหนุ่มเห็นภาพของเด็กหญิงคนหนึ่งใช้รองเท้าตบนักเรียนหญิงอีกคนหนึ่งโดยมีเพื่อนๆยืนล้อมวงเชียร์อยู่ข้างๆ แล้วนักเรียนหญิงคนที่โตกว่าก็เอาหัวของเพื่อนอีกคนโขกบนขอบโต๊ะเรียน
“ขอครูก่อนนะ” ครูบุ๊งคว้าโทรศัพท์เครื่องนั้นมาที่โน้ตบุ๊คครูสมจินต์ในห้องพละทันที
“มีอะไรวะ ไอ้บุ๊ง รีบร้อนใหญ่เลย” ครูสมจินต์ที่กำลังตรวจสอบอุปกรณ์การกีฬาอยู่หันมาทางโน้ตบุ๊คของตัวเอง
“มาดูของดีเร็วพี่” ครูสมจินต์วางมือจากการทำงานเดินตรงเข้ามาดูหน้าจอโน้ตบุ๊ค
ในโทรศัพท์มือถือของเด็กชายอิทธิพลนั้นเต็มไปด้วยคลิปมากมาย ตั้งแต่คลิปนักเรียนตบกันไปจนถึงคลิปแอบถ่ายนักเรียนมัธยมและที่ขาดไม่ได้ก็คือคลิปของเปิ้ลซึ่งเป็นที่โจษจันไปทั่วโรงเรียนเมื่อหลายเดือนก่อน
“ตามไม่ทันจริงๆเด็กเดี๋ยวนี้ มือถือเครื่องเล็กนิดเดียวจุหนังโป๊ได้เป็นร้อยเรื่อง” ครูสมจินต์คลิกคำว่า “เซฟ”เก็บลงในโน้ตบุ๊คของตัวเอง
“ที่น่าเวทนาที่สุดคืออะไรรู้ไหม บุ๊ง” ครูสมจินต์หันมาทางครูบุ๊งด้วยแววตาหดหู่
“ทำไมเหรอพี่”
“เด็กนักเรียนหญิงที่จับหัวเพื่อนอีกคนโขกกับขอบโต๊ะน่ะเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเรา” ครูบุ๊งไม่พูดอะไรเพราะสีหน้าของครูสมจินต์นั้นดูท้อแท้เหลือเกิน
เย็นวันนั้นขณะที่ครูโรจน์กำลังขับรถออกไปจากโรงเรียนก็เห็นเถ้าแก่เส็งซึ่งเปิดร้านขายขนมเด็กแถวๆโรงเรียนเดินลากตัวนักเรียนชายคนหนึ่งมาอย่างโกรธแค้น
“อาคุงคูอยู่พอลีเลย ปูเหลียวอ่า อ้ายเหล็กนี่มังเข้าไปคาโมยของในร้างอั๊วอ่า” เถ้าแก่เส็งกระชากตัวนักเรียนคนนั้นให้ครูโรจน์พาไปสะสางในห้องปกครอง
เด็กชายเดชวิทย์สารภาพว่า ขโมยของในร้านเถ้าแก่เส็งและอีกหลายร้านไปขายต่อเพื่อเอาเงินไปเล่นเกม แถมบางครั้งเค้าก็ขโมยของในโรงเรียนไปขายด้วย
“นี่จะไม่มีนักเรียนดีๆบ้างเลยหรือไงนะ พวกเราสอนนักเรียนให้เป็นโจรกันทั้งนั้นเลยเหรอ” ครูดาวโมโหมากเมื่อทราบว่านักเรียนห้องประจำชั้นของตัวเองไปขโมยของในร้านของเถ้าแก่เส็ง
“มันอยู่ที่สันดานน้อง ไม่เคยได้ยินเหรอว่าสันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก แต่นักเรียนที่ดีๆก็มีเหมือนกันนะ ดูอย่างนายวรากรสิตอนอยู่ที่นี่เกเรสุดๆเลย ตอนนี้ไปเป็นประธานนักเรียนแถมพ่วงตำแหน่งเยาวชนดีเด่นระดับภาคอีกต่างหาก” ครูกรรณิการ์ปลอบให้ครูห้องประชาสัมพันธ์คลายโทสะลง
“พี่คิดดูสิ ขนาดอยู่ ป.๑ ยังขนาดนี้ ต่อไปข้างหน้าหนูไม่อยากจะคิดเลย” ครูดาวพูดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
ครูกรรณิการ์เห็นใจในความอุทิศกายและใจในการสอนของครูรุ่นน้องคนนี้มากจึงชักแม่น้ำทั้งห้ามาเป็นกำลังใจให้เธอ
“น้องดาวน่ะเอาใจใส่เด็กนักเรียนดีแล้วล่ะจ้ะ แต่เราก็ต้องดูพื้นฐานของนักเรียนด้วยนะ ยกตัวอย่างง่ายๆว่าสับปะรดจากไร่เดียวกัน ดูแลเอาใจใส่เหมือนกันก็ใช่ว่าจะได้ขนาดมาตรฐานที่จะทำเป็นผลไม้กระป๋องเหมือนกันซักหน่อย มันก็มีลูกที่ไม่ได้มาตรฐานก็ต้องเอาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นหรือถ้ามันเน่าก็เอาไปทำปุ๋ยได้อย่างเดียวเท่านั้น
นิ้วสิบนิ้วมันยังไม่เท่ากันเลย นับประสาอะไรกับนักเรียนที่มาจากร้อยพ่อพันธุ์แม่ ครูก็เหมือนกับผู้ชี้แนะทางความคิดเท่านั้น แต่คนที่จะเลือกทางเดินชีวิตก็คือตัวของเด็กเองนะ ถ้าเด็กมันดีจริง ทำไมเวลาครูไม่อยู่เค้าถึงได้เล่นกันหลุดโลกเลยล่ะ ก็เพราะว่าเค้าทำตัวดีเพราะความกลัวครู ไม่ได้มาจากใจที่แท้จริงไง”
ครูกรรณิการ์ส่งยิ้มอย่างเมตตาให้กับครูสาวที่นั่งสีหน้าหดหู่อยู่ที่โต๊ะครู ครูดาวจึงค่อยมีสีหน้าสดชื่นขึ้น ทันใดนั้นเสียงดังลั่นก็ทำให้การสนทนาหยุดชะงักไป ครูต้อมเดินออกมาจากห้องพักครูแล้วตวาดนักเรียนชายที่กำลังเอาหนอนหยอกล้อเพื่อนนักเรียนหญิงจนกรี๊ดเสียงดังลั่น
“เล่นบ้าๆอะไรกันอีกน่ะ ไอ้เด็กพวกนี้ ไหนครูประจำชั้นชื่ออะไร ไม่อบรมสั่งสอนเด็กในห้องบ้างเหรอ” ครูต้อมเดินเข้าไปใกล้เด็กกลุ่มนั้นซึ่งก็วิ่งหนีแตกกระเจิงไปตั้งแต่ได้ยินเสียงครูต้อมแล้ว
ครูกรรณิการ์และครูดาวเห็นเหตุการณ์แล้ว ครูกรรณิการ์ก็หันมาพูดกับครูดาวต่อ
“บางครั้งการที่นักเรียนไปก่อเรื่องภายนอกมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับครูประจำชั้นหรอก พี่เพิ่งบอกเมื่อกี้ไงว่า บัวยังมีสี่เหล่าเลย เราไม่สามารถจะทำให้บัวใต้ตมมันโผล่ขึ้นมาเองได้หรอก ขนาดพระพุทธเจ้ายังไม่สามารถทำให้พระเทวทัตสำนึกตัวได้เลย จนกระทั่งพระเทวทัตยอมยกมือไหว้เองนั่นแหละ.....”
ขณะที่ครูกรรณิการ์จะพูดต่อพลันก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาโดยที่ไม่ทันตั้งตัว
“ดาว นี่เธอเป็นครูประจำชั้นประสาอะไรน่ะ เด็กไปทำห้องวิทยาศาสตร์ของครูก้อยแตกเสียหายหมดเลย” ร่างอ้วนเตี้ยของ ผ.อ.จิ๋มยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่หน้าห้องประชาสัมพันธ์ด้วยสีหน้าปานจะกินเลือดกินเนื้อ
ครูกรรณิการ์เหลือบไปเห็นครูดาวนั่งหน้าซีด ตัวสั่นงกๆจึงชิงตอบว่า “ผ.อ.คะ แล้วนี่มันคาบของครูก้อยนี่คะ ก็อยู่ในความรับผิดชอบของครูก้อยสิ จะมาเอาผิดกับน้องดาวได้ไง ครูประจำชั้นไม่ได้ตามตูดเด็กทั้งสี่สิบคนตลอดทั้งวันทั้งคืนนะคะ”
ผ.อ.จิ๋มส่งสายตาอาฆาตมาทางครูกรรณิการ์แทน แต่หาได้สะทกสะท้านอะไรไม่ เพราะประสบการณ์สามสิบห้าปีของความเป็นครูหลอมให้ครูกรรณิการ์กลายเป็นเหล็กกล้าแล้ว
“ไม่เกี่ยวกับเธอ กรรณิการ์ ดาวตามฉันไปที่ห้องหน่อยสิ” ผ.อ.จิ๋มหันหน้าไปทางอื่นขณะที่ออกคำสั่ง
ครูดาวเดินตัวลีบเหมือนนักโทษจะเข้าลานประหารตามหลังผ.อ.จิ๋มไปโดยมีครูต้อมแอบชะเง้อชะแง้มาจากห้องที่ตัวเองสอนอยู่
“เมื่อไหร่ไอ้พวกหนักแผ่นดินนี้มันจะหมดไปจากโรงเรียนเราซักทีนะ สงสัยจะเข้ายุคกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอยแล้วมั้ง” ครูกรรณิการ์มองไปทางครูต้อมก่อนจะถอนใจด้วยความสมเพช
( ชื่อตัวละครและเรื่องราวนี้เป็นแต่เรื่องสมมติขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงถึงผู้ใด หากได้ล่วงเกินแก่ใครก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ )
( โปรดติดตามตอนต่อไป )
“สวัสดีค่ะ ครูต้อ” แม่ค้าขายผลไม้ยกมือไหว้ทักทายครูทั้งสอง
“ค่ะ แม่ของเจตนาใช่ไหมคะ เป็นไงบ้าง ขายดีไหมคะ” ครูต้อก้มลงเลือกส้มโชกุนใส่ถุงพลาสติก
“เรื่อยๆน่ะค่ะ แต่ฝากครูหน่อยแล้วกันค่ะ ป้าเห็นพวกเด็กๆเฌอคู่น่ะชอบไปมั่วสุมกันที่ร้านเกมคอมพิวเตอร์แถวสองซอยถัดไปน่ะค่ะ นี่ก่อนป้ามาขายของก็เห็นเด็กใส่ชุดนักเรียนแล้วเอาเข้าไปเปลี่ยนในร้านเกมส์สองสามคนนะคะ สงสัยจะหนีเรียนแน่เลย”
ครูต้อยิ้มเจื่อนๆก่อนจะจ่ายเงินค่าส้มโชกุนแล้วรีบชวนครูดาวกลับโรงเรียน “รีบไปบอกฝ่ายปกครองดีกว่า ถ้ารู้ถึงหู ผ.อ.ล่ะเรื่องใหญ่อีก”
เมื่อกลับไปถึงโรงเรียน ที่ห้องปกครองเห็นแต่เก้าอี้อันว่างเปล่าของผู้ช่วยฯเกษม มีแต่ครูโรจน์ซึ่งทำงานฝ่ายปกครองอยู่ ครูต้อจึงได้แจ้งให้ทราบ ครูโรจน์กับครูผู้ชายสองสามคนก็ขับรถโรงเรียนออกไปและกลับมาพร้อมกับนักเรียนชั้น ป.๕ สองคนและชั้น ป.๖ หนึ่งคน ทั้งหมดให้การสารภาพว่า นายทรงพลที่อยู่ ป.๖ชักชวนนายไววิทย์และศุภกิจไปเล่นเกมโดยวางแผนเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยน ส่วนเงินก็ขโมยมาจากผู้ปกครอง
“น่าสงสารแทนพ่อแม่มันจริงๆ อุตส่าห์ทำงานแทบตายให้ลูกมันเอาไปผลาญในร้านเกม” ครูกรรณิการ์สังเวชใจในเรื่องราวที่ครูต้อเล่า
“พูดกันยากพี่ ขนาดลูกตัวเองยังอบรมไม่ได้ แล้วยังปัดมาให้ครูรับผิดชอบอีก ตกลงมันลูกใครกันแน่เนี่ย” ครูต้อแกะห่อข้าวเหนียวหน้าสังขยาใบเตยให้เพื่อนครู
“หนูมีเพื่อนสอนที่โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ เค้ามาต่อว่าหนูใหญ่เลยล่ะค่ะว่าเด็กโรงเรียนเราที่ไปเรียนต่อที่โรงเรียนเค้าน่ะ อ่านหนังสือก็ไม่ออก ท่องสูตรคูณก็ไม่ได้ โอ๊ย!สารพัด หนูนี่หน้าชาหมดเลยค่ะ” ครูดาวเล่าประสบการณ์ของตนเองบ้าง
“จะให้โทษใครล่ะ โน่นที่นั่งในห้องโน่นไงล่ะตัวดี ต้องเกรดสามเกรดสี่ ตอแหลกันทั้งนั้น ไม่รู้บ้างเหรอไงว่าพวกโรงเรียนมัธยมมันด่าฝากเรามาเป็นกระบุงโกยแล้ว ไม่เข้าหูบ้างหรือไง” ครูกรรณิการ์ส่งสายตาชี้ไปยังห้องผู้อำนวยการโรงเรียน
“คุยอะไรกันอยู่น่ะคะ ขอเมาท์ด้วยคนสิ” ครูต้อมส่งเสียงหวานท่าทางไม่จริงใจมาที่กลุ่มครูทั้งสาม
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ น้องต้อม มาทานกะละแมไหมจ๊ะ เจ้านี้เค้าทำอร่อยนะ เผื่อมันจะช่วยให้น้องหายปากเปราะบ้าง” ครูต้อยื่นห่อกะละแมให้ด้วยยิ้มอาบยาพิษ ครูต้อมไม่พูดอะไรสะบัดหน้าแล้วออกเดินเข้าไปยังห้องผู้อำนวยการ
“ดูคลิปนี่ยังวะ มึง” เด็กชายอิทธิพลยื่นโทรศัพท์มือถือให้เพื่อนชายอีกคน
“รุ่นพี่โรงเรียนเรานี่หว่า มึงเอามาจากไหนวะไอ้อิท” เพื่อนชายสองสามคนถามอย่างสนใจ
“กูได้มาจากเพื่อนพี่กูมันโหลดให้ว่ะ” อิทธิพลพูดอย่างภูมิใจ
มือของครูบุ๊งคว้าโทรศัพท์มือถือจากกลุ่มเด็กชายหัวโจกในห้องของครูแต้วมา ครูศิลปะหนุ่มเห็นภาพของเด็กหญิงคนหนึ่งใช้รองเท้าตบนักเรียนหญิงอีกคนหนึ่งโดยมีเพื่อนๆยืนล้อมวงเชียร์อยู่ข้างๆ แล้วนักเรียนหญิงคนที่โตกว่าก็เอาหัวของเพื่อนอีกคนโขกบนขอบโต๊ะเรียน
“ขอครูก่อนนะ” ครูบุ๊งคว้าโทรศัพท์เครื่องนั้นมาที่โน้ตบุ๊คครูสมจินต์ในห้องพละทันที
“มีอะไรวะ ไอ้บุ๊ง รีบร้อนใหญ่เลย” ครูสมจินต์ที่กำลังตรวจสอบอุปกรณ์การกีฬาอยู่หันมาทางโน้ตบุ๊คของตัวเอง
“มาดูของดีเร็วพี่” ครูสมจินต์วางมือจากการทำงานเดินตรงเข้ามาดูหน้าจอโน้ตบุ๊ค
ในโทรศัพท์มือถือของเด็กชายอิทธิพลนั้นเต็มไปด้วยคลิปมากมาย ตั้งแต่คลิปนักเรียนตบกันไปจนถึงคลิปแอบถ่ายนักเรียนมัธยมและที่ขาดไม่ได้ก็คือคลิปของเปิ้ลซึ่งเป็นที่โจษจันไปทั่วโรงเรียนเมื่อหลายเดือนก่อน
“ตามไม่ทันจริงๆเด็กเดี๋ยวนี้ มือถือเครื่องเล็กนิดเดียวจุหนังโป๊ได้เป็นร้อยเรื่อง” ครูสมจินต์คลิกคำว่า “เซฟ”เก็บลงในโน้ตบุ๊คของตัวเอง
“ที่น่าเวทนาที่สุดคืออะไรรู้ไหม บุ๊ง” ครูสมจินต์หันมาทางครูบุ๊งด้วยแววตาหดหู่
“ทำไมเหรอพี่”
“เด็กนักเรียนหญิงที่จับหัวเพื่อนอีกคนโขกกับขอบโต๊ะน่ะเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเรา” ครูบุ๊งไม่พูดอะไรเพราะสีหน้าของครูสมจินต์นั้นดูท้อแท้เหลือเกิน
เย็นวันนั้นขณะที่ครูโรจน์กำลังขับรถออกไปจากโรงเรียนก็เห็นเถ้าแก่เส็งซึ่งเปิดร้านขายขนมเด็กแถวๆโรงเรียนเดินลากตัวนักเรียนชายคนหนึ่งมาอย่างโกรธแค้น
“อาคุงคูอยู่พอลีเลย ปูเหลียวอ่า อ้ายเหล็กนี่มังเข้าไปคาโมยของในร้างอั๊วอ่า” เถ้าแก่เส็งกระชากตัวนักเรียนคนนั้นให้ครูโรจน์พาไปสะสางในห้องปกครอง
เด็กชายเดชวิทย์สารภาพว่า ขโมยของในร้านเถ้าแก่เส็งและอีกหลายร้านไปขายต่อเพื่อเอาเงินไปเล่นเกม แถมบางครั้งเค้าก็ขโมยของในโรงเรียนไปขายด้วย
“นี่จะไม่มีนักเรียนดีๆบ้างเลยหรือไงนะ พวกเราสอนนักเรียนให้เป็นโจรกันทั้งนั้นเลยเหรอ” ครูดาวโมโหมากเมื่อทราบว่านักเรียนห้องประจำชั้นของตัวเองไปขโมยของในร้านของเถ้าแก่เส็ง
“มันอยู่ที่สันดานน้อง ไม่เคยได้ยินเหรอว่าสันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก แต่นักเรียนที่ดีๆก็มีเหมือนกันนะ ดูอย่างนายวรากรสิตอนอยู่ที่นี่เกเรสุดๆเลย ตอนนี้ไปเป็นประธานนักเรียนแถมพ่วงตำแหน่งเยาวชนดีเด่นระดับภาคอีกต่างหาก” ครูกรรณิการ์ปลอบให้ครูห้องประชาสัมพันธ์คลายโทสะลง
“พี่คิดดูสิ ขนาดอยู่ ป.๑ ยังขนาดนี้ ต่อไปข้างหน้าหนูไม่อยากจะคิดเลย” ครูดาวพูดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
ครูกรรณิการ์เห็นใจในความอุทิศกายและใจในการสอนของครูรุ่นน้องคนนี้มากจึงชักแม่น้ำทั้งห้ามาเป็นกำลังใจให้เธอ
“น้องดาวน่ะเอาใจใส่เด็กนักเรียนดีแล้วล่ะจ้ะ แต่เราก็ต้องดูพื้นฐานของนักเรียนด้วยนะ ยกตัวอย่างง่ายๆว่าสับปะรดจากไร่เดียวกัน ดูแลเอาใจใส่เหมือนกันก็ใช่ว่าจะได้ขนาดมาตรฐานที่จะทำเป็นผลไม้กระป๋องเหมือนกันซักหน่อย มันก็มีลูกที่ไม่ได้มาตรฐานก็ต้องเอาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นหรือถ้ามันเน่าก็เอาไปทำปุ๋ยได้อย่างเดียวเท่านั้น
นิ้วสิบนิ้วมันยังไม่เท่ากันเลย นับประสาอะไรกับนักเรียนที่มาจากร้อยพ่อพันธุ์แม่ ครูก็เหมือนกับผู้ชี้แนะทางความคิดเท่านั้น แต่คนที่จะเลือกทางเดินชีวิตก็คือตัวของเด็กเองนะ ถ้าเด็กมันดีจริง ทำไมเวลาครูไม่อยู่เค้าถึงได้เล่นกันหลุดโลกเลยล่ะ ก็เพราะว่าเค้าทำตัวดีเพราะความกลัวครู ไม่ได้มาจากใจที่แท้จริงไง”
ครูกรรณิการ์ส่งยิ้มอย่างเมตตาให้กับครูสาวที่นั่งสีหน้าหดหู่อยู่ที่โต๊ะครู ครูดาวจึงค่อยมีสีหน้าสดชื่นขึ้น ทันใดนั้นเสียงดังลั่นก็ทำให้การสนทนาหยุดชะงักไป ครูต้อมเดินออกมาจากห้องพักครูแล้วตวาดนักเรียนชายที่กำลังเอาหนอนหยอกล้อเพื่อนนักเรียนหญิงจนกรี๊ดเสียงดังลั่น
“เล่นบ้าๆอะไรกันอีกน่ะ ไอ้เด็กพวกนี้ ไหนครูประจำชั้นชื่ออะไร ไม่อบรมสั่งสอนเด็กในห้องบ้างเหรอ” ครูต้อมเดินเข้าไปใกล้เด็กกลุ่มนั้นซึ่งก็วิ่งหนีแตกกระเจิงไปตั้งแต่ได้ยินเสียงครูต้อมแล้ว
ครูกรรณิการ์และครูดาวเห็นเหตุการณ์แล้ว ครูกรรณิการ์ก็หันมาพูดกับครูดาวต่อ
“บางครั้งการที่นักเรียนไปก่อเรื่องภายนอกมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับครูประจำชั้นหรอก พี่เพิ่งบอกเมื่อกี้ไงว่า บัวยังมีสี่เหล่าเลย เราไม่สามารถจะทำให้บัวใต้ตมมันโผล่ขึ้นมาเองได้หรอก ขนาดพระพุทธเจ้ายังไม่สามารถทำให้พระเทวทัตสำนึกตัวได้เลย จนกระทั่งพระเทวทัตยอมยกมือไหว้เองนั่นแหละ.....”
ขณะที่ครูกรรณิการ์จะพูดต่อพลันก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาโดยที่ไม่ทันตั้งตัว
“ดาว นี่เธอเป็นครูประจำชั้นประสาอะไรน่ะ เด็กไปทำห้องวิทยาศาสตร์ของครูก้อยแตกเสียหายหมดเลย” ร่างอ้วนเตี้ยของ ผ.อ.จิ๋มยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่หน้าห้องประชาสัมพันธ์ด้วยสีหน้าปานจะกินเลือดกินเนื้อ
ครูกรรณิการ์เหลือบไปเห็นครูดาวนั่งหน้าซีด ตัวสั่นงกๆจึงชิงตอบว่า “ผ.อ.คะ แล้วนี่มันคาบของครูก้อยนี่คะ ก็อยู่ในความรับผิดชอบของครูก้อยสิ จะมาเอาผิดกับน้องดาวได้ไง ครูประจำชั้นไม่ได้ตามตูดเด็กทั้งสี่สิบคนตลอดทั้งวันทั้งคืนนะคะ”
ผ.อ.จิ๋มส่งสายตาอาฆาตมาทางครูกรรณิการ์แทน แต่หาได้สะทกสะท้านอะไรไม่ เพราะประสบการณ์สามสิบห้าปีของความเป็นครูหลอมให้ครูกรรณิการ์กลายเป็นเหล็กกล้าแล้ว
“ไม่เกี่ยวกับเธอ กรรณิการ์ ดาวตามฉันไปที่ห้องหน่อยสิ” ผ.อ.จิ๋มหันหน้าไปทางอื่นขณะที่ออกคำสั่ง
ครูดาวเดินตัวลีบเหมือนนักโทษจะเข้าลานประหารตามหลังผ.อ.จิ๋มไปโดยมีครูต้อมแอบชะเง้อชะแง้มาจากห้องที่ตัวเองสอนอยู่
“เมื่อไหร่ไอ้พวกหนักแผ่นดินนี้มันจะหมดไปจากโรงเรียนเราซักทีนะ สงสัยจะเข้ายุคกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอยแล้วมั้ง” ครูกรรณิการ์มองไปทางครูต้อมก่อนจะถอนใจด้วยความสมเพช
( ชื่อตัวละครและเรื่องราวนี้เป็นแต่เรื่องสมมติขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงถึงผู้ใด หากได้ล่วงเกินแก่ใครก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ )
( โปรดติดตามตอนต่อไป )
ขอบคุณมากค่ะ สำหรับบทความที่นำมาแบ่งปันให้กัน
ตอบลบ