ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติม...ที่นี่

Custom Search

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2552

ดูดวงอย่างไรจึงจะไม่ถือว่างมงาย




จะถือว่าเป็นความสามารถพิเศษหรือพรสวรรค์ พรแสวงในการเรียนของผมก็บอกไม่ได้ แต่ด้วยความถือคติว่า “ถ้าอยากรู้อะไร ก็ให้ศึกษาด้วยตัวเอง” แต่ผมก็มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งว่า “ถ้าไม่อยากรู้อะไร ก็จะไม่รับรู้เรื่องนั้นเลย” ซึ่งข้อเสียนี้มีหลายคนที่ตำหนิผมมาว่าค่อนข้างจะเป็นคนที่ปิดกั้นตัวเองจากนานาศาสตร์

หลายคนมักจะคิดว่าการดูดวงชะตาที่น่าเชื่อถือนั้นจะต้องดูดวงกับคนเฒ่าคนแก่ ที่ดูทรงภูมิลึกลับน่าเกรงขาม นุ่งขาวห่มขาว อย่างที่เรามักจะจินตนาการเหมือนในละครเกือบจะทุกเรื่อง

ในความเป็นจริงในกลุ่มของคนธรรมดาด้วยกันนั้นก็มีคนที่มีพลังแฝงในเรื่องของการพยากรณ์ซุกซ่อนอยู่ใกล้ๆตัว อยู่ที่ว่าเราจะให้ความเชื่อถือเขามากน้อยเพียงใด บางคนไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าตัวเองมีความสามารถลึกลับแฝงตัวอยู่ หากได้รับการฝึกฝนก็จะยิ่งเป็นการเพิ่มพลังมากขึ้น แต่บางคนก็ปฏิเสธจนทำให้ความสามารถพิเศษนี้หดหายไป

เคยเขียนบทความหลายๆเรื่องที่กล่าวถึงเรื่องสิ่งเร้นลับที่ผมได้ประสบมาตั้งแต่ยังเด็ก และได้คลุกคลีกับผู้คนที่มีความสามารถพิเศษในด้านนี้มามาก เช่น

ย่าของผมมีความสามารถพิเศษในการดูคู่ครอง สมัยก่อนถ้าเกิดว่าบรรดาลูกหลานใกล้ชิดจะแต่งงาน ต้องมาให้ย่าของผมดูก่อนว่าจะอยู่กันยืดหรือไม่ แต่ส่วนใหญ่ย่าผมก็จะไม่ขัดอะไรหรอก แต่จะบอกผมทีหลังว่า “คู่นี้อยู่กันได้ไม่นานหรอก” และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

น้องชายของผมศึกษาในเรื่องของศาสนาพุทธนิกายมหายาน ค่อนข้างจะอ่อนไหวในเรื่องของเทพเจ้าข้างจีนอย่างยิ่ง บางครั้งเห็นอะไรผิดปกติหรือไม่ถูกต้องตามหลักการแล้วก็จะมีอาการแปลกๆเกิดขึ้นเสมอ

จำได้ว่าเราสองคนไปเดินเที่ยวดูสินค้าที่ตลาดไฟฉายรอบสนามหลวง เมื่อเดินผ่านร้านค้าร้านหนึ่งแล้ว เราทั้งคู่ได้กลิ่นกำยานหอมฟุ้งแต่พอเดินผ่านบริเวณนั้นกลิ่นหอมก็หายไปเลย เราลองทดสอบเดินไปเดินมาก็สัมผัสได้ว่า กลิ่นนั้นจะหอมอยู่เฉพาะบริเวณหน้าร้านนั้นที่เดียว เราเลยลองเข้าไปดูก็ปรากฏว่าเป็นแผงขายของเก่าแล้วมีพระเครื่องปะปนอยู่ ที่น้องผมสัมผัสได้ก็คือ จี้เล็กๆรูปเจ้าแม่กวนอิมนั่นเอง (ก็เลยซื้อมาขึ้นหิ้งไว้เสีย)

ส่วนตัวผมเองไม่รู้ว่ามีแรงบันดาลใจอะไรเหมือนกัน จำได้ว่าตอนอยู่ ป.๔ เดินผ่านร้านหนังสือแล้วเห็น “ตำราพรหมชาติ” ก็รบเร้าจะให้ปู่ซื้อ แต่ท่านก็ไม่ได้ซื้อให้ ผมเก็บเงินซื้อเองในราคาเล่มละ ๒๐๐ บาท (เมื่อพ.ศ.๒๕๓๗) จากนั้นผมก็ศึกษาโหราศาสตร์หลายๆแขนงไม่ว่าจะเป็นไพ่ยิปซี ดูดวงแบบจีน และอีกสารพัด แต่ที่คิดว่าน่าจะถนัดที่สุดก็คือการดูดวงแบบเลข ๗ ตัว

ไม่น่าเชื่อว่าแค่เลข ๐-๙ จะสามารถไขกุญแจดวงชะตาของมนุษย์ได้ หลายคนที่ไปดูดวงมักจะหวังว่าตนเองจะได้รับคำตอบที่ดีๆ วิธีแก้ไขและป้องกันที่จะทำให้ชีวิตของตนเองดีขึ้น ดังนั้นจึงเป็นโอกาสให้หมอดูที่ไม่มีจรรยาบรรณหลายๆคนหลอกลวงเอาเงินจากลูกค้าไปนักต่อนักแล้ว ทำให้แวดวงของนักพยากรณ์อย่างเราพลอยอับเฉาไปด้วย

ยกตัวอย่างง่ายๆจากหมอดูที่ออกมาเผยดวงชะตาของคนในวงการบันเทิงนั้น เขาลืมไปแล้วหรือไรว่ากฎข้อหนึ่งของหมอดูคือ “จะไม่เปิดเผยดวงชะตาของลูกค้าให้บุคคลอื่นๆรับทราบเด็ดขาด”

แล้วดูดวงอย่างไรจึงจะไม่ถือว่า “งมงาย”ล่ะ

- ให้หมอดูอ่านดวงชะตาของเราให้จบก่อนแล้วจึงค่อยพูด บางครั้งสิ่งที่หมอดูพูดก็คือการอ่านจากสีหน้าและคำพูดของลูกค้านั่นเอง

- ไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนแปลงดวงชะตาได้ อย่าเสียเงินไปกับการสะเดาะเคราะห์เลย ให้หมั่นทำบุญสร้างกุศลจะดีกว่า

- ฟังหูไว้หู แต่ถ้าหมอดูทักอะไรก็ให้ระมัดระวังในเรื่องนั้นเป็นพิเศษจะดีกว่า การรู้อะไรล่วงหน้าหมดทุกอย่างแล้วชีวิตจะสนุกอะไรล่ะ

- ความแม่นในการทำนายนั้นมีแค่ ๗๕ % เท่านั้น นอกจากว่าจะใช้การพยากรณ์โดยพลังจิตหรือการประทับทรงจะเพิ่มความแม่นยำ แต่ก็ต้องตรวจสอบดูให้ดีว่าเป็นของจริงแน่หรือไม่

- ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ชีวิตของเราเป็นผู้เลือก หลายคนมาถามเรื่องของเนื้อคู่ผมก็บอกไปว่า อยู่ที่เราเลือกเอง ดวงชะตาเป็นแต่เพียงคำเตือนและแนวทางเท่านั้น

บทความในลักษณะนี้อาจจะผ่านหูผ่านตาท่านมาบ้าง แต่ในฐานะของนักพยากรณ์ก็อยากจะมาแนะนำสำหรับผู้ที่ชอบดูดวงกันนะครับ เขาจะได้ไม่หาว่า “งมงาย”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น