ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติม...ที่นี่

Custom Search

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เรื่องสั้นเร้นลับ ตอน ร้านข้าวต้มโต้รุ่ง


0.00 น. ของวันที่ 29 กุมภาพันธ์ xxxx “เชษฐ์”เจ้าของรถขันอาสาเพื่อนๆอีก 3 คนไปส่งที่บ้าน ซึ่งทั้งหมดเพิ่งออกจากงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนสาวที่ทำงานบริษัทเดียวกันที่ผับแห่งหนึ่ง
“เฮ้ย..เชษฐ์ ฉันว่าเดี๋ยวเราไปกินข้าวต้มโต้รุ่งกันต่อดีกว่าว่ะ แม่ง..งานเลี้ยงคอกเทลแบบนี้กินไม่ถึงครึ่งกระเพาะเลย” ริษา เพื่อนสาวสุดห้าวออกความเห็นหลังจากเชษฐ์ขับรถออกจากบริเวณผับได้สักครู่หนึ่ง
“เออ...กูก็ว่างั้นแหละ...เดี๋ยวกูแนะนำร้านเด็ดๆให้ รับรองอร่อยแน่” ทรงยศ หนุ่มตี๋เจ้าสำราญสนับสนุนความคิดเห็นของริษา
“แล้วเธอว่าไงล่ะ น้ำฟ้า”เชษฐ์หันไปถามเพื่อนสาวอีกคนที่นั่งข้างที่นั่งคนขับ
“ก็แล้วแต่เพื่อนๆแล้วกัน แต่อย่าให้ดึกนักนะ ไม่งั้นคราวหน้าที่บ้านคงไม่ยอมให้ฉันมาอีกแน่” น้ำฟ้ามีท่าทีกังวลตั้งแต่ที่ริษาเริ่มต้นเปิดประเด็นการไปหาที่เที่ยวต่อแล้ว
“แหม...แม่คุณนี่ก็ย่างเข้าเช้าวันใหม่แล้วนะยะ มันคงไม่มีอะไรจะดึกกว่านี้แล้วแหละ” ริษาพูดด้วยความหมั่นไส้
“เออ..แล้วร้านที่แกว่ามันไปทางไหนวะ บอกทางมาหน่อยเด่ะ พยาธิในท้องข้ามันเริ่มงอแงแล้วสิ” เชษฐ์พูดติดตลก สายตาเหลือบไปมองทรงยศผ่านทางกระจกรถ
“เดี๋ยวผ่านสี่แยกนี้ไปแล้วเลี้ยวซ้ายซอยระหว่างวัดกับห้างxxxเลยว่ะ ทางลัดประหยัดน้ำมัน”
เชษฐ์ขับรถผ่านสี่แยกมาประมาณ 500 เมตรก็ผ่านวัดประจำอำเภอและห้างxxxซึ่งเพิ่งเปิดได้ไม่นาน หลังจากที่บรรดาเจ้าของร้านค้าในอำเภอพากันต่อต้านแต่ก็สู้กระแสนายทุนต่างชาติไม่ได้ ระหว่างสถานที่ทั้งสองแห่งนี้มีซอยลัดเล็กๆอยู่ เชษฐ์ค่อยๆชะลอรถและเลี้ยวเข้าไปในซอย
“ทางนี้ข้าไม่เคยขับมาเลยว่ะ แกไปซอกแซกรู้มาได้ไงวะ ไอ้ยศ”เชษฐ์ถามขึ้น สายตาก็มองสอดส่ายไปสองข้างทาง
“วันก่อนขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ใส่หมวกกันน๊อคก็เลยหลบเข้ามาทางซอยนี้ว่ะ” ทรงยศพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจ
เมื่อเชษฐ์ขับรถเข้ามาในซอยได้ประมาณ 15 นาที สองข้างทางก็ไม่มีวี่แววของบ้านเรือนผู้คนเลย ริษาพูดโพล่งขึ้นมาว่า “เฮ้ย...ไหนวะร้านข้างต้มโต้รุ่งของแก ฉันจะกินวันนี้นะไม่ใช่พร้อมพระฉันเช้า”
ทรงยศเริ่มมีสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจ เขาสอดส่ายสายตาดูสองข้างทางที่มีแต่ป่ารกทึบและมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมเหนือถนนจนแม้แต่แสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญไม่สามารถลอดผ่านมาได้ เหมือนรถที่กำลังขับเข้าไปในอุโมงค์รถไฟก็ไม่ปาน
“วันก่อนกูเข้ามาก็ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีนี่แหละแล้วมันจะทะลุไปออกถนนใหญ่เลย แล้วมันจะมีร้านข้าวต้มโต้รุ่งใหญ่ๆอยู่ทางขวามือฝั่งตรงข้ามถนน...”
ทรงยศพูดไม่ทันขาดคำก็มีรถยนต์เปิดไฟสูงสวนทางเข้ามา ทั้งหมดหรี่ตาลงแล้วลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อแสงจ้านั้นหายไป
“แม่ง...ไม่มีมารยาทเลย ขับรถเปิดไฟสูงแบบนี้ ซื้อใบขับขี่มาเปล่าวะ”เชษฐ์สบถด้วยความหงุดหงิด
“นั่นไงเชษฐ์ ร้านข้าวต้มทางขวามือ ร้านนี้หรือเปล่าจ๊ะ ยศ”น้ำฟ้าชี้นิ้วไปที่ร้านข้าวต้มโต้รุ่งร้านใหญ่ที่คับคั่งไปด้วยผู้คน
“เออ...ร้านนี้แหละ เลี้ยวขวาแล้วไปจอดข้างๆร้านเลย”ทรงยศดูจะมีความมั่นใจมากขึ้นว่าตนเองไม่ได้พาเพื่อนมาหลงทาง
เมื่อเชษฐ์จอดรถแล้วทั้งหมดก็เดินเข้าไปในร้าน ด้วยความหิวริษากับทรงยศรีบขอเมนูจากเด็กเสิร์ฟอย่างรวดเร็วและสั่งอาหารมามากมายจนเชษฐ์กับน้ำฟ้าปรามไม่ทัน
“เธอสองคนสั่งของมาตั้งเยอะ จะกินหมดเหรอจ๊ะ” น้ำฟ้าถามขึ้น
“แม่คุณ...เคยมากินข้าวต้มโต้รุ่งหรือเปล่าจ๊ะ กับข้าวแต่ละอย่างมาจานหนึ่งเท่ากับของเซ่นผี มันต้องสั่งหลายๆอย่างสิถึงจะอิ่ม” ริษากระแนะกระแหนลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของนักธุรกิจใหญ่ประจำอำเภอ
ทรงยศมองบรรยากาศรอบๆแล้วพึมพำกับตัวเองจนริษาอดใจถามขึ้นด้วยความรำคาญไม่ได้
“บ่นอะไรอีกล่ะคะ คุณทรงยศ งึมงำอยู่คนเดียวนั่นแหละ”
“แกไม่สังเกตบ้างเหรอวะ ริษา ว่าร้านนี้มันแปลกๆยังไงไม่รู้ มันไม่เหมือนตอนที่กูมาเลยว่ะ”
“โธ๋เอ๊ย..ร้านเดี๋ยวนี้มันก็ต้องมีการปรับปรุงบ้างสิวะ ขึ้นยังไม่พัฒนาร้านลูกค้าก็ได้หนีไปกินร้านอื่นกันหมดสิ”
“แต่แกไม่เห็นหรือว่าการตกแต่งร้านอ่ะ มันโบราณมากเลยนะ ดูอย่างป้ายxxxสิยังใช้xxxเป็นพรีเซนเตอร์อยู่เลย ไหนจะของในร้าน เสื้อผ้าของลูกค้าแต่ละคน แกว่ามันไม่แปลกเหรอ”
“โห...แกนี่ดูหนังฝรั่งพวกเจาะเวลาหาอดีตมากไปมั้งนี่ ไม่เคยดูทีวีเหรอการจัดร้านสไตล์ย้อนยุคอ่ะ เดี๋ยวนี้เขาทำกันเกร่อ มา...อย่าเพ้อเจ้ออยู่เลย กินข้าวต้มดีกว่าเดี๋ยวจะได้กลับบ้านแล้วแกจะได้ไปนอนฝันต่อ”
กับข้าวทยอยออกมาเรื่อยๆ ทั้งสี่กินด้วยความเอร็ดอร่อยจนลืมเรื่องที่ทรงยศตั้งข้อสังเกตไปหมดสิ้น เมื่อหนังท้องตึงหนังตาเริ่มหย่อน เชษฐ์เรียกเด็กเสิร์ฟมาเช็คบิลเพื่อจะได้รีบไปส่งเพื่อนๆที่บ้านต่อ และกว่าเขาจะถึงบ้านก็คงตีห้าพอดี เพราะบ้านของทั้งสามนั้นอยู่กันคนละทางเลยทีเดียว
“โห...น้องนี่ยังใช้แบงค์สิบอีกเหรอ ไม่เก็บไว้เป็นที่ระลึกล่ะ เดี๋ยวนี้เค้าซื้อขายในอีเบย์กันแพงมากเลยนะ”ทรงยศพูดเมื่อรับเงินทอนจากเด็กเสิร์ฟสาวมา
“จะเก็บไว้ทำไมล่ะคะ ที่บ้านหนูมีเป็นปึกๆสงสัยหนูจะเป็นเศรษฐีก็คราวนี้แหละค่ะ” เด็กเสิร์ฟสาวดูจะหัวเสียมากกับคำพูดของทรงยศ ก่อนที่จะเดินกระฟัดกระเฟียดกลับไปที่เคาน์เตอร์
“อย่าเสียเวลากับเรื่องไร้สาระเลย รีบกลับบ้านกันเถอะ”น้ำฟ้ารีบตัดบทก่อนที่ทรงยศกับริษาจะยิ่งต่อความยาวสาวความยืด
xxxxxxxxxxxxxx
คืนวันต่อมา เพื่อนซี้ทั้งสี่กลับจากเที่ยวผับแล้วตกลงกันว่าจะไปกินข้าวต้มโต้รุ่งร้านเดิมกันต่ออีก
“เออ...วันนี้ร้านมันแปลกๆอีกแล้วนะนี่”ทรงยศเปรยลอยๆขึ้นมาอีก
“เอ่อ...ฉันก็ว่าเหมือนกันว่ะ วันเดียวทำไมมันเปลี่ยนแปลงเยอะขนาดนี้วะเนี่ย” ริษากวาดสายตาไปรอบๆร้านก่อนที่จะสั่งอาหาร เด็กเสิร์ฟเห็นท่าทางของลูกค้าทั้งสี่คนแล้วเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างจึงถามขึ้นว่า
“มีอะไรหรือคะพี่ๆ ทำไมมองร้านของเจ๊หนูแปลกๆอย่างนั้นล่ะคะ”
“เมื่อคืนพี่มากินข้าวต้มที่ร้านน้องแล้วมันไม่ใช่อย่างนี้นี่ ทั้งหน้าร้าน ในร้าน วันเดียวทำไมน้องถึงได้ตกแต่งร้านได้เร็วขนาดนี้อ่ะ”ทรงยศกล่าวขึ้น สายตาก็ยังคงมองรอบๆบริเวณ คราวนี้สีหน้าของเด็กเสิร์ฟเริ่มเปลี่ยนไปเป็นหวาดๆยังไงไม่รู้
“พี่มากินข้าวต้มร้านนี้เมื่อคืนจริงหรือคะ”เด็กเสิร์ฟพูดด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก
“ก็จริงสิน้อง นี่แบงค์สิบเมื่อคืนที่ทอนให้พี่ พี่ยังเก็บไว้เลย” ทรงยศชูธนบัตรใบละสิบบาทให้เธอดู เด็กเสิร์ฟคนนั้นรีบวิ่งไปที่เคาน์เตอร์แล้วพาหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งมาที่โต๊ะที่ทั้งสี่นั่ง เมื่อตาต่อตาประสานกันทั้งสี่ก็ร้องเสียงหลง
“เฮ้ย...นี่มันเด็กเสิร์ฟเมื่อคืนนี่นา ทำไมวันนี้ถึงได้แก่หง่อมอย่างนี้วะ” ริษาสะกดอารมณ์ไว้ไม่อยู่พูดโพล่งออกมา แต่หญิงวัยกลางคนนั้นกลับยืนนิ่งก่อนจะพูดขึ้นช้าๆด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า
“คุณไม่ต้องตกใจหรอกค่ะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในรอบยี่สิบปีที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ทุกๆวันที่ 29 กุมภาพันธ์ร้านเราจะปิดเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับเหตุการณ์เมื่อ 20 ปีก่อนเวลาเที่ยงคืน ขณะที่ร้านนี้กำลังมีลูกค้าแน่นร้าน จะเป็นคราวเคราะห์หรือไงไม่รู้ รถสิบล้อคนขับหลับในพุ่งเข้าชนร้านแล้วเกิดไปกระแทกถังแก๊สระเบิด ทุกคนในร้านรวมทั้งคนขับรถตายหมด เหลือแต่ฉันคนเดียวที่ขณะเกิดเหตุออกไปธุระข้างนอกจึงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด” พูดถึงตอนนี้น้ำตาของเธอคลอเบ้าเอ่อท้นออกมา น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ
“ถ้าอย่างนั้นเมื่อคืนพวกเราไปกินข้าวต้มร้านไหนกันล่ะคะ ก็ร้านนี้ โต๊ะนี้ แล้วตัวคุณเมื่อคืนล่ะคะ” น้ำฟ้าเริ่มงงกับคำพูดของหญิงวัยกลางคน เธอไม่ตอบ แต่กลับเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ ทิ้งความสงสัยไว้กับลูกค้าทั้งสี่
xxxxxxxxxxxxxx

วิธีการเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งที่ถูกต้อง


เห็นชื่อเรื่องนี้แล้วอย่าเพิ่งคิดว่ากำลังเข้ามาอยู่ในโลกของไสยศาสตร์นะครับ วิธีสาปแช่งนี้ได้รับอิทธิพลมาจากชาวฮินดูโบราณปรากฏในหนังสือ “พิชัยสงครามฮินดูโบราณ” เรียบเรียงและแปลโดย ร้อยเอก ยี.อี.เยรินี (พันเอก พระสารสาสน์พลขันธ์) กล่าวไว้ว่า
“มีคำกล่าวว่า ผู้ที่มีความโกรธแค้นนักกับผู้ใดๆเคยหยิบเกลือมาหยิบมือหนึ่ง ถ้าเป็นเวลาเช้าหันหน้าไปยังบูรพาทิศ กล่าวคำสาบานแช่งด่าผู้ที่ตนโกรธแค้นนั้นพอแรงแล้ว จึงรดลงน้ำที่เกลือ หมายว่าจะให้ผู้ที่เป็นศัตรูนั้นฉิบหายละลายไปดุจดังเกลือละลายน้ำ ถ้าเป็นเวลาเย็น ต้องหันหน้าไปยังประจิมทิศสาบานแช่งด่าผู้ที่โกรธนั้นเสียให้มากๆจนพอแก่ความแค้นแล้ว จึงเอาเกลือหยิบมือหนึ่งนั้นสาดเข้าในกองไฟ หวังให้ผู้เป็นศัตรูที่โกรธแค้นกันนั้น แตกประทุกระจายเรี่ยรายไปด้วยภัยอันตรายต่างๆดุจดังเกลือประทุแตกระเบิดป่นไปด้วยไฟ
แต่ธรรมเนียมชาวสยามใหม่ในภายหลัง ใช้เผาพริกแห้ง เป็นการสาบานแช่งให้ร้ายแก่ผู้เป็นศัตรู หมายใจว่าจะให้ผู้ที่ตนโกรธแค้นนั้นได้ทุกข์เดือดร้อนนัก ดุจดังผู้ที่ต้องพริกแสบร้อนกระสับกระส่ายวุ่นวายในใจฉะนั้น
ธรรมเนียมนี้เห็นจะสืบเนื่องมาแต่ธรรมเนียมที่ชาวฮินดูโบราณเอาเกลือมาวางที่ใบดาบและรดน้ำเกลือละลายให้สาบานนั้น”
การที่เราจะไปสาปแช่งผู้อื่นนั้นนอกจากจะเป็นการสร้างกรรมแล้ว เราเองก็ไม่สามารถบอกได้หรอกว่าผู้ที่เราสาปแช่งนั้นจะเป็นไปตามคำพูดของเราหรือไม่ ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง หากเขาไม่ดีจริงสักวันกรรมย่อมลงโทษเขาเองอยู่แล้ว อย่าไปพยาบาทเขาเลย จะยิ่งเป็นการจองเวรกันเสียเปล่าๆ

นิยายภาพชุด “ไซอิ๋ว”




นิยายภาพชุด “ไซอิ๋ว”นี้ผมสะสมไว้ตั้งแต่ช่วงปี 2537 ด้วยวิธีการสั่งซื้อทางธนาณัติแล้วหลังจากนั้นผมก็ไม่เคยพบที่ไหนอีกเลย นอกจากที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เป็นนิยายภาพฝีมือช่างจีนแล้วนำมาแปลเป็นไทย ราคาเล่มละ 10 บาท 1 ชุดมี 11 เล่ม คาดเดาช่วงปีในการพิมพ์นั้นจากปกหลังเล่ม 10 จะมีโฆษณานิตยสาร “หัวใจตรงกัน” ฉบับที่ 10 วางตลาดทุกวันที่ 20 ของเดือน ใครพอจะทราบช่วงปีในการพิมพ์ก็กรุณาบอกมาเป็นวิทยาทานกันนะครับ

เมื่อรัชกาลที่สี่แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เกือบไม่ใช่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


จากหนังสือ “สารานุกรมประวัติศาสตร์ไทย” ของประยุทธ สิทธิพันธ์ กล่าวว่า “๓ เมษายน ๒๓๙๔ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตด้วยพระอาการกระวนกระวาย ปรากฏว่าขณะยังทรงมีพระอัสสาสะอยู่ ยังทรงมีพระราชประสงค์มั่นคงในอันที่จะมอบราชสมบัติให้แก่พระองค์เจ้าอรรณพฯพระราชโอรสซึ่งเฝ้าอยู่ใกล้ชิด ถึงกับทรงประทานประคำทองคำของรัชกาลที่หนึ่งให้คล้องพระศอ แสดงว่าทรงมอบแผ่นดินให้พระองค์เจ้าอรรณพฯแล้ว แต่โดยไหวพริบของเจ้าพระยาโกษาธิบดีเมื่อเห็นจะสิ้นพระวาโยแล้วจึงให้หยิบอันซึ่งมิใช่ของแท้ถวาย แผ่นดินจึงเป็นของเจ้าฟ้ามงกุฎสมมุติเทวาวงศ์เป็นรัชกาลที่สี่แห่งราชวงศ์จักรี ในประวัติศาสตร์ไม่มีใครทราบเรื่องราวของพระองค์เจ้าอรรณพฯต่อมาอีกเลย”
ผมเคยอ่านเรื่องนี้เมื่อหลายปีมาแล้วแต่ไม่กล้านำออกมาเขียน แต่เมื่อได้อ่านจากข้อเขียนของบุคคลที่มีชื่อเสียงด้านประวัติศาสตร์หลายท่านก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้จึงได้นำมาเผยแพร่ เชื่อหรือไม่ว่าแม้แต่ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่สาม) ยังไม่บันทึกไว้เลย ท่านอ่านดูแล้วใช้วิจารณญาณด้วยแล้วกันนะครับ

บทลิเกป่าเรื่อง “ซินเดอเรลล่า”


บทลิเกป่านี้ได้มาจากสมุดจดของผู้เฒ่าจากอำเภอกะปง จังหวัดพังงา เป็นสมุดรวบรวมบทลิเกป่าและบทกลอนจากวรรณคดีเรื่องต่างๆหลายเรื่อง แต่อ่านบทลิเกป่านี้แล้วดูจะอินเทรนด์กว่าเรื่องอื่นในยุคนั้นจึงนำมาอวดกันหน่อยครับ
“นางซินเดอะลินลา เห็นนาฬิกาเกือบสองยาม ตกประหม่าลาเจ้างาน พี่ไม่เต็มใจให้น้องไป ตกใจยืนฉะงัง เสียงฆ้องระฆังดังเสียงใส วิ่งออกนอกห้องไป พอลงบันไดเกือกแก้วกระเด็น เสื้องามก็ขาดเปื้อน ครั้งกลับมาเรือนกลัวเพื่อนจะเห็น สาวใช้ให้จำเป็น พอตะวันเย็นได้เกือกแก้วมา ปลูกรักใส่กระถางถม มิให้แดดลมมาพัดพา พรวนดินแล้วรดน้ำ มิให้ชอกช้ำสักเวลา แรกปลูกเป็นรักซ้อน พอแตกใบอ่อนกลายเป็นรักลา รักใหม่เข้ามาวันละศอก รักเก่าถอยออกไปวันละวา รักกับพี่นี้ไม่ชื่น ไปรักคนอื่นเถิดหล่อนจ๋า รักมาไปเสียไกลตา เมื่อไรกลับมาเล่ารักเอย.”

ภูมิปัญญาอาหารไทยใน "ฆาตกรรมจากก้นครัว" คำแนะนำ : ควรอ่านเรื่องนี้ก่อนรับประทานอาหาร


“......เช้าขึ้นมาก็ใช้อาหารเบาแต่มีประโยชน์ ไข่ลวกแต่พอดีบ้าง ไข่ดาวทอดให้เต็มจานน่ารับประทาน ไม่สุกไม่ดิบเกินไป บางทีก็ไข่เจียวแบบฝรั่ง ใส่ไส้เซี่ยงจี๊บ้าง เป็ดบ้าง ไก่บ้าง แล้วก็ต้องมีนมสด มีขนมปังกาแฟพร้อม ถ้าเห็นจะเบื่อ ดิฉันก็พลิกแพลงไปเป็นไข่ไก่ผิงไฟแบบไทยๆทานกับข้าวตุ๋นร้อนๆเอากำลัง มื้อกลางวันดิฉันก็ใส่สำรับเข้าไปเต็มเพียบ ใช้อาหารน้อยชนิด แต่ทำให้ชวนกิน บางวันก็กับข้าวฝรั่ง ใช้เนื้อสันบ้าง ลิ้นวัวบ้างถ้าหาได้ ดิฉันก็ให้รับหอยนางรมสดๆ บางวันก็ยักย้ายไปเป็นพวกขนมจีน ขนมจีนบ้านนอกหรือเจ้าคะจะมาสู้ขนมจีนในวัง..................แต่ของดิฉันไม่อย่างนั้น น้ำพริกของดิฉันต้องคั่วถั่วทองให้หอมแล้วโขลก ใส่มันกุ้งใส่ปูทะเล ขนมจีนแป้งสดหัวเล็กๆเหมือดหั่นเป็นฝอยขยำน้ำมะนาวให้ขาวสะอาด รับกับทอดมันกุ้งฝอย ทอดให้กรอบ ผักทุกชนิดทอดกรอบมีทั้งไข่ต้มไข่ดาวทอดกรอบเช่นเดียวกัน ถ้าถึงหน้าร้อนดิฉันก็ตั้งข้าวแช่ กะปิทอดเม็ดเล็กๆน่ารับประทาน หอมสอดไส้ พริกทอดโรยไข่เป็นฝอยอย่างมือชาววังเท่านั้นจะทำได้ ผักก็มีมะม่วงดิบ แตงกวา กระชาย หอมต้นจัดเป็นรูปต่างๆ น้ำข้าวก็แช่น้ำแข็งใส่ดอกกระดังงา มะลิอบควันเทียนเสียก่อน ก่อนจะรับก็โรยพิมเสนเล็กน้อย ยามบ่ายก็มีของว่าง ไส้กรอก ปลาแนมบ้าง ขนมแป้งสิบบ้าง บางทีก็หมูแนมแข็ง อาหารค่ำก็มีสำรับเต็มที่พร้อมทั้งของเคียง หมี่กรอบของดิฉันหาที่ติมิได้ แกงก็มีแกงปลาไหล ปูเค็มตัวเล็กๆคลุกหัวกะทิใส่มะดัน บางทีก็แกงมัสมั่นไก่ทั้งตัวใส่มันฝรั่ง ยำทวาย หั่นผักกองเป็นกองๆให้น่าดู ก่อนจะรับจึงให้ราดน้ำ เครื่องจิ้มก็ต้องดูให้ถูกต้อง ถ้าเป็นผักต้มกะทิก็ตำน้ำพริกให้เหลวสักน้อย ถ้าเป็นผักดิบก็ตำให้ข้น ถ้าเป็นปลาร้าหลนก็ใส่กะลามะพร้าวขัดมัน ถ้าถึงฤดูก็น้ำพริกปูนา เอากระดองปูตัวเล็กๆประดับ จิ้มสายบัวผักกระสัง..............”
หมายเหตุ : เชื่อหรือไม่ว่าที่ท่านอ่านมาข้างต้นนั้นเป็นเครื่องมือฆ่าคนตายมาแล้วสามคน ไม่เชื่อก็ลองไปอ่าน “รวมเรื่องสั้น ชุด เพื่อนนอน” ตอน “ฆาตกรรมจากก้นครัว” ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ดูสิครับ

พระตำรากรรมฐานของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี


พระสมุดพุทธทำนายแลวิธีอุประเทศพระกรรมฐาน วันจันทร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ จุลศักราช ๑๑๓๗ ปีมะแม สัปตศก ข้าพระพุทธเจ้านายทองคำ อาลักษณ์ชุบ พระราชาคณะทานแล้ว
พระมหากษัตริย์เจ้า ธรรมิกราชาธิราชองค์หน่อพุทธางกูรสร้าง สมภารจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง(ข้อความลบเลือน)
ตรัสแก่พระธรรมและทรงพระไตรปิฎกธรรมในพระราชสมบัติอันประเสริฐแท้จริงแล พระธรรมพระพุทธเจ้าดวงนี้ เป็นลับแลแก่โลกทั้งหลาย พระธรรมพระพุทธเจ้าอยู่ท่ามกลางจิตที่สุดแห่งจิตที่ลมอัสสาสะ ปัสสาสะจะขาดต่อกันนั้นแล
ที่ชุมนุมพระธรรมทั้งปวงนั้นตรงช่อง....ชาติอุณาโลม ที่หว่างคิ้วที่สุดสายตาทั้งสองร่วมกันแลเป็นที่หลับแห่งนั้นแล ถ้าแลจะให้เห็นองค์พระธรรมพระพุทธเจ้าไซร้ให้หลับตาจงมิด จึงให้เอาตาทิพย์ทั้งสองเล็งดูพระธรรมพระพุทธเจ้า ตรงช่องแก้วชาติอุณาโลมลงมานิ่งอยู่ก็จะเห็นพระธรรมพระพุทธเจ้าในที่นั้นแล
จึ่งให้จำเริญปัสสาสะขึ้นเบื้องซ้าย แล้วให้จำเริญอัสสาสะลงเบื้องขวา ให้ค่อยระบายลมนั้นออกมาให้เบาให้ละเอียดออกมา จงชำนิชำนาญจึงให้เอาตาทิพย์ทั้งสองเล็งดู ดวงพระธรรมพระพุทธเจ้าจะขึ้นเบื้องซ้าย จะขึ้นเบื้องขวาเป็นอนุโลมปฏิโลมเบื้องบนลมอัสสาสะ ปัสสาสะนั้นแล
จึ่งพิจารณาให้เห็นพระธรรมด้วยตาทิพย์ทั้งสองและรู้ด้วยพระปัญญาจงมั่นว่าพระธรรมพระพุทธเจ้าอันเกิดขึ้นมาตรงช่องแก้วชาติอุณาโลม
(อักษรเลอะเลือน)พระธรรมพระพุทธเจ้าเที่ยงแท้แล ครั้นเห็นพระธรรมพระพุทธเจ้าแจ้งแก่พระปัญญาแล้วไซร้ จึ่งรู้ว่าพระธรรมพระพุทธเจ้าเกิดในใยมณฑลธรรมพระองค์แล้วแท้จริงแล
แลเอาบทพระไตรปิฎกธรรมหยั่งพระปัญญาลงไปตามแถวธรรมอันเกิดในใยมณฑลธรรมนี้จงทุกปะการแล
ถ้าแลเจริญอัสสาสะเข้าไปแล้วและให้เจริญอัสสาสะออกมานั้นธรรมเกิดแต่จะช้า จึ่งให้เจริญปัสสาสะขึ้นซ้ายแลให้เจริญอัสสาสะลงขวาดูจักกล่าวไว้นี้ พระธรรมพระพุทธเจ้าพลันเกิดแลย่อมจักได้ธรรมทั้งสองประการนี้แล
ให้ตรึกพระธรรมสามบทนี้ คือเอาอารมณ์ผูกในธรรมนี้ให้มั่น เหตุค้ำชูต่อพระธรรมให้มีกำลังจงนักว่าพระธรรมดวงนี้เป็นที่สุดแห่งขันธ์โลกนี้แล พระธรรมสามบทนี้เป็นที่นำเข้ามาสู่แห่งพระธรรมทั้งเจ็ดพระคัมภีร์แล จึงตรึกพระธรรมสามบทนี้ว่า พระธรรมดวงนี้เป็นกิจแห่งพระขีณาสพเจ้าย่อมเจริญทุกพระองค์ว่ากิจนี้กูเจริญเป็นสัจจะแก่กู ได้พระสัจจะอันเป็นสำหรับหน่อพุทธางกูร ย่งกว่าสัจจะทั้งปวงในโลกนี้แลพระสัจจะนี้จะมีแก่ลูก
พระตถาคตองค์ใดเป็นอันน้อยนักแล พระธรรมสามบทนี้สุขุมนักเป็นที่ชุมนุมเข้ามาแห่งพระธรรมทั้งแปดหมื่นสี่พันขันธ์ แลโพธิปักขียธรรมทั้งปวงแล ครั้นหน่อพุทธางกูรเจ้าได้พระธรรม พระพุทธเจ้าดวงนี้มั่นแก่พระปัญญาแล้วไซร้ จึงเอาพระมหาอักษรบทนี้หยั่งลงสู่พระธรรมพระพุทธเจ้าดวงนี้ ครั้นพระธรรมขึ้นเบื้องซ้ายให้นึกว่า ตุ ครั้นพระธรรมขึ้นเบื้องขวาให้นึกขึ้นว่า (เป็นพระคาถาอะไรสักอย่าง)
ให้เจริญจงชำนิชำนาญ ให้พระมหาอักษรบทนี้อยู่ในดวงพระธรมอย่าคลาดจากธรรมนี้ไซร้ ได้บุญนั้นจะนับเป็นกัปเป็นกัลป์นั้นจะนับบ่มิได้เลย พระธรรมพระพุทธเจ้าดวงนี้แลพระมหาอักษรบทนี้ยิ่งกว่าบททั้งปวงในโลกนี้ และพระมหาอักษรสองบทนี้พระพุทธเจ้าได้ด้วยยากนักแล พระพุทธเจ้าสร้างสมภารยี่สิบอสงไขยยิ่งแสนกัลป์ เมื่อแรกขึ้นนั่งเหนือรัตนบัลลังก์ร่มพระมหาโพธินั้น ยังไปบ่มิได้ธรรมสองบทนี้ เมื่อมารพ่ายแพ้ไปแล้วจึงเจริญพระปฏิจจสุมุททธรรมเสร็จแล้ว จึงได้ตรัสแก่พระสัพพัญญุตัญญาณแลพระสัพพัญญุตัญญาณนี้แล
(จบข้อความจากต้นฉบับที่ น.ส.มาลี พร้อมฤกษ์ ถ่ายเอกสารมาจากหลวงตาเทิ้มแห่งวัดรัชฎาธิฐาน ถ.จรัลสนิทวงส์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ซึ่งผมได้คัดลอกมาจากหนังสือศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๒๘ ซึ่งนี่เป็นหลักฐานหนึ่งเกี่ยวกับกรณีความวุ่นวายในช่วงปลายรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี)

ผู้ชายเจ้าเสน่ห์เป็นอย่างไร




สิทธิการิยะ บุรุษบุคคลใดประสงค์ความเป็นคนเจ้าเสน่ห์รัดรึงหัวใจหญิง แลบุรุษบุคคลนั้นพึงกอปรด้วยองค์แห่งคุณลักษณะ ๖ ประการนี้คือ
๑.ทรงไว้ซึ่งรูปสมบัติหมดจดงดงามเป็นที่ต้องตาหญิง (Good appearance)
๒.อุดมไปด้วยทรัพย์สมบัติอันจะจับจ่ายใช้สอยอย่างไม่มีอั้น (Money)
๓.อยู่ในวัยอันหนุ่มแน่น (Blooming Youth)
๔.มีเวลาว่างเหลือเฟือเพื่อแก่การมาพะเน้าพะนอเอาใจหญิง
๕.กอปรด้วยอัธยาศัยสุภาพอ่อนโยน และอดกลั้นดุจความเข้มแข็งของเข็มเย็บผ้าอันห่อหุ้มไว้แล้วอย่างประณีตด้วยสำลี
๖.เป็นผู้มี “ข้อลำ”ล่ำสันกำยำใหญ่ทะมัดทะแมงเสมือน “ข้อลำ”ของลาหนุ่มทรามคะนอง (Something as the thing of an ass)
จากหนังสือ “บุปผาในกุณฑีทอง” ของ “ยาขอบ” ตอน “อุบายแม่สื่อ” และท่านเชื่อหรือไม่ว่าคนอ่านหนังสือเล่มนี้จบคนแรกนั้นก็ “ตาย” ทันที ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิงมีกฎหมายว่า “ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดเขียนหรือพิมพ์ ชั้นที่สุดจะอ่านก็มิได้ หากผู้ใดฝ่าฝืนท่านว่าถ้าเป็นขุนนางข้าราชการให้ถอดออกจากยศ ถ้าเป็นทหารให้ตีฝ่าเท้า ๑๐๐ ที แล้วขับไล่ออกนอกท้องถิ่นเป็นระยะทาง ๙๐๐ ไมล์ สำหรับผู้ขายหากจับได้ให้ลงโทษโบย ๑๐๐ ที แล้วเนรเทศอกจากท้องที่เดิมมีกำหนด ๓ ปี ส่วนประชาชนคนซื้อและคนอ่านนั้น หากจับได้ไล่ทันจะถูกลงโทษรับโบย ๑๐๐ ที แต่ไม่มีการเนรเทศ” ตอนนี้เห็นมีการนำกลับมาพิมพ์ใหม่แล้วลองไปหาซื้อตามร้านหนังสือทั่วไปได้เลยครับ คุณผู้ชายต้องชอบแน่นอน

ย้อนอดีตโรงเรียนเต้าหมิง







โรงเรียนเต้าหมิงสร้างขึ้นประมาณปีพุทธศักราช ๒๔๗๐ โดยการร่วมทุนของสมาคมพ่อค้าชาวจีนที่เข้ามาดำเนินกิจการเหมืองแร่ดีบุกสำหรับให้ลูกหลานชาวจีนได้เล่าเรียนภาษาจีน (สมัยเด็กๆคุณพ่อของผมเคยไปเรียนพิเศษภาษาจีนอยู่ช่วงหนึ่ง) เป็นสถาปัตยกรรมแบบชิโนโปรตุกีส ตัวอาคารก่อสร้างรูปทรงแบบจีน โรงเรียนนี้ยุบเลิกกิจการไปแล้วเมื่อประมาณปี ๓๙-๔๐ แต่สภาพตัวอาคารยังได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดี ถ้าคนตะกั่วป่ารุ่นเก่าๆอายุตั้งแต่ ๒๘ ปีขึ้นไปจะรู้ดีว่าอีกหนึ่งงานที่น่าเที่ยวของเมืองตะกั่วป่าในอดีตคือ “งานเต้าหมิง”ซึ่งจะจัดในช่วงเทศกาลตรุษจีนเป็นประจำทุกปี (ปัจจุบันไม่มีแล้ว) จะมีการออกร้านจำหน่ายสินค้ายาวออกมาจนเกือบถึงสถานีตำรวจภูธรตำบลตลาดใหญ่ และตรงบริเวณโค้งธนาคารออมสินสาขาตะกั่วป่าก็จะมีร้านอาหารมาเปิด เป็นที่สนุกสนานของคนสมัยนั้น จำได้ว่าตอนเด็กๆเคยไปดูเขาเล่นปาหี่พวก “อับดุล” ,ไปดูหนูนาพาโชค,เล่นม้าหมุน,ชิงช้าสวรรค์และที่จำได้แม่นยำที่สุดคือ มีรุ่นพี่ปอหกแอบเข้าไปเต้นในดิสโก้เธคแล้ววันรุ่งขึ้นมีคนไปฟ้องที่โรงเรียน คุณครูทำโทษด้วยการให้สวมกระโปรงนักเรียนหญิงแล้วให้เต้นกลางสนามหน้าเสาธงให้คนอื่นดูตอนเที่ยง อนุสรณ์ที่ระลึกถึงงานเต้าหมิงที่ผมมีคือรูปถ่ายในร้านถ่ายรูปเป็นภาพขาวดำตอนอายุประมาณ ๗ เดือน ไว้มีโอกาสเหมาะๆจะสแกนมาอวดนะครับ

จุฬาตรีคูณ อยู่ที่ไหน


เมื่อพูดถึงแม่น้ำในประเทศอินเดียที่ปรากฏในวรรณคดีไทยเรามักจะนึกถึง “แม่น้ำทั้งห้า” คือ คงคา,ยมุนา,อจิรวดี,สรภู,มหิ ซึ่งเป็นที่มาของสำนวนว่า “ชักแม่น้ำทั้งห้า” (หาอ่านเพิ่มเติมได้จากมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร) แต่ยังมีจุดรวมแม่น้ำอีกสายหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นจุดกำเนิดและอวสานของโศกนาฏกรรมรักยิ่งใหญ่ คือ “จุฬาตรีคูณ” ของคุณพนมเทียนบรรยายว่า
“อดีตกาลอันไกลโพ้น กระแสแพรวเพริดเลื่อมเงาเงินประกายทองคู่หนึ่ง ไหลเรื่อยคู่ขนานกันมาจากดินแดนอันแสนไกล และวกใกล้เข้ามาบรรจบกันเป็นวังวนวิไล เงินและทองแซมไสวมิได้ปน แหล่งนั้นบรรเจิดวิจิตรชวนฉงนเป็นยิ่งนัก คราใดเมื่อรัตติกาลไร้เดือน ก็ดูราวจะยิ่งเตือนให้งดงามเป็นทวีคูณ ด้วยว่าจะเห็นเป็นหัตถ์อสูรสอดศิลาเศวตมาทาบไว้กับฟ้าอินทนิล รวมกันเป็นสามกระแสสินธุ์ประเสริฐ ทิวาคล้อยผ่าน รัตติกาลมาแทนที่ ธารน้ำทั้งสามเมื่อรับกับรัศมีดาว ก็ดูประหนึ่งจะสะท้อนระริกระเริงริ้วเล่นลมดึกอยู่ครึกครื้น บางครั้งสิเศร้าสลด สะอึกรันทดระทม ดั่งว่ามีวิญญาณวิปโยคสิงสถิตอยู่ ท่านผู้เจริญ แหล่งประหลาดนี้มีนามว่า จุฬาตรีคูณ”
เมื่ออ่านจากชื่อท่านคิดว่าจะมีแม่น้ำทั้งหมดกี่สาย เดาจากชื่อก็คงคิดว่า “สาม” แต่ทั้งสามสายนั้นคืออะไรบ้างก็ลองอ่านเฉลยที่คุณพนมเทียนได้เขียนลงนิตยสาร “ต่วยตูน” ว่า
“......ซึ่งเกิดจากแม่น้ำคงคาไหลมาบรรจบกับแม่น้ำยมุนากลายเป็นวังน้ำวนขึ้น....และในเวลากลางคืนบนท้องฟ้าก็จะมีทางช้างเผือกขาวไสวไหลเลื้อยมาเหมือนจะมาบรรจบกับตำแหน่งที่คงคาและยมุนาบรรจบพบกันด้วย อันเรียกทางช้างเผือกด้านบนนั้นว่าคงคาสวรรค์ กลายเป็นการบรรจบกันของแม่น้ำสามสาย บนพื้นพิภพสองสาย ผนวกเข้ากับเบื้องบนสวรรค์อีกหนึ่งสาย ตำแหน่งที่แม่น้ำทั้งสามสายมาบรรจบกันนี้เรียกว่า จุฬาตรีคูณ”
แล้วถามว่าจุดนี้มีจริงหรือไม่ก็ตอบได้เลยครับว่ามี อยู่ที่เมืองพาราณสี เมืองหลวงของแคว้นกาสีนั่นเอง ใครมีโอกาสไปเที่ยวเมืองนี้ก็หาโอกาสไปเยี่ยมชมกันนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2551

บรรยากาศร้านขายของชำเมื่อเกือบสี่สิบปีที่แล้ว


ขอคัดลอกคำบรรยายจากหนังสือแบบเรียนสังคมศึกษา ชั้นประถมปีที่ ๒ เมืองที่เราอยู่เลยแล้วกันนะครับ จะได้ไม่เสียอรรถรส
“....หน้าร้านมีหอม กระเทียม สาคูและพริกแห้งวางเรียงรายกันอยู่หลายกระสอบ ถัดเข้าไปในร้านมีถังกะปิตั้งอยู่เป็นแถว เขาใส่กะปิในถังไม้และใส่จนพูนสูงเลยปากถังขึ้นมาเป็นยอดแหลมเรียบ น่าดูมาก มีพายสำหรับตักเสียบอยู่ที่ยอดทุกถัง กะปิมีหลายชนิดและหลายราคา
ถัดถังกะปิเข้าไปมีกระสอบกุ้งแห้ง กุ้งแห้งราคาแพงมาก ดูเหมือนจะเป็นของราคาแพงที่สุดในร้าน ข้างฝาห้องด้านหนึ่ง มีวุ้นเส้นมัดใหญ่ๆวางซ้อนกันอยู่หลายมัด บนหิ้งสูงติดกับฝาห้องมีบุหรี่และไม้ขีดห่อใหญ่ๆวางอยู่
บนหิ้งชั้นล่างถัดลงมามีขวดน้ำปลาและอาหารกระป๋องหลายอย่าง มีทั้งนม เนย ปลากระป๋องและลิ้นจี่กระป๋อง ตั้งฉ่ายก็มีวางอยู่หลายกระปุก ซอสพริกศรีราชาก็มีอยู่หลายขวด
ข้างหน้าหิ้งมีกระสอบถั่วตั้งอยู่หลายกระสอบ นั่นถั่วแดงและถั่วทอง ถั่วเขียวที่เป็นเม็ดๆก็มี ที่กะเทาะแตกเป็นสองซีกแล้วก็มี ถั่วลิสงเม็ดโตๆน่ากิน งาดำและงาขาวเม็ดเล็กมาก
ชิดกับฝาห้องทางซ้ายมือ มีถังข้าวสารตั้งอยู่หลายถัง เขาใส่ข้าวสารในถังสังกะสีใหญ่ ข้าวสารมีอยู่หลายชนิด ราคาต่างๆกัน ข้าวเหนียวก็มีอยู่หลายชนิด ทั้งเม็ดกลมและเม็ดยาว ทั้งข้าวเหนียวขาวและข้าวเหนียวดำ
แป้งก็มีขาย มีทั้งแป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวเจ้าและแป้งมันสำปะหลัง ต่อจากถุงแป้ง มีน้ำมันหมูปีบเล็กปีบใหญ่วางอยู่
นอกจากนี้ยังมีน้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายขาวและยังมีน้ำตาลปึก ลูกเดือย เม็ดบัว พริกไทย ลูกผักชีและกานพลู
นั่นสบู่ผงและสบู่แท่ง ใกล้ๆกันมีครามทั้งห่อใหญ่ทั้งห่อเล็ก....................................หอม กระเทียมและพริกแห้งมาจาก สมุทรสงคราม ราชบุรี ลำพูน กะปิและน้ำปลามาจากระยอง ชลบุรี ส่วนไม้ขีดไฟ สบู่ บุหรี่และวุ้นเส้นทำที่กรุงเทพมหานคร น้ำตาลมาจากชลบุรี กาญจนบุรี ลำปางและอุตรดิตถ์........”
อ่านแล้วน่ารักดีนะครับ เสียดายที่ปัจจุบันนี้เรากลับเห็นแต่เซเว่น-อิเลฟเว่น,บิ๊กซี,เทสโก โลตัส,คาร์ฟูร์,......บริษัทต่างประเทศที่มาดูดเงินคนไทยทั้งนั้น

หนังสือโป๊ วรรณกามต้องห้ามอมตะ







วันนี้มีหนังสือ(ไม่)ดีหนึ่งเล่มมาอวดท่านผู้ชมครับ ปกติหนังสือประเภทนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเอาออกมาอวดกัน เพราะมักจะเป็นมรดกตกทอดจากมือสู่มือเรื่อยๆ และเมื่อถูกใช้งานจนหนำใจแล้วก็มักจะอันตรธานหายไป
หนังสือโป๊เรื่อง “พยัคฆ์สาว”โดย “ไอ้แดง”เล่มนี้จัดว่าอยู่ในยุค “หนังสือปกขาว” คือ หนังสือโป๊สมัยก่อนส่วนปกนั้นจะไม่มีการพิมพ์ใดๆทั้งสิ้นจะมีเพียงปกสีขาวเท่านั้น เป็นที่รู้กันในหมู่หนุ่มรุ่นกระทง แต่เล่มนี้เริ่มมีการพิมพ์ปกหน้าด้วยการใช้นางแบบที่ค่อนข้างวาบหวิว(สำหรับยุคนั้น) บางคนอาจจะว่ามันวาบหวิวตรงไหน แต่ขอบอกเกร็ดสนุกๆให้ว่า แค่หนังสือบรรยายว่าผู้ชายจูบปากผู้หญิงแล้วหรือหนังมีฉากหอมแก้มเฉยๆ คนสมัยก่อนก็ถือว่า “โป๊”แล้ว ไม่เหมือนหนังสมัยนี้ที่บางครั้งดุเดือดกว่าหนังโป๊จริงๆเสียอีก
ถามว่าหนังสือโป๊นั้นมีมาตั้งแต่สมัยใด ก็ยืนยันได้เลยว่ามีมาตั้งแต่ที่มนุษย์เริ่มมีวัฒนธรรมนะสิครับ และก็ไม่ใช่มีแต่เรื่องเพศแบบหญิงชายอย่างเดียวนะครับ เรื่องของรักร่วมเพศก็มีปรากฏมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว อย่างที่ซากเมืองปอมเปอีก็ปรากฏภาพการร่วมเพศระหว่างชายกับชาย , หญิงสาวกับสุนัข หรือแม้แต่ในพระไตรปิฎกก็ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับการที่พระสงฆ์เสพเมถุนกับสัตว์หรือเสพเมถุนทางเวจมรรค จนพระพุทธเจ้าต้องทรงบัญญัติข้อห้ามขึ้น (เล่าตามพระไตรปิฎกนะครับ ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นหรือลบหลู่)
ส่วนภาพโป๊นั้นเริ่มมีตั้งแต่เมื่อไร ก็ตอบได้อีกเช่นกันว่าก็ตั้งแต่เริ่มมีกล้องถ่ายรูปนั่นล่ะครับ จะว่าผมโชคดีหรือเปล่าไม่ทราบไปเห็นตัวอย่างภาพโป๊ของฝรั่งยุคแรกๆเข้า แต่พอจะเขียนบทความนี้กลับค้นไม่พบเสียนั่น เอาเป็นว่าถ้าหาพบแล้วจะเอามาอวดก็แล้วกัน
หวนกลับมาเรื่องของวรรณกรรมไทยบ้างว่าเล่มใดเข้าข่าย “วรรณกาม”บ้าง ก็ขอบอกกันอย่างชัดเจนเลยว่าเกือบจะทุกเรื่องล้วนมีแต่บทอัศจรรย์ทั้งสิ้น ยิ่งเรื่อง “ลิลิตพระลอ”แล้วนับว่ามีบทร่วมเพศที่โลดโผนที่สุดถึงกับขนาดที่ว่าสมัย ๑๔ ตุลานั้นถือว่าเป็น “วรรณกรรมต้องห้าม”เลยทีเดียว
เรื่องต่อมาคือ “ขุนช้างขุนแผน”ฉบับก่อนที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจะชำระนะครับ เดี๋ยวนี้ยังพอมีนักวิชาการหลายท่านนำมาเผยแพร่บ้าง อ่านแล้วเกร็งเลยล่ะครับ (ยังมีสมุทรโฆษคำฉันท์,กาพย์พระไชยสุริยา,พระอภัยมณี,...........หรือวรรณกรรมไทยถิ่นใต้เรื่อง “สรรพลี้หวน”ที่ถือว่าเป็นสุดยอดของวรรณกามเลยก็ว่าได้)
แม้แต่ในหนังสือ “ตำราพรหมชาติ”ยังมีการกล่าวถึงตำราดูองคชาติและโยนีศาสตร์ และเมื่อสองสามปีที่แล้วสำนักพิมพ์มติชนยังได้ตีพิมพ์หนังสือ “ผูกนิพพานโลกีย์”เผยแพร่ ท่านที่สนใจก็ลองไปค้นหาอ่านกันดูนะครับ บอกเสียหมดมันก็ไม่สนุกน่ะสิครับ

เมื่อไฟไหม้ในกรุงเทพฯสมัยก่อนต้องทำอย่างไร




ช่วงนี้เวลาว่างมากจึงเอาหนังสือเก่าๆที่เก็บสะสมไว้มาหวนอ่านดูเล่นๆก็ไปพบหนังสือแบบเรียนสังคมศึกษา ชั้นประถมปีที่ ๒ เมืองที่เราอยู่ อ่านแล้วเหมือนนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปกรุงเทพฯสมัยปี ๒๕๐๗-๒๕๑๘ เลยครับ เช่น เรื่อง “รถดับเพลิง”หน้า ๖๕ กล่าวว่า
“.......เจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้าเห็นไฟไหม้ที่ไหนอย่าตกใจ ให้รีบบอกไปให้ทราบ เราอาจโทรศัพท์ไปยังศูนย์รวมข่าวของกองกำกับการดับเพลิงพญาไท หมายเลข ๘๑๖๖๖๖ หรือ ๘๑๑๕๔๔ หรือที่ ๑๙๙ ก็ได้ เขาจะบอกต่อไปให้......................นอกจากนี้ ตามถนนหลายแห่งในกรุงเทพมหานครยังมีเสาแดงสูงปักอยู่ ถ้าโทรศัพท์ไม่สะดวก ให้รีบไปที่เสานั้น เคาะกระจกกลมที่ติดอยู่ให้แตก และกดปุ่มเล็กๆซึ่งอยู่ข้างใน ทางกองดับเพลิงก็จะทราบทันทีว่า ไฟไหม้ใกล้ๆที่ใด และส่งรถมาตรวจทันที.....”

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551

พิศดูเพลินจนเกินอิ่ม


เจ้ากระต่ายตัวน้อยแสนน่ารัก
ยิ้มทายทักกับผู้ชมนอกกรอบตู้
เหมือนเชิญชวนลองชิมลิ้มรสดู
คงโก้หรูหากเสพรสชอคโก้หวาน
เหลือบไปเห็นคุณตาซานต้ายิ้ม
กระจุ๋มกระจิ๋มโผล่มาร้องเรียกขาน
โฮ่...โฮ่...โฮ่...จะกินจริงหรือท่าน
คุ้มกับงานที่ช่างรังสรรค์ฤๅ
ยังแบบพิมพ์ชอคโกแลตอีกหลายชิ้น
ใคร่ลองกินหยิบจับรับมาถือ
แต่ติดอยู่อย่างเดียวสิ่งนั้นคือ
ไม่มีปัญญาซื้อ......ของมันแพง
(ภาพจากร้านขายชอคโกแลตที่กัวลาลัมเปอร์ ที่ผมติดใจคือชอคโกแลตรสทุเรียนอร่อยมากเลยครับ แต่ราคาโคตรแพงเลย จึงได้แต่ชิมที่เขาให้ลองเท่านั้น)

เสี่ยงดวง....เสี่ยงลวง


เร่เข้ามา....เร่เข้ามา....เหยื่อทั้งหลาย
ทั้งหญิงชายที่ประสงค์ลงเสี่ยงเล่น
ตุ๊กตาน่ารักยิ้มหน้าเป็น
ยี่สิบบาทเห็นเป็นราคาคุ้มค่าดี
ไม่มีใครเคยได้เจ้าตัวน้อย
เพราะเจ้าของคอยเล่นเกมโกงทุกวิถี
หมุนแม่เหล็กใต้ศรตั้งตามวิธี
แต่ทุกปีมีคนเล่นแม้รู้ความ
เปรียบเช่นคนรู้ชั่วดีผิดชอบ
ตามระบอบเรียนรู้ไม่ต้องถาม
แต่กลับปฏิบัติวัตรสิ่งทราม
สิ่งที่ห้ามกลับทำ....คนขวางคลอง

บทสดุดีพระคุณครูโรงเรียนตะกั่วป่า “เสนานุกูล”เนื่องในวันเกษียณอายุราชการประจำปี ๒๕๕๑

เรือลำน้อยลอยล่องท่องสมุทร
คลื่นโถมฉุดเพียงใดไม่ท้อถอย
หวังผู้คนถึงฝั่งตั้งตาคอย
ยิ้มน้อยน้อยเป็นพลังฝ่าฟันไป
อ.ขจร นามสงวนล้วนสร้างชื่อ
อังกฤษคืองานสอนหลักหนักเพียงไหน
ศูนย์อีริครับผิดชอบด้วยใส่ใจ
ส่งนักเรียนไปเอเอฟเอสนับคณา
อ.เสงี่ยม ทองลิ่มเป็นที่รัก
ท่านตระหนักระเบียบวินัยเป็นนักหนา
พร้อมถ่ายทอดสรรพกิจวิทยา
ด้านภาษาอังกฤษจิตนิยม
อ.พัลพัฒน์ ทองลิ่มทุ่มเทยิ่ง
งานทุกสิ่งสอนศิษย์ได้อย่างเหมาะสม
เป็นที่รักประจักษ์ชัดควรชื่นชม
คำอบรมยังจำได้ไม่เลือนราง
อ.วรนาฏ วิสารทานนท์
งามกมลงามจรรยาไม่เสื่อมสร่าง
อุทิศตนเป็นผู้ชี้วิถีทาง
คณารางวัลเชิดเทิดเกียรติคุณ
อ.ปรีดา สงไกรรัตน์เจนจัดวิทย์
สอนมวลศิษย์ด้วยจิตคิดเกื้อหนุน
มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเกื้อการุณ
ได้เป็นบุญศิษย์สัมฤทธิ์วิทยา
อ.พลอยไพฑูรย์ อยู่เย็นเย็นสมชื่อ
งานสอนคือหัวใจการศึกษา
ศิษย์ได้ดีมีชื่อระบือคณา
ยังคงตราตรึงจิตคิดคำนึง
อ.อรวรรณ แผ้วชมภูผู้สันทัด
งานด้านวัฒนธรรมรำลึกถึง
อนุรักษ์ภูมิปัญญาแสนน่าทึ่ง
เป็นปราชญ์ซึ่งถึงพร้อมความเป็นไทย
มาบัดนี้เรือลำน้อยลอยถึงฝั่ง
แต่พลังยังขับเคลื่อนชั่วอสงไขย
ผู้โดยสารถึงจุดหมายสบายใจ
เป็นแรงให้นาวาสง่างาม
แม้นคณาจารย์ทั้งหลายได้เกษียณ
ใจศิษย์เวียนหวนรำลึกตรึกคุณขาม
วอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตทุกเขตคาม
พรอะคร้ามคุ้มครองผองท่านเทอญ.

แอ่วเหนือเมื่อปี ๔๙




ไปค้นดูไฟล์ภาพสมัยไปเที่ยวงานราชพฤกษ์ ก็บังเอิญไปพบความน่ารักของวัดทางภาคเหนือที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดที่มีโค้งมากที่สุดในประเทศไทย แต่แรงศรัทธาในบวรพุทธศาสนายิ่งทวียิ่งขึ้นหาได้น้อยตามความทุรกันดารไม่ สังเกตจากศิลปะที่ถวายเป็นพุทธบูชา
ภาพแรกเป็นภาพพระธาตุและตุ๊กตาไม้แกะสลักเกือบเท่าคนจริงที่สะท้อนวิถีชีวิตคนในท้องถิ่นเมื่อนานมาแล้ว ส่วนภาพที่สองมีคำบรรยายอยู่แล้ว แม้ว่าเวลาจะเนิ่นนานเพียงใดแต่คนในท้องถิ่นก็ไม่ได้เอาของจากอดีตมาตีเป็นมูลค่าส่งออกไปต่างประเทศ แต่เก็บรักษาเพื่อการศึกษาของคนรุ่นต่อไป อยากให้ทุกท้องถิ่นมีพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจังเลยครับ ต้นไม้จะใหญ่โตเพียงใดก็ต้องยิ่งมีรากที่มั่นคงครับ

เรื่องเร้นลับที่บ้านของข้าพเจ้า



ข้าพเจ้าเกิดในปีที่กรุงรัตนโกสินทร์ฉลองครบรอบสองร้อยปี ในยุคนั้นโลกก้าวผ่านยุคจรวดและกำลังก้าวเข้าสู่ “ยุคนิกส์” ซึ่งเป็นคำที่โก้หรูมากในสมัยนั้น ซึ่งข้าพเจ้าไม่น่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องเร้นลับที่คนยุคนั้นพยายามเห็นว่าเป็นเรื่องงมงายไร้สาระ


หากแต่หลายต่อหลายเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าพบและได้รับฟังจากคนในครอบครัวมันมีอะไรที่น่าสนใจและชวนให้ขนลุกเสียด้วยซ้ำ
เรื่องแรกมันก็เริ่มกับตัวข้าพเจ้าเองเลยนั่นก็คือ เมื่อข้าพเจ้าเกิดมานับว่าเป็นเด็กที่อ่อนแอมาก แม่เล่าว่าข้าพเจ้ามีโอกาสรอดน้อยมาก และแล้วหัวใจของข้าพเจ้าก็หยุดเต้นเอาเสียดื้อๆ ไม่ต้องบอกหรอกนะครับว่าความรู้สึกของคนเป็นพ่อแม่จะเป็นอย่างไร แต่โชคดีที่ย่าของข้าพเจ้ารู้จักกับแม่เฒ่าท่านหนึ่งซึ่งมีวิชาความรู้ทางไสยเวทให้ช่วยทำพิธีให้ ผลสุดท้ายข้าพเจ้าก็มีชีวิตอยู่มาเล่าเรื่องให้ท่านผู้อ่านฟังนี่แหละครับ


บ้านของข้าพเจ้าตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เคยเป็นป่าช้าเก่ามาก่อน มีบ้านอยู่หลังหนึ่งทำการปรับปรุงบ้านใหม่เมื่อไม่นานมานี้ปรากฏว่าขุดลงไปใต้พื้นดินบริเวณบ้านดันไปพบโลงหัวหมูโบราณเข้า ต้องเอาไปลอยน้ำทำพิธีกันสารพัดกว่าจะอุ่นใจอาศัยบ้านนั้นต่อ


เมื่อข้าพเจ้าอายุได้ ๗-๘ ขวบ คุณตาของข้าพเจ้าเสียชีวิต คืนหนึ่งเมื่อทุกคนในบ้านนอนหลับกันหมดแล้ว ปรากฏว่ามีเสียงคนมาเคาะประตูหน้าบ้าน พ่อกับแม่ออกไปดูเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างบ้านคล้ายกับหันหลังยืนปัสสาวะอยู่ เมื่อชายคนนั้นหันหน้ามาปรากฏว่าคือคุณตาของข้าพเจ้าเอง พ่อกับแม่เชิญท่านเข้ามาหน้าหิ้งพระแล้วพูดคุยกันหลายเรื่อง ท้ายที่สุดคุณตาได้มอบสายสิญจน์ให้คู่หนึ่งแล้วท่านก็เดินออกจากบ้านไป พ่อกับแม่ตามออกมาดูแต่ไม่พบร่างของใครบนถนนเลย เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อทั้งสองเอามือกวาดดูบนหิ้งพระ สายสิญจน์คู่นั้นยังคงอยู่?????????

พม่าจะมาเป็นข้าไทย จะได้ใช้สร้างกรุงอยุธยา




เดินไปเดินมาในตลาดนัดเมืองตะกั่วป่าหรือในยามมีงานเทศกาลปรากฏว่าแรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะพม่านั้นมีจำนวนมากกว่าคนในท้องที่เสียอีก จากบทกลอนที่บอกว่า “พม่าจะมาเป็นข้าไทย จะได้ใช้สร้างกรุงอยุธยา” นั้นเกรงว่าพม่าจะมาตักตวงผลประโยชน์ในไทยแล้วสร้างความเดือดร้อนเสียมากกว่า อย่างข่าวแรงงานพม่าฆ่านายจ้างคนไทย พม่าทำงานซื้อทองฝังไว้หลังบ้านพอถึงเวลากลับไปเยี่ยมบ้านก็ขนเอาทองกลับไปด้วย (แต่อย่าว่าล่ะครับ ในบ้านเมืองเรานั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี)
วันนี้พม่าแต่งตัวทันสมัย ดูดีกว่าคนไทยเสียอีกถ้าไม่สังเกตเอกลักษณ์การทาแป้งด้วยผงทานาคา ภาพนี้คือซีดีเพลงพม่าที่มีวางจำหน่ายในงานเทศกาลกินเจที่ผ่านมาครับ

ฮ่องสิน สถาปนาเทวดาจีน


เมื่อหลายปีก่อนอ่านหนังสือ “เที่ยวชมหนังสือเก่า” ของคุณเอนก นาวิกมูลแล้วทำให้เกิดแรงบันดาลใจว่าจะต้องเริ่มสะสมหนังสือเก่าแล้ว เล่มนี้ไม่ใช่เล่มแรกที่เริ่มสะสมหรอกนะครับแต่เป็นเรื่องที่ผมชอบอ่านมากรองจาก “สามก๊ก”ครับ คือ “พงศาวดารจีนเรื่องฮ่องสิน อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงบริรักษ์จรรยาวัตร และ นางบริรักษ์จรรยาวัตร วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๑๙” เล่มนี้ได้มาจากร้านขายหนังสือเก่าแห่งหนึ่งในจังหวัดสงขลาที่ถูกอย่างเหลือเชื่อ แม้ว่าปัจจุบันจะมีการพิมพ์ใหม่อย่างสวยงามแล้วแต่หากเทียบความขลังแล้วคนละชั้นกันเลยครับ

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ก่อนมรณกรรม ๑๘ วัน

วิดีทัศน์นี้ถ่ายในวันปีใหม่ ๒๕๔๙ ก่อนที่ย่าของผมจะเสียชีวิต ส่วนคุณปู่นั้นเสียชีวิตในวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ปิดฉากความรักที่คุณปู่มักจะถามผมเสมอว่า ตายแล้วไปไหน แล้วพอย่าตายแล้วย่าและคนอื่นๆอยู่กันอย่างไร บรรยากาศแห่งความสนุกสนานในวันปีใหม่ แต่ทว่าย่างผ่านปีใหม่มาได้ ๑๘ วัน ความทุกข์ก็ย่างเข้าสู่บ้านตระกูลแต้อย่างไม่คาดคิด

ภาพแห่งความทรงจำของบ้าน "แซ่แต้"

วิดีทัศน์นี้เป็นภาพจากกล้องโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายภาพคุณย่าของข้าพเจ้าก่อนที่จะเสียชีวิตเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๙ และนี่เป็น ๑ ใน ๒ วิดีทัศน์ที่ถ่ายภาพท่านไว้ แม้ท่านจะจากโลกนี้ไปแล้วแต่ผมก็รู้สึกได้ว่าท่านยังอยู่ใกล้ๆผม

พระร่วงแก้ผ้าชักว่าว


เห็นชื่อเรื่องแล้วอย่าคิดว่าผมสัปดนอะไรนะครับ แต่เรื่องนี้เป็นตำนานที่ชาวสุโขทัยเขาเล่ากันต่อๆมาครับ เรื่องมีอยู่ว่า ตอนที่พระร่วงยังเป็นเด็กอยู่นั้นค่อนข้างซนและชอบเล่นสนุก กีฬาโปรดของท่านคือชอบเล่นว่าว เนื่องจากเป็นเด็กไทยๆก็มักจะไม่ชอบใส่เสื้อผ้า เวลาไปชักว่าวก็แก้ผ้าแก้ผ่อนวิ่งว่าวต่องแต่งๆไปด้วย บังเอิญไปสะดุดตอไม้หกล้มหน้าคว่ำลง จึงปรากฏเป็นร่องรอยร่างกายบางส่วนของพระร่วงเหลือให้เห็นบนดินมาจนบัดนี้ คือรอยท่อนแขนที่งอตรงข้อศอกก็กลายเป็นลำแม่น้ำที่คดเป็นข้อศอกแห่งหนึ่งในจังหวัดสุโขทัย และหนองน้ำอยู่ใกล้ๆกันก็มีรูปร่างคล้ายสัญลักษณ์บุรุษเพศของพระร่วง

เรื่องสั้นเตือนภัยสังคม : เมื่อพลั้งคิดผิดแล้วจะโทษใคร




เคนชิโร่ : สวัสดีครับ
วินดี้ : สวัสดีค่ะ ชื่ออะไรคะ
เคนชิโร่ : ตั๊กครับ คุณชื่ออะไรครับ
วินดี้ : วินค่ะ
๓๐ นาทีต่อมา
เคนชิโร่ : มีรูปไหมครับ
วินดี้ : มีค่ะ แล้วตั๊กล่ะคะ
วินใจเต้นระทึกในขณะที่คอมพิวเตอร์โหลดภาพของชายคนหนึ่งซึ่งเธอใช้เวลาคิดคำหวานๆป้อนส่งไปยังฝ่ายตรงข้าม
“ว้าย.....กรี๊ด......น่ารักมากเลยเอื้อย เธอมาดูสิยะ” สายตาทุกคู่ในห้องคอมพิวเตอร์หันมามองที่นิสิตสาวเจ้าของเสียงแหลมเล็กนั่น
“อ้อ....เด็กปีหนึ่งเพิ่งหัดเล่นเอ็มน่ะหล่อน แรกๆก็กรี๊ดแบบนี้แหละย่ะ” เสียงจีบปากจีบคอจากนิสิตชายผู้มีจริตจะก้านคนหนึ่งพูดกับเพื่อนสาวข้างๆที่กำลังพยักหน้ารับและมองไปที่เจ้าของเสียงกรี๊ด
วินมีท่าทีตื่นเต้นมากเพราะภาพที่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์คือภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งที่หล่อครบสูตรสำเร็จของวัยทีนปี ๒๐๐๘ เอื้อยซึ่งวินเรียกเมื่อสักครู่ก็มีท่าทีกระดี๊กระด๊าเหมือนกัน แต่คงไม่เท่าวินซึ่งขณะนี้ใจลอยไปถึงเจ้าของรูปแล้ว และกำลังคิดอยู่ว่าทำอย่างไรจึงจะสานสัมพันธ์กับคนในรูปให้มากกว่านี้
เคนชิโร่ : อยากรู้จักพี่มากกว่านี้จังเลยค่ะ ๐๘๑-๗++++++ ค่ะ
วินดี้ : เบอร์พี่ ๐๘๑-๖++++++ ครับ เม็มไว้ด้วยนะครับคืนนี้สามทุ่มพี่จะโทร.ไปหา
เคนชิโร่ : วินจะรอนะคะ
วินดี้ : ครับ บายครับ
วินดี้ : บายค่ะ
เสียงจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นตรงตามเวลาที่ได้นัดหมายไว้ วินรีบคว้ามันด้วยอาการกระวีกระวาด
“สวัสดีครับ น้องวินใช่ไหมครับ”
“เสียงทุ้มของพี่ตั๊กที่กระทบโสตประสาทแทบจะทำให้วินปล่อยโทรศัพท์มือถือลง แต่ฉุกคิดขึ้นมาได้จึงรีบตอบกลับไป
“ค่ะ วินพูดเองค่ะ พี่ตั๊ก”
“น้องวินเรียนที่ไหนครับ พี่เรียนนิเทศ มหาลัย+++++ครับ”
“ว้าว....เรียนมหาลัยหรูเสียด้วย”วินนึกในใจ สมองของเธอกำลังคิดแผนมัดใจชายหนุ่มทางเน็ทให้อยู่หมัด ถ้อยคำหวานของเธอถูกส่งผ่านคลื่นความถี่ไปสู่ปลายทางเกือบสองชั่วโมง เมื่อความสนิทสนมเริ่มเข้าที่เข้าทาง เรื่องราวความเป็นส่วนตัวของทั้งสองก็ยิ่งเพิ่มความกระหายจะพบตัวซึ่งกันและกันมากขึ้น
“พรุ่งนี้พี่จะโทร.มาใหม่นะครับ วิน”
“ค่ะ ฝันดีนะคะ พี่ตั๊ก”
“เช่นกันครับ น้องวิน”
เสียงโทรศัพท์วางสายไปแล้ว แต่หัวใจของวินยังคงเต้นไม่เป็นส่ำอยู่ เธอกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด เมื่อล้มตัวลงนอน เอ๊ะ...คืนนี้ทำไมมันร้อนวูบวาบแบบนี้นะ เสียงของพี่ตั๊กยังคงก้องอยู่ในหู ใบหน้ายังปรากฏในมโนภาพของวิน สายตาเธอมองออกไปนอกหน้าต่างไกลสุดทางช้างเผือก
“..............................”เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นด้วยริงโทนกำลังอินเทรนด์ตามเวลาที่ได้นัดหมายไว้ วินนอนคอยเสียงระฆังแห่งสรวงสวรรค์และรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาราวกับกลัวว่าเสียงนั้นจะลาจากเธอไป
“สวัสดีค่ะ พี่ตั๊ก” วินพูดเสียงใส ในขณะที่เอื้อยเพื่อนร่วมห้องหันมามองด้วยความสนใจ เพราะเธอรู้ดีว่าวินเป็นนักเล่นเอ็มตัวยง สมัยอยู่ม.ปลาย ทุกคืนจะมีหนุ่มๆทางเอ็มโทร.ไปหาที่บ้านและเธอจะเอามาเล่าให้เพื่อนฟังเสมอในวันรุ่งขึ้น ตอนนี้วินและเอื้อยเอ็นทรานซ์ติดในมหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน และจะด้วยความบังเอิญหรือไม่ ทั้งสองพักอยู่ห้องเดียวกัน ณ หอพักนิสิตในมหาวิทยาลัย
“สวัสดีครับ น้องวิน” น้ำเสียงของชายแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักมักจี่มาก่อน แต่ดูเหมือนวินจะให้ความสำคัญกับเขามาก เอื้อยสังเกตว่าคราวนี้วินให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษเสียด้วย
“พี่รู้สึกว่าวินเป็นคนน่ารักมาก ตั้งแต่พี่เล่นเอ็มมา ส่วนมากพวกผู้หญิงมักจะโกหก ให้ข้อมูลก็แต่งเรื่องต่างๆของตัวเองเสียเลิศเลอ พี่เลยนัดเจอ แต่พอรู้จักกันไปพี่ก็รู้ว่าเราไปด้วยกันไม่ได้”
“แสดงว่าพี่ก็เจ้าชู้น่ะสิคะ แล้วพี่จะมาหลอกวินไหมนี่”
“พี่กลัววินจะหลอกพี่มากกว่าน่ะสิ คำว่าเจ้าชู้อย่าใช้กับพี่เลย พี่ต้องการคนรู้ใจมากกว่า แต่พี่ไม่รู้ว่าความต้องการของน้องคืออะไร”
วินเงียบไปครู่หนึ่ง จิตใต้สำนึกรู้สึกผิด ตั้งแต่เธอเริ่มเข้าวงการเอ็ม เธอก็เหมือนน้องใหม่ในวงการทั่วไป แรกๆก็พูดคุยกันประสาเด็กซื่อๆคนหนึ่ง เมื่อผ่านร้อนผ่านฝนสั่งสมประสบการณ์มากขึ้น เธอก็เริ่มเจนจัดมากขึ้นในการปั่นหัวฝ่ายตรงข้าม
“วินไม่หลอกอะไรพี่หรอกค่ะ วินเองก็ต้องการคนที่รู้ใจเหมือนกัน แต่วินไม่ช่ำชองเหมือนพี่ตั๊กหรอกค่ะ วินไม่กล้าพอที่จะนัดบอดใคร”
“วินคิดว่าพี่จะทำมิดีมิร้ายน้องหรือ”
“ไม่ใช่ค่ะ วินเป็นผู้หญิงก็ต้องระวังตัวไว้ก่อนสิคะ”
“ไม่เป็นไร วินวางใจในตัวพี่เมื่อไหร่แล้วเราค่อยพบกันก็ได้ พี่ไม่รบกวนวินแล้วนะ หลับฝันดีนะครับ”
“เช่นกันค่ะ”
เสียงโทรศัพท์วางสายไปแล้ว วินรู้สึกไม่สบายที่ทำให้พี่ตั๊กเคืองใจ คืนนั้นเธอนอนไม่หลับเลยทั้งคืน ตัวเลือกสองข้อระหว่างขาดการติดต่อ กับยอมไปพบพี่ตั๊กตามนัด ทำไมมันถึงยากแบบนี้
“เธอจะไปพบคนที่ไม่เคยรู้จักหน้าค่าตามาก่อนจริงหรือ วิน”เอื้อยพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ
“เราคิดดีแล้ว เอื้อย เราฟังดูแล้วพี่เขาก็น่าจะเป็นคนดี ไม่มีพิษมีภัย ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเราเอาตัวรอดได้น่า”
“คิดให้ดีก่อนนะวิน เราเป็นผู้หญิงถ้าเกิดอะไรขึ้นก็มีแต่เสียกับเสียนะ”
“อือ..............”
เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำภายในห้างสรรพสินค้าให้ความรู้สึกสบายแก่ผู้มาใช้บริการ ตรงข้ามกับใจของหญิงสาวที่ร้อนผ่าวทั่วสรรพางศ์กาย ผู้คนเดินผ่านไปมานับร้อยพัน เสียงจอแจรอบตัว ไม่มีใครสังเกตเห็นอาการกระสับกระส่ายของวินเลย
“น้องวินใช่ไหมครับ”
“ค่ะ”วินหันไปทางต้นเสียง ชายหนุ่มเจ้าของความสูงร้อยแปดสิบเซ็นติเมตร ผิวขาว อายุประมาณยี่สิบสามปี หน้าตาหล่อเหลากว่าในรูปเสียอีก
นัดบอดครั้งแรกของวินเริ่มต้นไปได้ด้วยดี พี่ตั๊กเป็นคนอารมณ์ดี พูดคุยกันถูกคอ ทัศนคติหลายอย่างตรงกัน เขาเอาอกเอาใจเธอเป็นอย่างดี
“อาหารอร่อยไหมครับวิน”
“อร่อยมากค่ะ”
“เดี๋ยวเราไปดู...........................กันนะ พี่จองตั๋วหนังไว้แล้ว วินต้องชอบแน่เลย”
“ค่ะ”
ในขณะที่ภาพยนตร์ดำเนินเรื่องไป จิตใจของวินก็ฟุ้งซ่านไปกับการเริ่มต้นคบหากับชายหนุ่มที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน ภาพยนตร์จบไปแล้วแต่เธอยังคงนั่งนิ่งจนตั๊กสะกิดเธอเบาๆ
“วิน..หนังจบแล้วครับ”
“ค่ะพี่”
ตั๊กจับมือวินไว้แน่นในขณะที่เดินออกจากโรงภาพยนตร์
“ไปทานไอติมกันต่อนะครับ วิน”
“วินกลัวรถตู้หมดค่ะ หอพักปิดตอนสามทุ่มค่ะพี่”วินตอบด้วยน้ำเสียงกังวล
“แท็กซี่ก็มีไม่ใช่หรือครับ ถึงก่อนสามทุ่มแน่”
วินลังเลก่อนที่จะตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านไอศกรีมยี่ห้อดังที่วัยรุ่นนิยมไปทานกัน เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
“วินขอตัวไปโทรศัพท์หาเพื่อนก่อนนะคะ”
“ครับ”
“วินเหรอ เราเอื้อยนะ นี่จะสองทุ่มแล้วทำไมเธอยังไม่กลับอีกล่ะ วันนี้หอปิดสามทุ่มนะ”
“เราทานไอติมกับพี่ตั๊กอยู่ ทานเสร็จแล้วจะรีบกลับนะเอื้อย”
“อย่ากลับดึกล่ะ ระวังตัวด้วยนะเดินเข้ามาที่หอมืดๆค่ำๆน่ะ”
“ขอบใจจ้ะ เดี๋ยวพบกันที่หอนะ”
ทั้งสองทานไอศกรีมจนเวลาประมาณทุ่มสี่สิบห้า ทั้งสองเดินออกจากร้าน วินหันมามองหน้าตั๊กเพื่อจะกล่าวคำอำลา แต่ทว่าหน้าของพี่ตั๊กกลับค่อยๆเลือนรางลงเรื่อยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างดับวูบลง
“เฮ้ย....มึงกูเสร็จแล้ว เข้ามาต่อเลยว่ะ”
วินได้ยินทุกเสียง เสียงนั้นเธอจำได้ดีว่าเป็นเสียงของเทพบุตรเมื่อตอนกลางวันของเธอ ทว่าตอนนี้เขากลับเป็นสัตว์ร้ายที่ตรงรี่เข้าขย้ำเธอ เสียงลมหายใจหอบกระหายดังก้องหูเธอ แต่เธอไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากสัตว์ร้ายฝูงนี้ที่ฉีกขยี้ร่างของเธอ สูบความสาวของเธออย่างตะกละตะกลาม เมื่อตัวที่หนึ่งอิ่มหนำสำราญไปแล้ว ตัวที่สองก็ถาโถมเข้ามา แล้วก็จากไป....ตัวที่สาม...ตัวที่สี่...ตัวที่ห้า....
ร่างกายของหญิงสาวถูกฝูงสัตว์ร้ายบดขยี้จนหนำใจ เธอไม่มีโอกาสร้องขอชีวิตจากพวกมัน ดวงตาของเธอยังคงปิดสนิท หยาดน้ำตาของความเจ็บปวด ความสูญเสียเอ่อล้นออกมา
“คิดให้ดีก่อนนะวิน เราเป็นผู้หญิงถ้าเกิดอะไรขึ้นก็มีแต่เสียกับเสียนะ” เสียงของเอื้อดังขึ้นมาอีกครั้งในโสตประสาทของวิน
หยาดน้ำตาของความเจ็บปวด ความสูญเสียไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหลลงง่ายๆแม้ว่าฝูงสัตว์ร้ายจะละจากร่างเปลือยเปล่าของเธอไปแล้ว
“โอ้ว่าน่าเสียดายตัวนัก เพราะเชื่อลิ้นหลงรักจึงช้ำจิต
จะออกชื่อลือชั่วไปทั่วทิศ เมื่อพลั้งคิดผิดแล้วจะโทษใคร”
ศูนย์คอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
เคนชิโร่ : สวัสดีครับ
ทราย : สวัสดีค่ะ ชื่ออะไรคะ
เคนชิโร่ : ตั๊กครับ คุณชื่ออะไรครับ
ทราย : ทรายค่ะ



เรื่องสั้นเรื่องนี้ดัดแปลงจากเรื่องสั้นชนะเลิศการประกวดของข้าพเจ้าเมื่อปี ๒๕๔๕ ในสมัยที่การเล่นเพิร์ชเป็นที่นิยม เมื่อนำกลับมาปรับฝุ่นใหม่จึงต้องมีการดัดแปลงให้ร่วมสมัย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับดอกไม้และก้อนอิฐจากท่านผู้อ่านทุกท่าน

ตักบาตรสะเดาะเคราะห์


วิธีทำบุญแก้เคล็ดดวงชะตาที่เสียในเรื่องต่างๆนั้น ตำราโบราณกล่าวไว้ว่า หากคู่ครองไม่ดี เพื่อนไม่ดี ให้ใส่บาตรทำบุญในวันคู่มิตรคือ
วันอาทิตย์ คู่กับ วันพฤหัสบดี
วันจันทร์ คู่กับ วันพุธกลางวัน
วันอังคาร คู่กับ วันศุกร์
วันพุธกลางคืน คู่กับ วันเสาร์
และหากบริวาร ลูกน้อง บุตรธิดาตลอดจนผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ดีให้ใส่บาตรในวันเสาร์ หากผู้ใหญ่ เจ้านาย ผู้บังคับบัญชาตลอดจนพ่อแม่ไม่ดีให้ใส่บาตรในวันอาทิตย์

ตำราดูที่ตั้งบ้านเรือน


จะกล่าวถึงจอมปลวก อันเป็นพวกอยู่เรียงราย ที่ดีและที่ร้าย ท่านว่าไว้แต่ก่อนมี จอมปลวกอยู่ข้างออก อาจารย์บอกว่าอยู่ดี ทาสาทาสี หามาได้เพราะตนเอง จอมปลวกอยู่อาคเณย์ใน ไฟจะไหม้ไข้คลืนเคลง ถ้อยความเกิดมาเอง เร่งเจ็บไข้ไม่รู้วาย จอมปลวกอยู่ทักษิณ ลูกหลานหลินมิเป็นการ ภายหลังมักรำคาญ มันจะเบียนให้อัปรีย์ จอมปลวกอยู่หรดี แม้นจักมีทาสทาสา สิ่งสินหาได้มา ไว้ไม่คงอยู่กับตน จอมปลวกอยู่ปัจฉิม อาจารย์ชื่อว่าไร้เมีย ปลูกแล้วให้ลายเสีย ถ้าไม่ลายจะฉิบหาย จอมปลวกอยู่พายัพ เป็นอันดับแก่คนโฉด อยู่ไปนานจะเกิดโทษ เกิดพยาธิโรคา จอมปลวกอยู่อุดร รูปมังกรคาบเหรา ที่เรือนแห่งนั้นหนา ย่อมเป็นสุขแก่บุคคล จอมปลวกอยู่อิสาน อยู่ไปนานจะมีชัย ที่นั้นกันจังไหร ย่อมเป็นสุขแก่บุคคล.
(จากหนังสือ “คาถาตำรายาโบราณ” ของนายศรีนาก เมืองสุข ฉบับพิมพ์ปีพุทธศักราช ๒๔๙๓)

วิธีทำน้ำมนตร์พระจันทร์ ตำรับสมเด็จพระสังฆราช (แพ)




การทำน้ำมนตร์พระจันทร์ ท่านให้ทำเมื่อคืนวันเพ็ญยิ่งได้วันเพ็ญเดือนสิบสองแล้วเป็นดีมาก เมื่อเวลาจะทำนั้นต้องทำในขณะเมื่อพระจันทร์กำลังเพ็ญ (เวลาประมาณ ๒๔.๐๐ น.) และต้องให้เป็นในเวลาที่ไม่มีเมฆหมอกปิดบัง ต้องให้พระจันทร์ทอแสงสุกสกาว ท่านให้ตักน้ำใส่บาตรให้เต็มนำไปตั้งไว้กลางแจ้งแล้วจุดเทียนติดปากบาตรน้ำมนตร์นั้น จากนั้นจึงนั่งบริกรรมคาถาว่า
“ปุณณจันโท วิธานันติ วิสุทธิสาวโก วโร พุทโธ สัททัมมรังสี มุนิโน มัตถเกสุกัง”
บริกรรมจนดวงจิตเป็นสมาธิ จะว่าตามกำลังของวันหรือว่า ๑๐๘ คาบก็ได้ เสร็จแล้วให้เพ่งดูเงาพระจันทร์ที่ปรากฏในบาตรน้ำมนตร์นั้น แล้วหยดเทียนลงไปในบาตร เวลาหยดให้ภาวนาคาถาไปด้วย จากนั้นจึงอธิษฐานตามปรารถนา เมื่ออธิษฐานเสร็จให้ยกบาตรน้ำมนตร์นั้นขึ้นเทรดบนศีรษะรวดเดียวให้หมดบาตร น้ำมนตร์พระจันทร์นี้เป็นแบบฉบับของสมเด็จพระสังฆราช (แพ)วัดสุทัศน์เทพวราราม
เห็นว่าอีกไม่นานก็ใกล้จะวันเพ็ญเดือนสิบสองแล้ว เผื่อว่าใครต้องการจะไปทดลองเพื่อสร้างสิริมงคลแก่ตนเอง จึงนำมาจากหนังสือ “เวทย์มนตร์ ๑๐๘ ฉบับพิศดาร” รวบรวมและแต่งโดย สำนักงาน ส.ธรรมภักดี

ประวัติของนางอมิตตาปนะ


นางอมิตตาปนะนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นไกลก็คือเมียสาวแสนสวยของพราหมณ์เฒ่านามว่า “ชูชก”แต่ทางข้างหนังสือไทยใช้ชื่อเรียกว่า “นางอมิตดา”นั่นเอง ท่านเคยสงสัยกันหรือไม่ว่าหลังจากชูชกสวาปามจนท้องแตกตายแล้วนั่น เมียสาวแสนสวยของเขาเป็นอย่างไรต่อไป แม้ในหนังสือ “มหาเวสสันดรชาดก”ยังไม่มีการกล่าวถึงเลย จากหนังสือ “คัมภีร์โหราศาสตร์ไทยมาตรฐานฉบับสมบูรณ์”ของหลวงวิศาลดรุณกร (อั้น สาริกบุตร)ได้กล่าวถึงประวัติของนางอมิตดา ดังนี้
“............เกิดปีมะเมีย วันอาทิตย์ เดือน ๑๒ อ่อนกว่าชูชก ๔๑ ปี บิดาชื่อกุลพินทุพราหมณ์ มราดาชื่อมณีรัตนพราหมณี เมื่ออายุ ๑๖ ปีจึงได้เป็นเมียชูชก และที่เรียกว่าอมิตตาปนะ ซึ่งเป็นความหมายว่าเดือดร้อนและชังผัว...................................ผัวหนุ่มที่นางได้เมื่อชูชกตายแล้วชื่อ เหมปารุณพราหมณ์.....................” ทราบดังนี้แล้วฝากเผยแพร่กันต่อด้วยนะครับ เพื่อวรรณคดีไทยจะได้ยั่งยืนสืบไป

ปกิณกะสมพงศ์(หลักการทำนายเนื้อคู่)


ถ้าอยากรู้ว่าสามีภรรยาคู่นั้นจะอยู่ด้วยกันตลอดไปกี่ปี ท่านให้เอาอายุผัวเมียบวกเข้าด้วยกัน เอา ๗ หาร เศษนั้นนับเอา ๔ คูณ ถ้าได้เท่าใดจะอยู่ด้วยกันเท่านั้นปีแล

ผิวจะทายลูกในท้อง ให้เอาอายุพ่อแม่ทั้งสองบวกกันเข้า เอา ๓ คูณ เอา ๘ หาร ถ้าเศษ ๑,๓,๗ เป็นผู้ชาย ถ้าเศษ ๒,๔,๕,๖ เป็นผู้หญิง ถ้าเศษ ๐ เป็นกะเทยแล

เก็บตกมาจากหนังสือ“คัมภีร์โหราศาสตร์ไทยมาตรฐานฉบับสมบูรณ์”ของหลวงวิศาลดรุณกร (อั้น สาริกบุตร)นะครับ ลองเอาไปใช้ดู แม่นยำอย่างไรก็เอามาเล่าสู่กันฟังบ้างแล้วกัน

ความภาคภูมิใจของตระกูล “แซ่แต้”




คุณย่าของผมชื่อนางปทุม (ประทุม) แซ่แต้ นามสกุลเดิมว่า “โพธิ์ศรี” ชีวิตในวัยสาวของท่านตามที่ได้เล่าเมื่อยังมีชีวิตอยู่นั้นท่านเคยเป็นนางข้าหลวงในวังของหม่อมเจ้าอธิพรพงศ์ เกษมศรีและหม่อมเกสรบุปผา ซึ่งมีลูกเขยคือคุณอาภรณ์ อินทรปาลิต ผู้เขียนภาพปกหัสนิยายซึ่งพี่ชาย ( ป.อินทรปาลิต)เป็นคนแต่ง
ต่อมาเมื่อหม่อมเจ้าอธิพรพงศ์ เกษมศรีถึงแก่อนิจกรรมในปีพุทธศักราช ๒๕๐๘ ในวันงานพระราชทานเพลิงศพนั้นคุณพ่อของผมนั่งเล่นอยู่ในบริเวณงาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จฯผ่าน พระองค์ท่านทรงลูบศีรษะของคุณพ่อผมและตรัสว่า “เด็กคนนี้น่ารักดีนะ” (ตอนนั้นคุณพ่ออายุประมาณ ๕-๖ ขวบ) นึกถึงกี่ครั้งแล้วปลาบปลื้มใจทุกครั้งเลยครับ

บรรยากาศวันส่งพระเทศกาลกินเจ











ภาพบรรยากาศวันส่งพระเทศกาลกินเจที่ตะกั่วป่ายังคงมีผู้ศรัทธาอย่างคับคั่ง โดยในคืนวัน ๙ ค่ำซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลกินเจ หลังเวลาเที่ยงคืนซึ่งต้องดูตามฤกษ์ยามที่ได้กำหนดไว้ พิธีการในศาลเจ้าดำเนินต่อไปเรื่อยๆเมื่อเสร็จพิธีแล้วก็จะตั้งขบวนแห่ออกจากศาลเจ้าแล้วแห่รอบตลาดอีกครั้งหนึ่ง (ประมาณตีหนึ่ง)แล้วไปสิ้นสุดที่สะพานสวนสาธารณะทุ่งพระโพธิ์ ทำพิธีลอยเรือสำเภาส่งเทพเจ้าขึ้นสวรรค์ จากนั้นก็จะมีการจุดพลุชุดใหญ่เป็นสัญลักษณ์ของการส่งเทพเจ้าและสิ้นสุดเทศกาลกินเจ (บางปีพิธีเสร็จเกือบหกโมงเช้า แต่ปีนี้เร็วหน่อยตีสามครึ่งก็เสร็จแล้ว)
หลังส่งพระเสร็จตะกั่วป่าจะถูกปกคลุมด้วยความเงียบเพราะประชาชนที่ไปส่งพระต่างพากันนอนกลางวันเป็นส่วนใหญ่ เมืองที่เงียบเชียบจะกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่งก็ต่อเมื่อเทศกาลกินเจปีหน้าอีก

ชื่อลมทั้งแปดทิศ


ปาจิณวาต แปลว่า ลมปัตตะโพก
ปัจฉิมวาต แปลว่า ลมตะวันตก
อาคเณยวาต แปลว่า ลมศีรษะเขา
พายัพวาต แปลว่า ลมพัดหลวง
ทักษิณวาต แปลว่า ลมสำเภา
อุตราวาต แปลว่า ลมว่าว
หรดีวาต แปลว่า ลมสลาตัน
อิสาณวาต แปลว่า ลมอุตรา
สำหรับทิศทางการเกิดท่านเดาได้จากชื่อขึ้นต้นนะครับ

ยิ่งเรียนยิ่งโง่ (แล้วจะโทษใคร)


พ่อแม่ หวังพึ่ง พาเจ้า
ครูเล่า หวังให้ สร้างชื่อ
ชาติหวัง กำลัง ฝีมือ
เจ้าคือ ความหวัง ทั้งปวง
เดี๋ยวนี้ โลกเปลี่ยน ไปแล้ว
ลูกแก้ว พ่อแม่ เป็นห่วง
กลัวเจ้า จะหลง โลกลวง
หัวกลวง ล่อหลอก เจ้าไป
มือถือ แชทเน็ท แฟชั่น
กลกาม กระสัน เสียวไส้
ฤๅว่า กลียุค แล้วไซร้
หวังสิ่ง ใดได้ จากเจ้า
หนังสือ เสื้อผ้า ค่าขนม
ค่านิยม เลิกนม ดื่มเหล้า
สุรา นารี คละเคล้า
ใครเขา สอนเจ้า ดีจริง
หนังสือ อ่านไม่ แตกฉาน
บกลบ คูณหาร ละทิ้ง
ศีลธรรม จริยา ไม่ประวิง
เจ้าทิ้ง ความดี พี้ระยำ
พ่อแม่ หวังให้ ครูสอน
ครูอ่อน ท้อแท้ หวังพ่อแม่
แล้วเด็ก ใครเล่า ดูแล
ต้องช่วย แก้ไข ร่วมกัน

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ม้าทรงเจ้าแม่กวนอิม ณ ตำหนักพระโพธิสัตว์กวนอิม อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา







พระโพธิสัตว์กวนอิม (ประสูติ 19 เดือนยี่จีน) ชาติสุดท้ายเป็น ราชธิดานาม เมี่ยวซ่าน เดิมเป็นเทพธิดา มาจุติยังโลกมนุษย์เพื่อมาช่วยปลดเปลื้องทุกข์ภัยแก่มวลมนุษย์ เป็นราชธิดาองค์สุดท้ายของกษัตริย์ เมี่ยวจวง ซึ่งมีราชธิดา 3 องค์ องค์โตชื่อ เมี่ยวอิม องค์รองชื่อ เมี่ยวหยวน เยาว์วัยเป็นพุทธมามกะ รู้แจ้งในหลักธรรมลึกซึ้ง ตั้งพระทัยแน่วแน่จะบำเพ็ญภาวนา เพื่อหลุดพ้นสังสารวัฏ ออกบวชวันที่ 19 เดือน 9 พระเจ้าเมี่ยวจวงไม่เห็นด้วย จะบังคับให้เลือกราชบุตรเขย เพื่อจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป แต่เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านไม่สนพระทัยเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ อันจอมปลอม แม้จะถูกพระบิดาดุด่าอย่างไร องค์หญิงก็ไม่เคยนึกโกรธเคืองแต่อย่างใด
ต่อมาองค์หญิงสามได้ถูกขับไปทำงานหนักในสวนดอกไม้ เช่น หาบน้ำ ปลูกดอกไม้ ทั้งนี้เพื่อทรมานให้เปลี่ยนความตั้งใจ แต่ก็มีเหล่ารุกขเทวดามาช่วยทำแทนให้ทั้งหมด พระบิดาเมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล จึงรับสั่งให้หัวหน้าแม่ชี นำองค์หญิงสามไปอยู่ที่วัดนกยูงขาว และให้เอางานของแม่ชีทั้งวัดมอบให้องค์หญิงทำคนเดียว แต่องค์หญิงมีพระทัยเด็ดเดี่ยว ไม่เกี่ยงงานการต่างๆ ก็มีเหล่าเทพารักษ์มาช่วยทำแทนให้อีก พระเจ้าเมี่ยวจวงเข้าพระทัยว่า พวกแม่ชีไม่กล้าเคี่ยวเข็ญใช้งานหนัก ก็ยิ่งทรงกริ้วหนักขึ้น สั่งให้ทหารเผาวัดนกยูงขาวจนวอดเป็นจุณไป พร้อมกับพวกแม่ชีทั้งวัด มีแต่เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านเท่านั้นที่ปลอดภัยรอดชีวิตมาได้
พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงทราบดังนั้น จึงรับสั่งให้นำตัวราชธิดาไปประหารชีวิต เทพารักษ์คอยคุ้มครองเจ้าหญิงอยู่ โดยเนรมิตทองทิพย์เป็นเกราะห่อหุ้มตัว คมดาบของนายทหารจึงไม่อาจระคายพระวรกาย ดาบหักถึง 3 ครั้ง 3 ครา พระบิดาทรงกริ้วยิ่งนัก โดยเข้าพระทัยว่านายทหารไม่กล้าประหารจริง จึงให้ประหารนายทหารแทน แล้วรับสั่งให้จับเจ้าหญิงไปแขวนคอ ทว่าผ้าแพรที่แขวนคอก็ขาดสะบั้นลงอีก
ทันใดนั้นปรากฏมีเสือเทวดาตัวหนึ่งได้นำเจ้าหญิงขึ้นพาดหลังแล้วเผ่นหนีไปที่เขาเซียงซัน ต่อมา เทพไท่ไป๋ได้แปลงร่างเป็นชายชรามาโปรดเจ้าหญิง ชี้แนะเคล็ดวิธีการบำเพ็ญเพียรเครื่องดับทุกข์ จนสามารถบรรลุมรรคผลสำเร็จธรรม วันที่ 19 เดือน 6 ข้างฝ่ายพระบิดาเข้าพระทัยว่า เจ้าหญิงถูกเสือคาบไปกินเสียแล้ว จึงไม่ได้ติดใจตามราวีอีก
ต่อมาไม่นานบาปกรรมที่พระองค์ก่อไว้ส่งผล เกิดป่วยด้วยโรคร้ายแรง ไม่มียารักษาให้หายได้ เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านได้ทรงทราบด้วยญาณวิถีว่า พระบิดากำลังประสบเคราะห์กรรมอย่างหนัก ด้วยความกตัญญูกตเวทีเป็นเลิศ มิได้ถือโทษโกรธการกระทำพระบิดาแม้แต่น้อย ทรงได้สละดวงตาและแขนสองข้าง เพื่อรักษาพระบิดาจนหายจากโรคร้าย ว่ากันว่า ภายหลังสำเร็จอรหันต์ได้ดวงตาและพระกรคืน เคยแสดงปาฏิหารย์เป็นปางกวนอิมพันมือ องค์หญิงเมี่ยวซ่านนั้น ตอนแรกเป็นชาวพุทธ ตอนหลังเทพไท่ไป๋ได้มาโปรด ชี้แนะหนทางดับทุกข์ เหตุนี้พระโพธิสัตว์กวนอิมจึงเป็นเทพทั้งฝ่ายพุทธและฝ่ายเต๋าในเวลาเดียวกัน
จากภาพที่ผมได้นำมาอวดกันนั้นเป็ฯบรรยากาศในศาลเจ้าแม่กวนอิมที่อำเภอตะกั่วป่า ซึ่งองค์เจ้าแม่จะมีลักษณะที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตาอย่างยิ่ง ลองแวะมากินเจปีหน้าสิครับ ท่านคงจะรู้สึกเช่นเดียวกับผม

เรื่องเล่าเมื่อรัชกาลที่ ๕ ขึ้นครองราชย์ : “พ่อคุณ นี่พ่อจะได้อยู่สักกี่วัน”


อ่านเรื่อง “ความทรงจำ” พระนิพนธ์ในสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพแล้วประทับใจในเรื่องเล่าจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยตรัสเล่าถึงเรื่องหนึ่ง ซึ่งควรรักษาไว้ไม่ให้สูญหายคือ วันสรงน้ำพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระองค์ (รัชกาลที่ห้า)ทรงพระเก้าอี้ผ่านไปในห้องพระฉนวนพระอภิเนาวนิเวศน์อันภรรยาข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยคอยเฝ้าอยู่ เวลานั้นทรงพระประชวรมากแต่ได้พระสติแล้ว ได้ยินเสียงท่านผู้หญิงพัน ภรรยาเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์พูดขึ้นเมื่อผ่านพ้นพอไปว่า “พ่อคุณ นี่พ่อจะได้อยู่สักกี่วัน”
แต่ท้ายที่สุดท่านผู้หญิงพันถึงแก่อนิจกรรมในปีพุทธศักราช ๒๔๔๐ ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในปีพุทธศักราช ๒๔๕๓ เรื่องนี้คล้ายกับเรื่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับหม่อมเจ้าทินกรดังได้กล่าวมาแล้วในเรื่อง “พระพุทธเจ้าหลวงสอนลูก”

องคชาติขันทีคืนชีพ



เคยเขียนเรื่อง “ยาแก้เพศขันที”วันนี้ไปค้นหนังสือพงศาวดารจีนมาอีกเรื่องคือ “ไฮ้สุย” (ไต้อั้งเผ่า-เซียวอั้งเผ่า) ก็มีเรื่องราวของการจัดระเบียบราชสำนักฝ่ายในโดยเฉพาะพวกขันทีของตัวเอกในเรื่องคือ ท่านไฮ้สุย (ไห่รุ่ย) ฉายาเปาบุ้นจิ้นหน้าขาว ความว่า
“อยู่มาวันหนึ่งจึงนึกขึ้นได้ จึงแต่งเรื่องราวฉบับหนึ่งมีความว่า พวกขันทีที่อยู่ในพระราชวังมีมาก แต่ขันทีที่เป็นผู้ใหญ่สูงอายุมีอยู่สักสองร้อยเศษ นอกนั้นก็แต่ล้วนหนุ่มๆได้ตรวจตราดูแลก็แต่เมื่อแรกเข้ามารับราชการคราวเดียวเท่านั้น.............ข้าพเจ้าวิตกด้วยนางพระสนมอยู่ในพระราชวังมีมากนับด้วยพัน แม้นพวกขันทีเหล่านี้มีเพศบุรุษเจริญออกทำการร้ายขึ้นแล้ว ถ้ารู้ไปในประเทศต่างๆก็เป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ข้าพเจ้าเห็นว่าถ้าชำระเอาตัวพวกขันทีมาตรวจดูเสียให้ถ้วนถี่ทุกคนสักคราวหนึ่ง แม้นมีเพศบุรุษเสมอแต่เพียงชุนหนึ่งคือนิ้วและต่ำลงมากว่านั้นให้งดเสีย ถ้ามีเพศบุรุษงอกงามเจริญมากออกไปกว่าชุนก็ให้ตัดเสีย”
เรื่องราวนี้ปรากฏอีกแห่งในภาพยนตร์ซีรี่ส์เกาหลีทางช่องสามคือ “บันทึกรักคิมชูซอน สุภาพบุรุษมหาขันที” ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราไม่รู้ ท่านผู้อ่านท่านใดมีอะไรดีๆก็เข้ามาโพสท์ในกลุ่ม “ร้อยคำหอม”ได้นะครับ การให้ธรรมย่อมชนะการให้ทั้งปวง
อยากทราบเรื่องราวต่อไปค้นคว้าได้ในหนังสือ “ไฮ้สุย (ไต้อั้งเผ่า-เซียวอั้งเผ่า) เล่มสาม.องค์การค้าของคุรุสภา.กรุงเทพฯ.๒๕๑๖.หน้า ๘๕”

เล่าขานตำนานวัดคงคาภิมุข







ตามตำนานกล่าวว่า พ่อท่านเจ้าฟ้านั้นเดิมมีขนาดองค์เล็กกว่าที่เห็นในปัจจุบัน มีชาวจีนคนหนึ่งทำมาหากินอย่างลำบาก จึงได้มาบนบานต่อองค์พ่อท่านว่า ถ้าตนเองทำมาค้าขายร่ำรวย มีความสุขสบาย จะมาบูรณปฏิสังขรณ์วัดและองค์พ่อท่าน ต่อมาคำขอของชายชาวจีนนั้นเป็นความจริง เขาจึงได้นำปูนปั้นมาหุ้มองค์พ่อท่านเจ้าฟ้าองค์เดิมไว้
อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า ประมาณปีพุทธศักราช ๒๒๗๕ รัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระเมื่อพระองค์สวรรคตลง ไม่ได้มอบราชสมบัติให้แก่ผู้ใด พระโอรสคือเจ้าฟ้าอภัยและเจ้าฟ้าปรเมศวร แย่งชิงราชสมบัติกันเองเกิดเป็นศึกกลางเมือง บรรดาเชื้อพระวงศ์ต่างหลบหนีราชภัยออกจากกรุงศรีอยุธยา ในกาลครั้งนั้นมีเชื้อพระวงศ์ชั้นเจ้าฟ้าพระองค์หนึ่งได้หลบหนีมาทางเมืองตะกั่วป่า จึงทำการผนวชที่วัดคงคาภิมุข และได้สร้างอุโบสถพร้อมทั้งพระประธาน ชาวเมืองตะกั่วป่าขนานนามตามผู้สร้างซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นเจ้าฟ้าว่า “สมเด็จท่านเจ้าฟ้า” และเพิ่มเติมเป็น “พ่อท่าน” ตามคำเรียกขานเจ้าอาวาสที่มีอายุอย่างคำไทยถิ่นใต้
สำหรับความศักดิ์สิทธิ์ของพ่อท่านเจ้าฟ้านั้นเป็นที่ร่ำลือกันมาหลายชั่วคน โดยผู้ที่พ่อท่านให้พรจนสมหวังดังที่ต้องการแล้วต้องทำน้ำชุบหมกกับข้าวต้มมาเป็นของแก้บนนะครับ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้สัมผัสพุทธปาฏิหาริย์ของพ่อท่านแล้วครับ