ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติม...ที่นี่

Custom Search

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สงครามกระดานดำ ตอน ผู้ปกครองเจ้าปัญหา



ครูกุ๊กมาถึงโรงเรียนตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เนื่องจากวันนี้เธอเป็นเวรสวัสดิการดูแลนักเรียนทำความสะอาดบริเวณลานโพคู่ แต่เมื่อเธอเดินมาถึงที่บอร์ดประชาสัมพันธ์ซึ่งวางสมุดลงเวลาปฏิบัติงาน เธอก็เห็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกับเด็กนักเรียนหญิงชั้น ป.๔ ของโรงเรียนแห่งนี้นั่งสีหน้าบึ้งตึงอยู่หน้าห้องทำงานของผู้อำนวยการ

“สวัสดีค่ะ มาติดต่ออะไรเหรอคะ คุณพี่” ครูกุ๊กยกมือไหว้แต่หญิงวัยกลางคนเบือนหน้าหนี ครูกุ๊กจึงถามย้ำอีกครั้ง

“คุณพี่มาติดต่อเรื่องอะไรหรือคะ เดี๋ยวหนูจะได้อำนวยความสะดวกให้ค่ะ” ครูกุ๊กพยายามยิ้มด้วยท่าทางเป็นมิตรแต่กลับได้คำตวาดจากผู้หญิงคนนั้น

“อย่ามายุ่งได้ไหม ฉันรอพบ ผ.อ.คนเดียว คนอื่นช่วยอะไรฉันไม่ได้หรอก แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วครูเพิ่งโผล่หัวมาไม่ถึงสิบคน แล้ว ผ.อ.ล่ะจะเข้ามาตอนไหน ฉันต้องทำมาหากินเหมือนกันนะ” ผู้ปกครองนักเรียนหญิงคนนั้นยกนาฬิกาข้อมือดูก่อนที่จะนั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่หน้าห้องประชาสัมพันธ์ต่ออย่างเงียบๆ

ครูกุ๊กเดินเข้าไปในห้องประชาสัมพันธ์เพื่อสอบถามจากครูดาวต่อ

“นี่น้องดาว ยายป้าหน้าห้องน่ะ ใครอ่ะ หน้าตาน่ากลัวแถมยังตวาดใส่พี่อีก” ครูกุ๊กวางกระเป๋าสะพายใบเล็กบนโต๊ะทำงานของครูดาว

“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันพี่ แต่ว่าเด็กนักเรียนหญิงคนนั้นน่ะมันแม่อัญชลี นักเรียนห้องที่ครูแอ้ประจำชั้นไม่ใช่เหรอ ผู้หญิงนั่นก็คงเป็นแม่หรือผู้ปกครองมั้ง หนูก็โดนตวาดมาแล้ว พี่กุ๊กลองโทร.รายงาน ผ.อ.ก่อนเถอะค่ะ” ครูดาวเสนอความคิดเห็น ครูกุ๊กจึงได้หยิบโทรศัพท์ติดต่อ ผ.อ.จิ๋มทันที

ไม่ถึงสิบนาทีรถยนต์รุ่นล่าสุดของ ผ.อ.ก็ขับเข้ามายังโรงจอดรถของโรงเรียน ผ.อ.จิ๋มเดินตัวปลิวขึ้นมาที่ห้องทำงานของตัวเอง โดยมีหญิงวัยกลางคนคนนั้นกับนักเรียนหญิงชั้น ป.๔ ที่ชื่อ อัญชลี เดินตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง ครูต้อมยืนชะเง้อชะแง้หน้าห้อง ผ.อ. แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีสัญญาณให้เธอนำชุดอาหารเช้าเข้าไปเสิร์ฟในห้อง
ประตูกระจกห้องทำงานของ ผ.อ.จิ๋มเปิดออก หญิงวัยกลางคนนั้นจูงมือเด็กนักเรียนหญิงเดินลงไปจากอาคารเรียนหนึ่งออกไปทางหน้าประตูโรงเรียน ผ่านไปสักครู่ ผ.อ.จิ๋มก็ชะโงกหน้าออกมาจากห้องแล้วตวาดเสียงดังลั่น

“ต้อม ต้อม เข้ามาในห้องเดี๋ยวนี้” ครูต้อมที่นั่งรออยู่แถวนั้นยกถาดอาหารเช้ารี่เข้าไปในห้องแทบไม่ทัน

ครูต้อมหายเข้าไปอีกนานสองนานก่อนจะเดินออกมาที่ห้องประชาสัมพันธ์ แล้วเสียงหวานของประชาสัมพันธ์สาวก็ดังขึ้น

“ขออภัยคุณครูที่กำลังสอนทุกท่านนะคะ ขอเชิญผู้ช่วยฯเกษม อาจารย์ไอลดา อาจารย์มัทนา พบผู้อำนวยการที่ห้องประชุมเล็ก เดี๋ยวนี้เลยนะคะ” แล้วก็ตามมาด้วยเสียงประกาศซ้ำอีกครั้ง ครูแอ้หรืออาจารย์ไอลดาชะงักมือขณะกำลังเขียนศัพท์ภาษาอังกฤษบนกระดานดำ

“นักเรียนลอกบนกระดานเสร็จแล้วก็ทำแบบฝึกหัดหน้า ๑๒๓ ต่อเลยนะ เดี๋ยวครูกลับมา” ครูแอ้เดินลงมาจากอาคารเรียนสองอย่างหงุดหงิด พอดีมาพบอาจารย์มัทนาหรือ “ครูพี่นา” หัวหน้าสายชั้น ป.๔ พอดี

“นี่น้องแอ้รู้หรือยังว่า แม่นังอัญชลีน่ะมาฟ้องอะไร ผ.อ.อีกไม่รู้” ครูพี่นากล่าวด้วยความรำคาญ

“เอ...ไม่รู้สิคะ หนูก็เพิ่งสังเกตว่า อัญชลีน่ะขาดโรงเรียนมาสองสามวันแล้ว วันนี้หนูว่าจะไปเยี่ยมที่บ้านตอนพักเที่ยงพอดี” ครูพี่นาส่ายหัวก่อนจะพูดว่า “ช้าไปแล้วล่ะ แอ้”

ที่ห้องประชุมเล็กซึ่งอยู่บริเวณหน้าห้องของผ.อ.จิ๋ม มีชุดโซฟาชุดเล็กไว้สำหรับรับรองแขกอยู่ ผ.อ.จิ๋มนั่งบนโซฟาหลุยส์ด้วยท่าทีปานประหนึ่งภูเขาไฟขนาดย่อมๆที่กำลังจะปะทุ

ครูพี่นาและครูแอ้เดินเข้ามานั่งอย่างพินอบพิเทา ผ.อ.จิ๋มมองลอดแว่นตากรอบโตอย่างหงุดหงิด ก่อนที่จะหันไปมองนาฬิกาฝาผนังเรือนโต

“ทำไมเพิ่งจะมาเอาป่านนี้ คราวหน้าเวลาฉันเรียกก็ต้องมาทันที เข้าใจไหม แล้วผู้ช่วยฯเกษมทำไมยังไม่มาอีกล่ะ ไปถามกุ๊กซิ ครูนา” ผ.อ.จิ๋มโบกมือไล่ครูนาให้ออกไปข้างนอก สักครู่หนึ่งครูพี่นาก็เข้ามา

“น้องกุ๊กบอกว่า ผู้ช่วยฯเกษมเข้ามาเซ็นชื่อตอนแปดโมงครึ่งแล้วก็ออกไปไหนไม่ทราบค่ะ โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้”ครูมัทนาตอบเสียงอ่อย

ผู้อำนวยการสูงวัยส่ายหัวอย่างรำคาญแต่ไม่พูดอะไร ผู้ช่วยฯเกษมนั้นเป็นผู้ช่วยอำนวยการโรงเรียนฝ่ายปกครองและฝ่ายบริการ แต่เป็นที่รู้กันว่ามีแต่ชื่อเท่านั้นที่อยู่โรงเรียน ส่วนตัวของท่านน่ะเหรอ เช้ามาเซ็นชื่อแล้วก็หายไปไหนไม่มีใครรู้ได้ แม้แต่ครูต้อมที่ว่ารู้มากแล้วยังยอมแพ้ แต่ผู้อำนวยการก็ไม่กล้าตำหนิอะไรมากนัก เพราะว่าผู้ช่วยฯเกษมนั้นรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวงหลายท่าน และตำแหน่งผู้ช่วยฯก็ได้มาด้วยการวิ่งเต้น ทั้งยังมีส่วนร่วมในผลประโยชน์แอบแฝงกับผู้อำนวยการอีกด้วย

“ช่างแกแล้วกัน มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ครูนาเธอคงรู้แล้วสินะว่ามีผู้ปกครองห้องของครูแอ้มาต่อว่าฉันสารพัดเลย อยากรู้ไหมว่าเรื่องอะไร

แม่ของอัญชลีมาฟ้องว่าครูโรงเรียนนี้ให้เกรดลูกสาวแกต่ำมากทั้งๆที่ลูกแกเรียนดี การบ้านก็ให้ยากเกินความสามารถของนักเรียน แถมเวลาที่ลูกแกถูกเพื่อนในห้องทำร้ายก็ไม่มีครูคนไหนสนใจเลย แกอยากจะขอดูหลักฐานว่าเกรดแต่ละวิชามีที่มาอย่างไร.......”

ครูแอ้เดือดเนื้อร้อนใจและต้องการจะพูดความจริงให้ฟังจึงโพล่งขึ้นกลางคัน “ผ.อ.คะ แต่ว่าเด็กหญิงอัญชลีก็จัดว่าเป็นนักเรียนที่เรียนในระดับปานกลางนะคะ ไม่ได้เก่งกาจอะไรอย่างที่แม่เค้าว่าเลยค่ะ แถมแกค่อนข้างจะเป็นคนเริ่มต้นในการทะเลาะกับเพื่อนนะคะ และหนูก็ตัดสินทุกครั้ง ที่แม่แกพูดมาไม่เป็นความจริงค่ะ”

“ไม่ได้ๆ ทำแบบนี้ฉันเสียชื่อเข้าใจไหม ฉันเคยพูดหลายครั้งแล้วแต่ครูเราไม่เคยมีใครเชื่อคำพูดฉันเลย ฉันบอกแล้วเวลาสอนจะต้องทำทุกอย่างให้มีหลักฐาน มีไหมหลักฐานการเก็บคะแนนว่ามาจากอะไร ได้มาตรฐานหรือเปล่า มีการซ่อมเสริมไหม ไปเตรียมหลักฐานมาให้พร้อมทุกสายชั้น เดี๋ยวเที่ยงนี้ผ.อ.จะเรียกประชุมหัวหน้าสายชั้นทุกสายชั้น”

ผ.อ.จิ๋มยังคงพร่ำพรรณนาถึงหลักการนานัปการอีก จนครูทั้งสองหูชาไปหมด ในใจนึกค้านกับคำพูดของท่านผู้อำนวยการตลอด เข็มนาฬิกาเดินมาพบเลขหกอีกครั้งหนึ่ง ผ.อ.จิ๋มจึงอนุญาตให้ทั้งสองคนออกไปได้และเรียกครูต้อมเข้ามา

“บ้าทั้งนั้น แก้ปัญหาไม่เคยตรงจุดเลย กลัวแต่ตัวเองจะเสียหน้า บ้าทั้งนั้น” ครูพี่นาเดินปึงปังเข้ามาในห้องพักครูชั้น ป.๔ โดยมีครูแอ้เดินตามเข้ามา

“นี่กลายเป็นว่าพวกเราผิดอีกล่ะสิ ตามใจแล้วแต่ผู้ปกครองมันจะว่าอะไร แต่เคยคิดถึงหัวอกเราครูผู้สอนบ้างหรือเปล่า” ครูพี่นาเปิดสมุดบันทึกคะแนนเพื่อเตรียมตัวส่งต่อให้ฝ่ายวิชาการนำส่ง ผ.อ.ต่อไป

“ขออภัยคุณครูที่กำลังสอนทุกท่านนะคะ ขอให้หัวหน้าสายชั้นทุกสายชั้นเก็บรวบรวมแผนการสอน สมุดบันทึกคะแนนและข้อสอบวัดผลปลายภาคเรียนทั้งสองภาคเรียนให้ที่ห้องวิชาการ ภายในเวลา ๑๖.๐๐ น.ของวันนี้ค่ะ” ครูทั้งโรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”งงกับเสียงประกาศจากห้องประชาสัมพันธ์แล้วก็ตามมาด้วยเสียงบ่นกันทั่วหน้า ครูที่กำลังสอนอยู่ต้องละทิ้งห้องเรียนเพื่อมารื้อค้นแผนการสอนและสมุดบันทึกคะแนน

“ตายๆแล้ว แผนการสอนยังไม่ได้พรินท์เลย ยังอยู่ในเครื่องทั้งนั้น สงสัยต้องกลับไปที่บ้านก่อนแล้ว” ครูพชรละล่ำละลักก่อนจะรีบกลับไปที่บ้าน

“ของพี่มีครบทุกอย่างเลย จะเอาเลยหรือเปล่าล่ะ” ครูสมรนำสิ่งที่ผู้อำนวยการต้องการมาตั้งที่โต๊ะครูปุ๊ หัวหน้าสายชั้น ป.๖ ด้วยท่าทีอวดตัว

“เดี๋ยวก่อนสมร เอามาให้ฉันไปถ่ายเอกสารหน้าโรงเรียนก่อน เดี๋ยวต้องรีบกลับมาทำคะแนนต่ออีก” ป้าจินดาหยิบแผนการสอนของป้าสมรไปหน้าตาเฉยด้วยความลุกลี้ลุกลนก่อนจะหายไปหน้าโรงเรียนพักใหญ่

วันนั้นทั้งวันครูทั้งโรงเรียนไม่เป็นอันสอนเพราะต้องรอฟังประกาศจากโรงเรียนตลอดเวลาว่า ผ.อ.ต้องการจะเรียกตรวจอะไร บางเรื่องก็หยุมหยิมไร้สาระมาก เพราะขอดูแม้กระทั่งใบงานประกอบทุกแผนการสอนหรือเกณฑ์การประเมินโดยละเอียดว่า ๑ คะแนนมาจากอะไร ๒ คะแนนเอาอะไรมาวัดและประเมินผล ขอแม้กระทั่งหลักฐานการเยี่ยมบ้านนักเรียน

“บ้ากันไปใหญ่แล้ว บ้านนักเรียนจะให้ไปเยี่ยมครบได้ไง บางบ้านอยู่ต่างอำเภอไปโน่น ใช่ว่าโรงเรียนจะออกค่าน้ำมันรถให้นี่” ครูบุ๊งบ่นไปพลาง มือก็หยิบรูปภาพประกอบแผนการสอนศิลปะไปพลาง

“เวลาลงทุนล่ะไม่เคยคิดจะให้งบจากโรงเรียนซักกะบาท พอจะเอาผลงานของเราล่ะก็จะเอาไอ้ที่สวยๆเนี้ยบๆ เวรกรรมจริงๆ” ครูริสาบ่นขณะคิดคะแนนเก็บเพื่อกรอกลงในแบบฟอร์มบันทึกคะแนน

แล้วเรื่องราวของแม่ของเด็กหญิงอัญชลีก็ไม่มีวี่แววว่าจะสงบลง เพราะเธอทำหนังสือร้องเรียนเรื่องความไม่ได้มาตรฐานของโรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”ให้กับเขตพื้นที่การศึกษารับทราบ ผ.อ.จิ๋มถูกเรียกตัวเข้าไปหา ผ.อ.เขตพื้นที่เป็นการส่วนตัว จนต้องเรียกประชุมครูทั้งโรงเรียน

“ทุกคนรู้ไหมว่าดิฉันต้องไปชี้แจงกับผู้ใหญ่บนเขตพื้นที่ตั้งนานสองนานกว่าเรื่องจะเรียบร้อย ก็ขอมอบหมายงานให้ผู้ช่วยฯฝ่ายวิชาการและครูกรรณิการ์ตรวจสอบแผนการสอนให้เป็นปัจจุบันเสมอ และนำส่งผ.อ.ทุกวันศุกร์ เข้าใจไหม” ผ.อ.จิ๋มเลื่อนแว่นตาให้สูงขึ้นมองไปที่ครูทั้งโรงเรียน

“และต้องเยี่ยมบ้านนักเรียนให้ครบทุกคน โดยเฉพาะนักเรียนกลุ่มเสี่ยง ป.๔ฝากครูมัทนาในฐานะหัวหน้าสายชั้นให้ดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิด อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก” ครูพี่นาแสยะยิ้มอย่างผะอืดผะอม

การประชุมผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่คำที่ทำให้ครูทุกคนเจ็บปวดมากที่สุดคือ “นักเรียนคือพระเจ้า ถ้าไม่มีนักเรียนเราก็ไม่รู้จะสอนใคร จำไว้ว่าต้องบริการนักเรียน ให้ความรู้นักเรียนตามที่เค้าต้องการจะเรียนรู้ สอนอย่างไรให้ประทับใจนักเรียนและผู้ปกครอง”

“ตกลงนี่กูเป็นบ๋อยหรือเป็นครูกันแน่วะ ไอ้บุ๊ง” ครูเซฟหันไปถามครูบุ๊งที่นั่งข้างๆ ส่วนครูริสาก็หันไปซุบซิบกับครูกรรณิการ์อีกเช่นเคย

“นี่การศึกษาไทยมันเกิดอาเพศอะไรขึ้นแล้วนะนี่ ฉันสอนมาหลายปีแล้วก็เพิ่งเห็นแนวคิดของ ผ.อ.บ้าๆก็วันนี้แหละ” ครูมัทนาหัวเสียกับการประชุมครั้งนี้มาก พอๆกับครูแอ้ซึ่งเป็นครูประจำชั้นของเด็กหญิงอัญชลี

แม่ของเด็กหญิงอัญชลียังคงตามราวีก่อกวนโรงเรียนอย่างไม่ลดละ เธอนำเรื่องราวไปออกรายการ “ร่วมด้วยช่วยกัน” ยื่นหนังสือไปยังองค์กรต่างๆให้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจนผ.อ.จิ๋มหัวเสียแทบทุกวันที่ต้องเดินทางไปชี้แจงเหตุการณ์ดังกล่าว ท้ายที่สุดผ.อ.จิ๋มจึงเชิญแม่ของเด็กหญิงอัญชลีมาพบและชี้แจงให้ลูกสาวของเธอย้ายไปอีกโรงเรียนหนึ่งตามมติของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและมอบเงินค่าทำขวัญให้จำนวนมากพอควร เรื่องราวจึงยุติลง

“ใครว่าเด็กโกหกไม่เป็น ลองมาดูเด็กสมัยนี้สิ ลูกเล่นแพรวพราวจะตาย คนข้างนอกไม่รู้หรอกแม้แต่พ่อแม่ของเด็กเอง อย่างแม่อัญชลีนั่นน่ะหัวโจกในห้องเลยล่ะ” ครูพี่นาเอาช้อนฉีกเนื้อปลาทอดราวกับจะฉีกให้แหลกละเอียด

“แล้วเค้าจะทำอย่างนั้นทำไมล่ะคะ พี่นา” ครูสุชาวดีถาม ส่วนครูแต้วที่นั่งอยู่ข้างๆก็มีท่าทีสนใจเช่นกัน

“ก็แม่นั่นน่ะสติมันไม่ค่อยดี ผัวมันทิ้งให้เลี้ยงลูกสาวคนเดียว นี่ได้ข่าวว่าเป็นหนี้สินสารพัด มันรู้ว่าผ.อ.เราน่ะเป็นพวกที่ห่วงแต่หน้าตา ชื่อเสียงตัวเอง มันเลยเอาข้อนี้เป็นเหตุผลในการเรียกร้องค่าทำขวัญ เห็นว่าเรียกตั้งสองหมื่นแหนะ ทั้งๆที่ในห้องเรียนนะยายอัญชลีน่ะเป็นฝ่ายแกล้งเพื่อนก่อน พอเพื่อนตอบโต้กลับก็โวยวายเสียใหญ่โต ตอแหลเก่งกันทั้งแม่ทั้งลูกเลย ให้ตายสิ สงสารแต่น้องแอ้ที่กลายเป็นครูที่สร้างปัญหาในสายตาของ ผ.อ.” ครูพี่นาทำไม้ทำมือประกอบการเล่าโดยมีเพื่อนครูร่วมโต๊ะนั่งฟังอย่างสนอกสนใจ

“ว่าไง น้องนา ได้ข่าวว่านักเรียนสายชั้นน้องมีปัญหาเหรอ ทำไมไม่บอกพี่ล่ะ ที่จริงมาปรึกษาพี่ก่อน เรื่องก็คงไม่วุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้หรอก” ผู้ช่วยฯเกษมเดินอาดๆอวดพุงโตเข้ามาที่โต๊ะครูกินข้าวเที่ยง ทุกคนหยุดคุย รู้สึกว่ารสชาติอาหารจะกร่อยเสียแล้ว ครูสุชาวดีรีบเอาจานข้าวไปเก็บทันที ส่วนคนอื่นๆก็ทยอยออกไปจากโต๊ะ

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่เกษม ขอบคุณนะคะในความหวังดี แต่ว่าเวลาหนูเดือดร้อนหนูก็ไม่รู้ว่าพี่น่ะหายหัวไปไหนนี่คะ หรือว่าต้องจุดธูปเรียกล่ะคะ หนูจะได้ทำให้มันถูกต้อง” ครูพี่นาตอบก่อนที่จะเดินเอาจานไปเก็บที่ล้างจานปล่อยให้ผู้ช่วยฯเกษมยืนแข็งทื่อกับคำพูดอยู่ตรงนั้น

( ชื่อตัวละครและเรื่องราวนี้เป็นแต่เรื่องสมมติขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงถึงผู้ใด หากได้ล่วงเกินแก่ใครก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ )

( โปรดติดตามตอนต่อไป )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น