ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติม...ที่นี่

Custom Search

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

สงครามกระดานดำ ตอน บทส่งท้าย


ปัจจุบันนี้โรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”ก็ยังคงดำเนินการสอนต่อไปเรื่อยๆเหมือนเมื่อเกือบค่อนศตวรรษก่อน ความเปลี่ยนแปลงหลายระลอกที่เป็นกระแสพัดเข้าสู่รั้วโรงเรียนไม่สามารถที่จะทำให้สถาบันการศึกษาแห่งนี้ล่มสลายได้อย่างที่ครูหลายต่อหลายรุ่นกังวล ผู้บริหารตั้งแต่สมัยครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการในอดีตจนถึงปัจจุบันที่เข้ามากำหนดนโยบายการศึกษานับสิบท่านกลายเป็นเพียงประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งบนบอร์ดคณะผู้บริหารโรงเรียนเช่นเดียวกับภาพถ่ายของหญิงสูงวัยในชุดข้าราชการเต็มยศสวมสายสะพายและเครื่องราชฯเต็มอกซึ่งครูพชรกำลังยืนมองอยู่

“แป๊บเดียวผ่านไปสามสิบปีแล้วสินะ”ครูพชรในวัยห้าสิบห้าปียืนพึมพำกับตัวเองเบาๆ นึกย้อนไปถึงวันที่สอบบรรจุได้และเข้ามารายงานตัววันแรกที่โรงเรียนแห่งนี้

“ครูพชรใช่ไหมคะ สวัสดีค่ะ จำหนูได้ไหมคะ” หญิงสาววัยกลางคนพนมมือไหว้ชายชรา ครูพชรค่อยๆมองผ่านแว่นตาหนาเตอะ

“ขอโทษนะหนู ครูจำไม่ได้จริงๆ” ชายชราพยายามนึกแต่นึกไม่ออก

“หนูก็เด็กหญิงกัลยาณีที่เคยอยู่ห้องครูเซฟไงคะ” เปิ้ลตอบแฝงความอายไว้ในน้ำเสียง

“อ๋อ ครูจำได้แล้ว สบายดีนะ แล้วลูกของหนูล่ะ”

“ถ้าครูหมายถึงเด็กในท้องตอนที่เกิดเรื่องคราวนั้น เขาตายตั้งแต่แรกคลอดแล้วค่ะ หมอบอกว่าเด็กไม่ค่อยแข็งแรงค่ะ” เปิ้ลมีเสียงเครือเหมือนจะร้องไห้แต่ก็ฝืนยิ้มขึ้นมาได้

“แต่หนูแต่งงานใหม่แล้วค่ะ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ตอนนี้หนูเปิดร้านขายเสื้อผ้าอยู่แถวประตูน้ำค่ะ หนูกลับมาทำบุญกระดูกพ่อหนูค่ะเลยแวะเข้ามาที่โรงเรียนนี้หน่อย”

“เรื่องในอดีตผ่านไปแล้วมันแก้ไขไม่ได้ อนาคตสิที่เราสามารถจะวางแผนได้” ครูพชรแหงนหน้าขึ้นมองต้นโพที่ยังคงให้ร่มเงามาอย่างยืนยาว เปิ้ลยกมือไหว้อำลาก่อนจะเดินจากไปทิ้งชายชราเดินทอดน่องอยู่เพียงลำพัง

“อ้าวพี่แต้ว ยังไม่กลับอีกเหรอ ขยันตั้งแต่สาวยันแก่เลยนะ ยังได้ปีล่ะหนึ่งขั้นเหมือนเดิมอีกเหรอเปล่าล่ะ” ครูพชรเดินเข้าไปหาครูแต้วในวัยหกสิบปีที่ยังง่วนตรวจงานในห้องประจำชั้น ที่มุมห้องมีนักเรียนที่อ่านหนังสือไม่คล่องฝึกอ่านอยู่สองสามคน

“อย่าไปพูดถึงมันเลย แต่ก็ดีกว่าสมัยผ.อ.จิ๋มก็แล้วกัน พี่คิดว่าทำเพื่อเด็กน่ะ ใครจะไปสบายเหมือนเธอล่ะ ชิงเออร์ลี่ออกไปก่อนพี่ นี่เพิ่งกลับมาล่ะสิ เดี๋ยวนี้เป็นนายห้างใหญ่แล้วนี่”

ครูพชรลากเก้าอี้นักเรียนเข้ามานั่งข้างโต๊ะครูแต้ว “ก็เพิ่งบินกลับมาจากกรุงเทพฯน่ะ ไปดูกิจการที่โน่นหน่อยกำลังจะขยายสาขาใหม่อยู่ ส่วนซุปเปอร์มาเก็ตที่นี่ก็ให้น้องชายคนเล็กดูแลไปพลางๆ วางมือไม่ได้หรอกเงินทั้งนั้น”

“ย่ะ” ครูแต้วตอบอย่างหมั่นไส้

“แล้วคนอื่นๆเค้ากลับกันหมดแล้วเหรอ” ครูพชรมองนาฬิกาบอกเวลาเกือบห้าโมงแล้ว

“ก็เหมือนเดิม พี่กลับหกโมงเย็นทุกวัน เธอก็รู้ อ้าว! คุยกันอีกแล้ว เดี๋ยวผู้ปกครองมารับฉันจะฟ้องว่าเธอไม่ยอมฝึกอ่าน คอยดูนะนายบัณฑิต” ครูแต้วเอาไม้เรียวเคาะโต๊ะดังปัง

“ดูหน้าแล้วจำได้เหรอเปล่าล่ะ นายนี่ลูกของอิทธิพลที่เคยอยู่ห้องพี่ไง” ครูแต้วหันมากระซิบกับครูพชรซึ่งพยักหน้ารับทราบ

“ผมลาแล้วกันนะครับ เดี๋ยวหกโมงต้องไปประชุมที่หอการค้าจังหวัดอีก” ครูพชรยกมือไหว้ครูรุ่นพี่

“ตามสบายจ้ะ ไม่แวะไปดูห้องสมุดที่เธอบริจาคเงินสร้างเมื่อปีที่แล้วหน่อยเหรอ” ครูแต้วชี้ไปทางด้านข้างอาคารเรียนสามที่มีส่วนที่สร้างเป็นมุขยื่นออกมาด้านหนึ่ง

หากต้นโพคู่สามารถเล่าเรื่องราวให้ครูพชรฟังได้ก็คงจะบอกว่า หลังจากที่ ผ.อ.จิ๋มเกษียณก็ได้รับการทาบทามให้ไปเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการศึกษา ณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและทำงานด้านการศึกษาตราบจนวันสิ้นลมหายใจของท่าน แม้หัวโขนอันเก่าจะถูกถอดออก แต่แกก็ยังอุตส่าห์ไปหาหัวโขนอันใหม่มาสวมหัวไว้อีก ช่างมัวเมาในอำนาจจนวันตายจริงๆ ผู้ช่วยฯเกษมขึ้นเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน “เฌอคู่วิทยา”ต่ออีกสองสามปีก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต ทิ้งหนี้สินพะรุงพะรังไว้ให้ครอบครัวเบื้องหลัง ส่วนผู้ช่วยฯเครือวัลย์ก็กลายเป็นโรคอัลไซเมอร์ ตอนนี้มีลูกๆหลานๆผลัดกันดูแลอยู่ ส่วนผู้อำนวยการโรงเรียนก็ไม่ใช่ใครอื่นไกลก็คือครูเซฟนั่นเอง

ป้าสมรสาวแก่ประจำโรงเรียนก็ย้ายไปอยู่กับน้องสาวที่กาญจนบุรี ตอนนี้ก็คงอายุร่วมแปดสิบกว่าๆแล้ว ส่วนป้าจินดาก็ไปอยู่เชียงใหม่กับลูกสาวที่เปิดร้านขายผ้าไหมและอัญมณีอยู่ ครูมัทนาเสียชีวิตด้วยโรคความดันโลหิตสูงเมื่อสองสามปีที่แล้ว ครูต้อมโชคดีหน่อยได้ลูกเขยรวยเลยช่วยปลดหนี้ให้แล้วพากันย้ายไปอยู่สิงห์บุรีกันทั้งครอบครัว ส่วนครูกรรณิการ์ก็อยู่บ้านดูแลสวนผลไม้กับสามีอย่างสงบตามอัตภาพ

ครูอ้อยลาออกจากโรงเรียนไปเกือบสิบปีแล้ว มีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์ว่าฆ่าตัวตายหนีหนี้นั่นเอง ครูดาวยังคงเป็นประชาสัมพันธ์ประจำโรงเรียนเช่นเดิมแต่ควบตำแหน่งเลขาส่วนตัวผู้อำนวยการโรงเรียนแทนครูกุ๊กที่ย้ายตามสามีที่รับราชการตำรวจไปอยู่แถวภาคอีสาน ครูแอ้ก็ย้ายกลับบ้านไปอยู่ร่วมกับสามีและลูกๆที่บ้านเกิด ครูริสา ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยฯฝ่ายวิชาการและธุรการ ครูบุ๊งเป็นผู้ช่วยฯฝ่ายปกครองและบริการโดยมีลักษมีเป็นกำลังใจให้พร้อมกับลูกชายทั้งสามคน ส่วนครูสุชาวดีรับหน้าที่ฝ่ายการเงินโรงเรียนและผู้จัดการสหกรณ์แทนครูพรรณีที่เกษียณไปหลายปีแล้ว

ครูสมจินต์ ครูวิชาญ ครูปุ๊ ครูกิ่งแก้วและคนอื่นๆก็เกษียณบ้าง ย้ายโรงเรียนบ้าง เสียชีวิตบ้าง ที่ยังสอนอยู่ที่ “เฌอคู่วิทยา”ก็มีบางตาลงเรื่อยๆ เรื่องน้ำเก่า-น้ำใหม่ก็ยังคงมีเหมือนสมัยที่ป้าสมรคิดแบ่งพรรคแบ่งพวกในตอนนั้น คลื่นลูกเก่าที่อ่อนโรยแรงไปก็คงต้องฝากคลื่นลูกใหม่ในการปฏิบัติหน้าที่แม่พิมพ์อนาคตของชาติไทยให้ยืนยงตราบเท่าผืนธงไตรรงค์โบกไสวนั่นเอง

“โลกไม่อาจขาดดวงตะวันได้ฉันใด มวลมนุษยชาติก็ไม่อาจขาดครูได้ฉันนั้น”

จากหนังสือ “ฉันจะเป็นแสงสว่างให้กับเธอ” โดย “ตะวันธรรม”

1 ความคิดเห็น: