ไม่น่าเชื่อว่าข้อความที่โพสท์ใน Hi5 ของผมจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตของน้องชายที่ผมรักคนหนึ่งได้ คำนั้นก็คือหัวข้อเรื่องที่ผมได้กล่าวมาแล้วข้างต้น คือ “หุบปากเสียบ้าง.....จะได้ยินเสียงคนอื่นพูด”
ขอสารภาพตามตรงว่าแม้แต่ตัวผมเองก็ยังจำไม่ได้ว่าคติธรรมนี้ไปได้อ่านมาจากที่ใดหรือเกิดจากอารมณ์จินตกวีของผมเอง แต่ทว่าคติธรรมนี้ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของน้องชายซึ่งเขาได้บอกเล่าแก่ผมว่าทำให้เขาได้คิดถึงการเปลี่ยนแปลงนิสัยของเขา
ผมรู้จักกับน้องฮกเมื่อประมาณ ๔ ปีกว่าๆมาแล้ว เมื่อตอนที่เขาเรียนชั้น ม.๖ แต่กระบวนการคิดของเขาแตกต่างจากเด็กวัยรุ่นวัยเดียวกัน เป็นประเภท “คิดต่างอย่างสร้างสรรค์” จนแม้กระทั่งตัวผมเองยังต้องปรับกระบวนการคิดชนิดยกเครื่องใหม่เลยทีเดียว เพราะมีความรู้สึกว่าตัวเองนี้ดูต่ำต้อยด้อยค่ากว่าจนแอบน้อยใจในบางครั้ง
น้องฮกเมื่อสี่ปีที่แล้วเป็นคนเก่ง มีความสามารถรอบด้าน แต่ด้วยความทะนงในความเก่งของเขานั้นจึงเกิดเป็นความลำพอง แนวชอบอวดนิดๆ แต่ทว่าเมื่อวันเวลาผ่านไป สี่ปี....สี่ปีที่ได้รู้จักกัน น้องชายคนนี้ก็มีแนวคิดที่แตกต่างไปจากสมัยที่ผมรู้จักในครั้งแรกอย่างเห็นได้ชัด สองสามปีที่น้องฮกไปเรียนต่อที่เมืองจีนและเพิ่งเรียนจบกลับมา บวชเรียนและกำลังทำหน้าที่แม่พิมพ์ของชาติควบคู่กับตำแหน่งผู้จัดการศูนย์กวดวิชาแห่งหนึ่งนั้น เมื่อไม่นานมานี้เขาได้สารภาพกับผมว่า
ความลำพอง หยิ่งทะนงในความสามารถเมื่อครั้งอดีตนั้นลดลงไปเมื่อได้อ่าน “สถานะ” ใน Hi5 ของผม ความจริงพิมพ์ไปโดยไม่ได้คิดอะไรหรอกครับ อาจจะเป็นเพราะว่าในช่วงนั้นชีวิตของผมต้องตกอยู่ในวังวนของบ่อน้ำลายเหม็นๆของนักคิดประเภท “มือถือสาก ปากถือศีล” ที่วันๆก็ได้แต่นั่งยกหางตัวเองและอวดเบ่งราวกับแม่อึ่งอ่างในนิทานอีสปก็เป็นได้
จึงได้นำเสนอบทความนี้เผื่อว่าอาจจะมีผลต่อแนวคิดในชีวิตของใครหลายๆคน และขอยกความดีความชอบในครั้งนี้ให้กับ “น้องฮก” น้องชายที่น่ารักที่ทำให้พี่ชายคนนี้รักอย่างไม่เจ็บปวดครับ
ขอสารภาพตามตรงว่าแม้แต่ตัวผมเองก็ยังจำไม่ได้ว่าคติธรรมนี้ไปได้อ่านมาจากที่ใดหรือเกิดจากอารมณ์จินตกวีของผมเอง แต่ทว่าคติธรรมนี้ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของน้องชายซึ่งเขาได้บอกเล่าแก่ผมว่าทำให้เขาได้คิดถึงการเปลี่ยนแปลงนิสัยของเขา
ผมรู้จักกับน้องฮกเมื่อประมาณ ๔ ปีกว่าๆมาแล้ว เมื่อตอนที่เขาเรียนชั้น ม.๖ แต่กระบวนการคิดของเขาแตกต่างจากเด็กวัยรุ่นวัยเดียวกัน เป็นประเภท “คิดต่างอย่างสร้างสรรค์” จนแม้กระทั่งตัวผมเองยังต้องปรับกระบวนการคิดชนิดยกเครื่องใหม่เลยทีเดียว เพราะมีความรู้สึกว่าตัวเองนี้ดูต่ำต้อยด้อยค่ากว่าจนแอบน้อยใจในบางครั้ง
น้องฮกเมื่อสี่ปีที่แล้วเป็นคนเก่ง มีความสามารถรอบด้าน แต่ด้วยความทะนงในความเก่งของเขานั้นจึงเกิดเป็นความลำพอง แนวชอบอวดนิดๆ แต่ทว่าเมื่อวันเวลาผ่านไป สี่ปี....สี่ปีที่ได้รู้จักกัน น้องชายคนนี้ก็มีแนวคิดที่แตกต่างไปจากสมัยที่ผมรู้จักในครั้งแรกอย่างเห็นได้ชัด สองสามปีที่น้องฮกไปเรียนต่อที่เมืองจีนและเพิ่งเรียนจบกลับมา บวชเรียนและกำลังทำหน้าที่แม่พิมพ์ของชาติควบคู่กับตำแหน่งผู้จัดการศูนย์กวดวิชาแห่งหนึ่งนั้น เมื่อไม่นานมานี้เขาได้สารภาพกับผมว่า
ความลำพอง หยิ่งทะนงในความสามารถเมื่อครั้งอดีตนั้นลดลงไปเมื่อได้อ่าน “สถานะ” ใน Hi5 ของผม ความจริงพิมพ์ไปโดยไม่ได้คิดอะไรหรอกครับ อาจจะเป็นเพราะว่าในช่วงนั้นชีวิตของผมต้องตกอยู่ในวังวนของบ่อน้ำลายเหม็นๆของนักคิดประเภท “มือถือสาก ปากถือศีล” ที่วันๆก็ได้แต่นั่งยกหางตัวเองและอวดเบ่งราวกับแม่อึ่งอ่างในนิทานอีสปก็เป็นได้
จึงได้นำเสนอบทความนี้เผื่อว่าอาจจะมีผลต่อแนวคิดในชีวิตของใครหลายๆคน และขอยกความดีความชอบในครั้งนี้ให้กับ “น้องฮก” น้องชายที่น่ารักที่ทำให้พี่ชายคนนี้รักอย่างไม่เจ็บปวดครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น