ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติม...ที่นี่

Custom Search

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

อนาถการศึกษาไทย : ชีวิต (ครู )ติดตาราง



นับแต่ปฏิรูปการศึกษาไทยเป็นต้นมาเกือบจะครบทศวรรษแล้วนั้น ถามหน่อยสิว่าเราได้สิ่งดีกับสิ่งไม่ดีด้านไหนมากกว่า ใช่ว่าผมเขียนบทความนี้เพื่อจะโจมตีคนในวงการเดียวกัน แต่ทว่าความคิดบ้าๆของพวกนักวิชาการทางการศึกษาที่ได้แต่คิด แต่ไม่ใช่ผู้ปฏิบัตินั้นมันทุเรศเกินกว่าจะรับได้ แล้วคนที่ต้องเดือดร้อนมากที่สุดคือใคร ก็คือ “ครู”ที่ต้องสนองนโยบายขายฝันของพวก “เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ”เหล่านั้น บทความนี้จะขอยกตัวอย่างเรื่องของ “ตาราง” หรือ “แบบฟอร์ม” ปัญญาอ่อนนานาชนิดขึ้นมาก่อนนะครับ

เวลาที่ สมศ. เข้าประเมินโรงเรียนเราจะเห็น “จำนวนยกเมฆ ตัวเลขจอมปลอม”มากมายปรากฏขึ้นทั้งที่ในความเป็นจริงเกิดจากการตกแต่งตัวเลขให้วิลิศมาหรากันเองในหมู่ครู

ครูที่มีหน้าที่หลักในการให้ความรู้แก่ศิษย์จึงต้องเอาชีวิตมาติดกับตารางการประเมินและแบบฟอร์มนานาชนิดดังที่ตั้งชื่อบทความไว้ ซึ่งแต่ละโรงเรียนก็คงมีแบบฟอร์มหรือตารางการประเมินปัญญาอ่อนเหล่านี้อยู่ในมือทั้งสิ้น เพราะถ้าเราเช็คตามสภาพจริงก็ไม่ได้เพราะอาจจะส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ต่างๆของโรงเรียน ก็เลยต้องปรับแต่งตัวเลข อย่างง่ายๆเช่น เกรดหนึ่งและสองต้องน้อยๆ ให้เกรดสามและสี่มากๆ ทั้งๆที่เด็กบางห้องอย่าว่าแต่เกรดหนึ่งเลย คะแนนไม่ถึงครึ่งหนึ่งก็ยังต้องกัดฟันให้เกรดสอง-สามตามนโยบายของโรงเรียน

และผลสุดท้ายเมื่อนักเรียนไปสมัครเรียนต่อในชั้นที่สูงกว่าก็จะมีคำด่าตามหลังมาว่า “นี่เธอได้เกรดสี่วิชา............มาได้ยังไง ทั้งๆที่อ่านหนังสือไม่ออก คูณหารไม่คล่อง เขียนเอถึงแซดไม่เป็น”เคยมีประสบการณ์แบบนี้บ้างไหมครับ แถมผู้ปกครองบางคนก็หลงเชื่อและชื่นชมกับ “เกรดยกเมฆ เลขคะแนนตกแต่ง”จนมาตำหนิครู ม.๑ว่า “ลูกฉันตอนประถมเรียนได้เกรดสาม-สี่ ทุกวิชามาตลอด ทำไมพอมาขึ้น ม.๑ ถึงมีแต่เกรด ๑ แถมติดศูนย์อีกตะหากล่ะคะ” รู้บ้างไหมว่าครูประถมถูกครูมัธยมด่าฝากนักเรียนที่คุณเคยสอนมาแล้วทุกปีครับ

ลองคิดดูถึงตัวครูเองสิครับว่าในหนึ่งวันนั้นจะต้องติดอยู่กับตารางอะไรบ้าง

ตารางสอน ( อันนี้จำเป็นต้องติด )
ตารางเวรสวัสดิการประจำวัน เช่น ยืนหน้าประตูโรงเรียน , รักษาความสะอาดบริเวณที่ได้รับมอบหมาย
ตารางสำรวจจำนวนนักเรียนที่มาโรงเรียนสาย
ตารางสำรวจนักเรียนที่ไม่รับประทานอาหารเช้าและเที่ยง
ตารางสำรวจนักเรียนเล็บยาว ,ผมยาว,แต่งกายไม่เรียบร้อย
ตารางตรวจสุขภาพในช่องปาก ว่ามีฟันผุกี่ซี่ ซี่ไหนบ้าง มีคราบหินปูนกี่ซี่ โรคเหงือกกี่คน
ตารางบันทึกพฤติกรรมนักเรียน
ตารางสำรวจนักเรียนแปรงฟันหลังรับประทานอาหารเที่ยง
ตารางประเมินนักเรียนทั้งการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน
ตารางประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (สำรวจแม้กระทั่งการใช้ห้องสุขาของนักเรียน)
ตารางบันทึกจำนวนสถิติการป่วย ลา ขาด ของนักเรียน
ตารางบันทึกการทำความดีของนักเรียน
ตารางบันทึกการอบรมคุณธรรม-จริยธรรม
ตารางบันทึกการทำเวรต่างๆของนักเรียน
ตารางการทำความสะอาดบริเวณโรงเรียนที่รับผิดชอบของนักเรียน
ตาราง/แผนผังแสดงการเดินทาง/ที่ตั้งบ้านที่อยู่อาศัยของนักเรียน
ตารางสำรวจความเป็นอยู่ของครอบครัวนักเรียน เช่น พ่อแม่อยู่ด้วยกัน , พ่อแม่หย่าร้าง , อยู่กับพ่อหรือแม่ , อยู่กับบุคคลอื่น , ฯลฯ
ตารางประเมินต่างๆในการสอน บางครั้งใน ๑ ชั่วโมงครูอาจต้องบันทึกถึง ๓ ตารางเลย เช่น ตารางบันทึกคะแนน , ตารางการประเมินทักษะกระบวนการกลุ่ม , ตารางวัดเจตคติในชั่วโมงนั้นๆตามจุดประสงค์การเรียนรู้
ตารางสำรวจหรือแบบบันทึกอะไรๆอีกสารพัดตามแต่ว่าผู้บริหารหรือนักวิชาการจะคิดได้นับ ๑๐๘ ตาราง

ตารางต่างๆเหล่านี้มีความจำเป็นครับ แต่ท่านคิดว่าครูประจำชั้น ๑-๒ คนจะมีเวลามาสำรวจตามตารางเหล่านี้ครบถ้วนหรือครับ และปัญหาส่วนใหญ่สำหรับตารางเหล่านี้คือ ส่วนเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนกันนั่นเอง บางครั้งเราต้องกรอกเนื้อหาเดิมๆลงในตารางที่เปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ ทำให้ครูต้องเสียเวลาทำงานซ้ำซ้อนกัน และบางตารางมันไร้สาระเสียจนไม่น่าเชื่อว่าเราต้องมาเอาใจใส่ในเรื่องนั้น อย่างเช่น ทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็ต้องมีการเซ็นชื่อ มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถประเมินประสิทธิภาพในการทำงานได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสิ่งนั้น ทั้งที่บางครั้งเป็นแต่ของที่ครูเนรมิตขึ้นมาเองทั้งสิ้น ไม่ใช่จากการทำจริงๆ ในขณะที่ครูบางคนที่เขาปฏิบัติจริงแต่ไม่ได้มีหลักฐานต่างๆเหล่านี้ กลับถูกตำหนิว่า ไม่มีผลงานอะไรที่เป็นหลักฐานอ้างอิงได้เลย

ขอเตือนสติผู้ที่ประกอบอาชีพครูเลยนะครับว่า ที่ผู้ปกครองส่งนักเรียนมาให้อยู่ในความดูแลของเราก็เพื่อ “ต้องการให้ลูกหลานของเขาอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น มีคุณธรรม สามารถออกไปเป็นประชากรที่มีคุณภาพของสังคมได้ มีอาชีพดีๆทำ มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น” เท่านั้นเอง ไม่ใช่ส่งลูกหลานมาช่วยให้ครูทำวิทยฐานะผ่านเพื่อให้ได้รับเงินประจำตำแหน่งหรือให้ผู้บริหารนำผลงานนักเรียนไปประกอบการพิจารณาเพื่อให้ได้รับการยกย่องทางวิชาการแต่นักเรียนไร้คุณภาพเดินเพ่นพ่านแบบ “กบในกะลา”เต็มโรงเรียน อย่าไปบ้าจี้ตามมากนะครับ แค่ในทุกวันนี้พ่อพิมพ์แม่พิมพ์ก็ผลิตเยาวชนที่บกพร่องทางสติปัญญาและคุณธรรมออกสู่สังคมมามากเหลือเกินแล้ว หยุดทำร้ายอนาคตของชาติกันเสียที

สำมนักขาหายไปไหน



รามเกียรติ์เป็นเรื่องราวของพระนารายณ์อตารลงมาปราบยักษ์คือทศกัณฐ์ แต่พระรามคงไม่โมโหโกรธาจนถึงกับยกพลไปรบกับทศกัณฐ์ หากขาดชนวนคือ “การชิงนางสีดา” ตัวละครที่เป็นตัวสร้างปมปัญหาและเปิดฉากเรื่องรามเกียรติ์ให้ดำเนินไป คือ นางสำมนักขา บทบาทของนางโดเด่นในตอนต้นเรื่อง แต่ทว่าหลังทศกัณฐ์ล้มแล้วนางหายไปไหน หรือผู้แต่งลืม

หลังจากเกิดปริศนาข้อนี้จึงได้ตรวจทานอีกรอบ บทบาทของนางหายไปตั้งแต่ตอนบรรยายความงามของนางสีดาให้ทศกัณฐ์ฟัง พบเพียงการเอ่ยถึงตอนศึกกุมภกรรณและได้ปรากฏตัวครั้งสุดท้ายในตอนเสร็จศึกทศกัณฐ์ในช่วงที่พิเภกทูลเชิญนางสีดาเข้าเฝ้าพระราม จะขอยกบทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ รัชกาลที่ ๑ มาให้ท่านพิจารณาประกอบ

“เมื่อนั้น
ฝ่ายนางมารสำมนักขา
แจ้งว่าญาติวงศ์ในลงกา
พากันไปเฝ้าพระจักรี

ให้คิดรำคาญร่านร้อน
จะซ่อนตัวอยู่เล่าก็ใช่ที่
อกใจไม่เป็นสมประดี
ดั่งมีผู้พิฆาตฟาดฟัน

ความกลัวเพราะตัวเป็นต้นเหตุ
ทุกข์เทวษโศกีไม่มีขวัญ
ด้วยโทษนั้นผิดติดพัน
เร่งประหวั่นพรั่นใจไปมา

จำเป็นจะพลอยไปด้วยเขา
บุญเล่าจะสมปรารถนา
เกลือกว่าพระลักษมณ์พระจักรา
จะมีความเมตตาปรานี

คิดแล้วฉวยได้สไบบาง
เดินพลางทางเสยเกศี
ลงจากปราสาทมณี
อสุรีก็รีบตามมา

ครันทันท้ายพลกระบวนแห่
เหลียวแลลนลานซ้ายขวา
ความกลัวองค์นางสีดา
ทำตาขวางขวางรีรี

ดูดั่งว่าคนเสียจิต
ไม่เข้าชิดฝูงนางสาวศรี
เดินอยู่ผู้เดียวโดยอัปรีย์
มิได้พาทีด้วยใครใคร”

เมื่อเปิดรามเกียรติ์ รัชกาลที่ ๒ ก็พบนางสำมนักขาในตอนเดียวกันนี้เช่นกัน คือ

“บัดนั้น
นางสำมนักขายักษี
รู้ว่าวงศาอสุรี
ไปเฝ้าพระจักรีที่พลับพลา

ให้นึกกลัวด้วยตัวเป็นต้นเหตุ
พระราเมศไม่อินังชังหนักหนา
ครั้นมิไปไม่พ้นพระอาญา
เธอจะทารกรรมทำประจาน

จำจะออกไปเฝ้าด้วยเขามั่ง
จะได้ฟังผ่านฟ้าว่าขาน
เผื่อจะหายกริ้วโกรธโปรดปราน
เป็นแต่เพียงพนักงานก็สมคิด

ดำริแล้วแต่งองค์ทรงเครื่อง
ย่างเยื้องยักไหล่ใส่จริต
เดินดูตัวเองเพ่งพิศ
รำพึงคิดถึงพระรามมาตามทาง

ครั้นทันท้ายพลกระบวนแห่
ค่อยเลียบเคียงเลี่ยงแลอยู่ห่างห่าง
ก้มก้มเงยเงยเสยผมพลาง
ให้กลัวนางสีดานารี

เข้าปนเหล่าสาวสรรค์กำนัลใน
จะพูดจากับใครเขาเมินหนี
ยิ่งขวยเขินเดินสะดุดปัถพี
อสุรีก้มหน้าคลาไคล”

ทั้งที่นางสำมนักขาเป็นตัวละครสำคัญผู้จุดชนวนศึกยักษ์กับมนุษย์จนกลายเป็นมหากาพย์อันยิ่งใหญ่ แต่ก็ยังกลับทิ้งปริศนาข้อนี้ไว้ ใครพอจะทราบว่านางสำมนักขาหายไปไหน มีชะตาชีวิตอย่างไรบ้าง โปรดแจ้งให้ทราบด้วยนะครับ จะขอบคุณอย่างยิ่ง

( ตัดความจากบทความ “สำมนักขาหายไปไหน” ของผมซึ่งได้ตีพิมพ์ในนิตยสารต่วยตูนเล่มเล็ก เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖)

หมุนไปตามลมปาก



ตอนเรียนชั้น ม.๑ จำได้ว่ามีบทเรียนภาษาไทยเรื่อง “หมุนไปตามลมปาก” จำเนื้อเรื่องได้คร่าวๆว่า มีพราหมณ์ผู้หนึ่งนำแพะแบกขึ้นหลังเพื่อนำไปบูชายัญเทพเจ้า บังเอิญพราหมณ์ผู้นั้นเดินผ่านกลุ่มนักเลงสุราซึ่งกำลังเสพน้ำเมากันอย่างสนุกสนาน กลุ่มนักเลงสุราเห็นแพะบนหลังพราหมณ์ก็มีอยากจะเอามากินแกล้มสุรา จึงวางอุบายให้แต่ละคนไปดักพราหมณ์ตลอดเส้นทางไปยังวิหารเทพเจ้าและเมื่อพราหมณ์ผู้นั้นเดินผ่านก็ให้แสร้งทำกิริยาเป็นหัวเราะเยาะพราหมณ์และกล่าวว่า

“นี่ท่านเป็นพราหมณ์ประสาอะไร เหตุไฉนจึงนำสุนัขแบกขึ้นหลังเล่า”

ครั้งแรกพราหมณ์เห็นว่าเป็นคนเมาจึงไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อผ่านคนเมาคนที่สอง คนที่สาม คนที่สี่ พราหมณ์นั้นก็มีอาการลังเล จนกระทั่งถึงคนเมาคนที่สิบพราหมณ์ก็นำแพะลงจากหลังแล้วก็ขับไล่ไปด้วยคิดว่าสัตว์ที่ตนแบกมาคือสุนัขจริงดังที่นักเลงสุราทัก กลุ่มนักเลงสุราจึงจับแพะนั้นมาทำเป็นกับแกล้มสมดังความปรารถนา

อิทธิพลของคำพูดนั้นสำคัญยิ่งนัก สามารถเปลี่ยนแพะให้กลายเป็นสุนัขได้ แล้วในโลกปัจจุบันทำไมจะกลับขาวเป็นดำหรือกลับดำเป็นขาวมันจะยากอะไร

“เสาศิลาห้าศอกตอกเป็นหลัก ถูกคนผลักทุกวันยังสั่นไหว” คำโบราณยังมีไว้เช่นนี้เลย นับประสาอะไรกับก้อนเนื้ออ่อนๆเท่ากำปั้นที่มันจะมั่นคงสักเพียงใด ขอให้คุณเข้มแข็งเข้าไว้ หากคิดว่าตัวเองทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้วก็ทำไปเถิด อย่าได้ไปสนใจกับพวกปากหอยปากปูที่จ้องแต่จะประหัตประหารคนอื่นด้วยวาจา ตายไปก็ต้องไปตกบ่อโสโครก พออ้าปากทีหนึ่ง อุจจาระ ปัสสาวะและสิ่งโสโครกก็เข้าปากทีหนึ่ง หรือไม่เวลาพูดก็มีหนอนหลุดออกมาจากปาก ชอนไชช่องปากให้ได้รับทุกขเวทนา

จงสนใจสังคมแต่พอประมาณ อย่าให้สังคมมาเป็นตัวบงการชีวิตคุณมากเกินไปจนกลายเป็นหุ่นชักใยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเอง ไม่เช่นนั้นแล้ว คุณจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง

ชีวิตของม้าทรง



ไม่ใช่ว่าอยากเป็น แต่มีเหตุให้เป็นจึงต้องรับหน้าที่ม้าทรงจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ม้าทรงในที่นี้คือ ร่างทรงของเทพเจ้าจีนซึ่งจะลงมาประทับร่างม้าทรงทุกๆเทศกาลกินเจหรือในโอกาสต่างๆตามแต่เทพเจ้าที่ประจำร่างม้าทรงนั้น แล้วคนแบบไหนล่ะที่จะได้เป็นม้าทรง

๑. เป็นผู้มีบุญที่เทพเจ้าเลือกแล้ว แม้จะอยู่ไกลเพียงใด แต่อาการของคนจะเป็นม้าทรงจะบอกเอง คือ จะมีอาการสั่น ตบโต๊ะ หัวเราะเสียงดังลั่นราวกับนักรบจีนสมัยโบราณ หรืออาจจะมีอาการสั่นศีรษะเบาๆกรณีที่เป็นเทพสตรี

๒. คนที่ชะตาขาดแล้วเทพเจ้าช่วยเหลือต่อชีวิตให้ ดังนั้นเมื่อถึงเทศกาลกินเจก็ต้องเป็นม้าทรง เช่น น้าสาวของผมซึ่งขี่รถจักรยานแล้วชนรถสิบล้อแต่ทว่าเหมือนกับมีลมผ่านตัวไปเท่านั้น

๓. คนที่เคยบนบานสานกล่าวไว้ว่าจะยอมเป็นม้าทรง

๔. บางคนอยู่ดีๆก็อาจถูก “พระจับ” เช่นเดินๆอยู่ในงานกินเจก็มีอาการเหมือนเจ้าประทับทรงก็ต้องยอมเป็นม้าทรง

๕. คนที่มีองค์เทพคุ้มครอง บางครั้งไม่จำเป็นต้องเป็นม้าทรงแต่ต้องบูชาเทพองค์นั้น แต่บางครั้งก็ต้องให้เทพลงประทับทรง

ชีวิตของคนที่เป็นม้าทรงจะเกี่ยวข้องกับศาลเจ้าไปโดยปริยาย ม้าทรงแต่ละคนจะต้องมีพี่เลี้ยง คือคนดูแลในเรื่องต่างๆ เช่น การเปลี่ยนเสื้อผ้า การนำไปทำพิธีต่างๆ ถืออาวุธหรือสิ่งของต่างๆ และม้าทรงจะต้องถือศีลกินเจ ไปทำความสะอาดศาลเจ้า เวลาศาลเจ้ามีวันเกิดเทพเจ้าต่างๆก็ต้องเข้าร่วมงาน และที่สำคัญม้าทรงมีหน้าที่เป็นตัวแทนของเทพเจ้าในการช่วยเหลือมนุษย์ เช่น คนป่วย ,คนมีเคราะห์ , คนที่มีปัญหาทางจิตใจ

( บทความนี้เขียนตามความเข้าใจและประสบการณ์ของตนเองในฐานะที่มีญาติส่วนใหญ่เป็นม้าทรงและมีประสบการณ์ได้รับความช่วยเหลือจากองค์เทพเจ้ามาหลายครั้ง หากมีข้อผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย )

เรื่องสั้น : รักไม่รางเลือน (ตอนที่ ๑)



มนัสยายังคงนั่งมองนอกหน้าต่างของตู้ขบวนรถไฟไปเรื่อยๆ ทิวทัศน์สองข้างทางแม้จะงดงามเพียงใดก็ไม่อาจสร้างรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าของเธอได้ แววตาของการโหยหาคืนวันอันแสนหวานในอดีตที่ไม่อาจย้อนคืนมาแจ่มชัดขึ้นในมโนภาพของเธอ

“มนัสยา” ธิดาหัวแก้วหัวแหวนของคุณหลวงผู้มั่งคั่งท่านหนึ่งของเมืองสงขลาตัดสินใจขึ้นไปศึกษาต่อที่พระนคร หลังจากที่ “ธันวา” เสมียนหนุ่มในบริษัทของคุณหลวงผู้เป็นบิดาถูกบังคับให้แต่งงานกับ “บุษราวดี” ธิดาสุดที่รักของเถ้าแก่เจ้าของท่าเรือผู้มั่งคั่งอีกท่านหนึ่งของเมืองสงขลาเช่นกัน และที่สำคัญธันวายังแอบไปสร้างพยานรักกับบุษราวดีอย่างลับๆทั้งที่ขณะนั้นเขาสัญญาว่าจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอมนัสยาหลังจากที่เธอเรียนจบจากโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด

“ผ้าพันคอพันผูกใจไว้เคียงคู่
ต่างตาดูต่างไอรักสมัครสมาน
ฝากนวลน้องถนอมแนบต่างดวงมาน
แม้สิ้นกาลโลกดับรักมิคลาย”

มนัสยาบรรจงหยิบผ้าพันคอสีฟ้าอ่อนที่ธันวาได้มอบให้เธอเมื่อครั้งงานแห่ผ้าขึ้นห่มพระเจดีย์บนเขาตังกวนขึ้นมาลูบคลำเบาๆ แม้แปดปีที่พัดพาสีสันของผืนผ้าให้ซีดจางลงแต่ก็ไม่ได้พัดพาอดีตแห่งรักของมนัสยาที่มีต่อธันวาให้ลดลงไปแม้แต่น้อย

“มนัสยา เธอก็รู้อยู่แล้วว่าธันวาน่ะเขามีลูกกับบุษราวดีแล้ว เธอก็ยังจะไปงมงายกับความรักจอมปลอมนี้อีกทำไม” ศิริโฉมในชุดนักเรียนเดินถือกระเป๋าเคียงกันมากับมนัสยาจนเกือบถึงหน้าประตูโรงเรียนกล่าวอย่างฉุนเฉียว

“ศิริโฉม มันเป็นเรื่องของความรู้สึกเธอไม่มีวันเข้าใจหรอก” ดวงตาแดงก่ำปรากฏรอยน้ำตาเอ่อท้นออกมา ศิริโฉมเพิ่งสังเกตเห็นว่าดวงตาของเพื่อนสาวนั้นคงผ่านการร้องไห้มาตลอดคืน แต่เธอไม่ได้สังเกตเลยตลอดเวลาเรียนวันนี้

“จ้ะ ฉันน่ะไม่เข้าใจความรู้สึกของเธอหรอก แม่จินตหราวาตี แต่ฉันขอพูดหน่อยแล้วกันนะว่า ธันวาน่ะเขาไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับเธอหรอก เขาแค่ต้องการใช้เธอเป็นสะพานทอดไปสู่ความก้าวหน้าของเขาตะหาก แต่บังเอิญแม่บุษราวดีน่ะอาสาไปเป็นสะพานให้เขาเสียก่อน” ศิริโฉมร่ายยาวระบายความคิดที่อัดอั้นในใจออกมาก่อนที่จะตัดสินใจออกเดินกระฟัดกระเฟียดไปยังรถเก๋งคันงามที่คนขับรถประจำบ้านรออยู่หน้าประตูโรงเรียน

คำพูดของศิริโฉมก้องอยู่ในโสตประสาทของมนัสยามาตลอด หากแต่ความรักทำให้ดวงตาของหญิงสาวบอดเสียสิ้นแล้ว ความไร้เดียงสา อ่อนต่อโลกประจวบกับธันวาเป็นชายหนุ่มคนแรกที่เข้ามาอยู่ในหัวใจเธอ มนัสยาก็เลือกที่จะสร้างรักลวงตาขึ้นในจินตนาการมาโดยตลอด

แปดปีที่พระนคร ภาพของมนัสยาและธันวาขี่จักรยานเล่นหยอกล้อกันที่หาดสมิหลา , ภาพการไหว้พระอธิษฐานขอพรต่อพระประธานในโบสถ์วัดมัชฌิมาวาสร่วมกัน , ภาพของร้านไอศกรีมเจ้าอร่อยเมื่อครั้งงานสมโภชศาลหลักเมืองที่ชายหนุ่มพาเธอไปรับประทาน และอีกนับร้อยๆภาพยังคงตามไปหลอกหลอนเธออยู่ทุกค่ำคืนที่แสนจะหนาวเหน็บแม้กลางเดือนเมษายน

จดหมายของศิริโฉมซึ่งตอนนี้เธอกลายเป็นภรรยาของเศรษฐีเหมืองแร่เมืองภูเก็ตคนหนึ่งยังคงส่งข่าวคราวของธันวามาให้เธอรับทราบเสมอ เหมือนกับเธอยังคงอยู่เคียงข้างธันวาตลอดเวลา มนัสยาหยิบจดหมายฉบับล่าสุดที่ศิริโฉมเพิ่งส่งมาให้เธอเมื่อเจ็ดวันก่อน แปดปีที่จากสงขลา วันนี้เธอจะหวนกลับไปที่นั่นอีกครั้ง และคงอีกนานกว่าเพื่อนๆที่พระนครจะได้พบเธอ

ผู้คนที่โดยสารมาในตู้ขบวนเดียวกับเธอผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆตลอดเส้นทาง จะมีแต่ชายชราผมสีดอกเลาในชุดราชปะแตนสีมอๆแต่ใบหน้าท่าทางยังคงฉายความมีอำนาจในครั้งอดีตที่นั่งกอดห่อผ้าขาวไว้แน่นโดยมีหญิงสาวในชุดย่าหยาอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกันกับเธอนั่งจับมือชายชราด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงอย่างชัดเจนเท่านั้นที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมตลอดการเดินทาง

แสงเงินแสงทองเริ่มทอทาบขอบฟ้าสีสดใสในเช้าวันใหม่ ณ เมืองหาดใหญ่ มนัสยาถือกระเป๋าเดินทางหวายถักขนาดกะทัดรัดไปยังขบวนรถไฟต่อเข้าไปในตัวเมืองสงขลา โดยมีชายชราและหญิงสาวผู้ร่วมตู้ขบวนเดียวกับเธอจากพระนครเดินนำหน้าลิ่วๆไป

ชีวิตของสาวทันสมัยแห่งพระนครหวนคืนสู่แผ่นดินมาตุภูมิอีกครั้ง นึกถึงตอนที่ธันวาแอบพาเธอนั่งรถไฟไปเที่ยวหาดใหญ่เมื่อแปดปีก่อนแล้วถ่ายรูปที่ระลึกคู่กันที่ร้านเปาจิน ก็อดทำให้มนัสยาหยิบเอารูปนั้นขึ้นมาดูอีกครั้งไม่ได้ กลิ่นอายทะเลพัดมาปะทะใบหน้าเธอตามความเร็วของการขับเคลื่อนขบวนรถไฟเป็นสัญญาณว่า ใกล้จะถึงสงขลาแล้ว

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ชวนชิมร้าน “หนมปังสังขยา”










วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน แดดร่มลมตกหลังจากที่พายุฝนพัดผ่านเมืองสงขลาติดต่อกันมาหลายวันแล้ว ได้โอกาสดีชวนเพื่อนสมัยเรียนมหาลัย ๒ คนคือ ปะบู่กับฝอยฝน ไปหาอะไรกินกันเล่นๆหลังจากที่ไม่ได้พบกันเกือบเดือน ก็ตกลงกันว่าจะไปกินข้าวเย็นกันที่ร้าน “หนมปังสังขยา”

ร้าน “หนมปังสังขยา” ตั้งอยู่ในเขตเมืองสงขลา บริเวณถนนสายวชิรา ตรงข้ามกับวัดเพชรมงคล ติดกับคลินิกหมอประดิษฐ์ เปิดบริการตั้งแต่เวลา ๐๙.๓๐ – ๒๑.๓๐ น. เป็นร้านอาหารที่มีตั้งแต่อาหารจานเดียวแสนอร่อยอย่าง ข้าวกะเพราทูน่า , ข้าวหมูสามรส , ข้าวผัดกุ้ง ,ข้าวหน้าไก่ และมีขนมปังแสนอร่อยหลากหลายเมนู รับประทานคู่กับน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพสูตรพิเศษ หรือจะเป็นไอศกรีมหน้าตาน่าทานหลากรูปแบบที่มีไว้ให้เลือกชิม ในราคานักเรียน-นักศึกษา

การจัดตกแต่งร้านก็ให้บรรยากาศของการพักผ่อนจากความเครียดของโลกภายนอก เข้ามาสัมผัสอาหารอันแสนอร่อยและบริการแสนประทับใจ ซึ่งร้านนี้เป็นที่นิยมกันมากในหมู่นักเรียน นักศึกษา หรือเพื่อนฝูงจะใช้เป็นจุดนัดพบเพื่อสังสรรค์กันอย่างเรียบง่าย สบายๆ หากคุณกำลังมองหาที่รับประทานอาหารบรรยากาศดีๆกับคนรักก็ต้องแนะนำร้านนี้เลยครับ รับรองว่าจะเป็นความทรงจำที่แสนดีของคุณทั้งคู่แน่นอน

เก็บภาพบรรยากาศในร้านมาให้ชม แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น วันหยุดครั้งหน้าเราคงได้พบกันที่ร้าน “หนมปังสังขยา” นะครับ

เชื้อสายพระยาเสนานุชิต (นุช ณ นคร)อันเกี่ยวเนื่องกับสายสกุลบุนนาคและรั้ววังหลวง


ตระกูล “บุนนาค” นับเป็นตระกูลใหญ่และเก่าแก่ มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งในสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งธิดาพระยาเสนานุชิต (นุช ณ นคร) สองท่านก็ได้เกี่ยวดองเป็นสะใภ้ในตระกูลนี้ตามที่สืบค้นได้จากเว็บไซต์ของสายสกุล “บุนนาค” จัดทำขึ้นดังจะกล่าวต่อไปนี้

พระยาอภัยสงคราม มีนามว่า นกยูง เกิดในสมัยรัชกาลที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๖ เป็นบุตรสมเด็จ เจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) กับหม่อมเกตุ เข้ารับราชการในแผ่นดินรัชกาลที่ ๓ เป็นจมื่นรักษพิมาน ปลัดกรมตำรวจ ฝ่ายพระราชวังบวรฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นพระยาอภัยสงคราม จางวางอาสาหกเหล่า ฝ่ายพระราชวังบวรฯ ถึงอนิจกรรม เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๙ ปีเดียวกับพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) ผู้เป็นพี่ชายต่างมารดา ได้มีพิธีชักศพแห่ทางบกมาหน้าวัดประยุรวงศาวาส ไปเข้าเมรุที่สนามม้าริมวัดบุปผาราม พร้อมกันทั้ง ๒ ศพ และได้รับพระราชทานเพลิงในวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๐๙

พระยาอภัยสงคราม (นกยูง) สมรสกับคุณหญิงปริก ธิดาพระยาเสนานุชิต (นุช ณ นคร) มีบุตรชายที่สำคัญ ๑ คน คือ พระยาอรรคราชนารถภักดี (หวาด) นับเป็นลำดับชั้นที่ ๔ มีหลานชายที่เกิดกับพระยาอรรคราช นารถภักดี (หวาด) ได้แก่
พระยาเดชานุชิต (หนา)
พระยาวิชยาธิบดี (แบน)
พระเทพสงคราม (โต)
พระยาศรีธรรมศกราช (ปิ๋ว)
พระยาวิสุทธิราชรังสรรค์ (ใหญ่)
หลวงวินิตนราการ (เล็ก)
ส่วนบุตรชายอีกคนหนึ่งของพระยาอภัยสงคราม (นกยูง) ชื่อ ตาด มีธิดาชื่อ โหมด ทำราชการฝ่ายใน เป็นเจ้าจอมในรัชกาลที่ ๕

ส่วนอีกท่านหนึ่งคือ หลวงอนุสรดิฐการ (เบิด บุนนาค) บุตรหลวงดำรงสุรินทร์ฤทธิ์ (บิ๋น บุนนาค) มารดาชื่อ บัว ธิดาพระยาเสนานุชิต (นุช ณ นคร) รับราชการเป็นรองอำมาตย์เอก นายเวรชั้น ๑ กองตรวจรัฐพาณิชย์ กรมตรวจเงินแผ่นดิน กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ หลวงอนุสรดิฐการ (เบิด) มีบุตรชายคนเดียวชื่อ สว่าง นับเป็นลำดับชั้นที่ ๗ และมีหลานปู่ชื่อ เรือตรีอานันท์ สมทรง และเสถียร นับเป็นลำดับชั้นที่ ๘

และที่นับเป็นเกียรติเป็นศรีแก่ตระกูล “ณ นคร” สายพระยาเสนานุชิต (นุช ณ นคร) คือ หม่อมเสงี่ยม บุตรีพระยาเสนานุชิต (นุช ณ นคร) เป็นหม่อมห้ามในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีสิทธิธงไชย กรมขุนสิริธัชสังกาศ มีพระโอรสคือ พล.ร.อ.หม่อมเจ้าอุปพัทธพงศ์ ศรีธวัช

หม่อมเจ้าอุปพัทธพงศ์ ศรีธวัช ทรงเป็นทหารเรือ ทรงดำรงตำแหน่งเจ้ากรมอู่ทหารเรือ ระหว่าง 6 กรกฎาคม 2466 - 2 พฤศจิกายน 2466

นอกจากนี้ยังปรากฏชื่อเจ้าจอมทับทิม ธิดาพระยาเสนานุชิต (นุช ณ นคร)เป็นเจ้าจอมในสมัยรัชกาลที่ ๔ และเจ้าจอมนวล ธิดาพระยาเสนานุชิต (นุช ณ นคร) เป็นเจ้าจอมในสมัยรัชกาลที่ ๕ อีกด้วย

เรื่องของ “อิสริยยศ”



อิสริยยศ คือ ยศที่พระเจ้าแผ่นดินทรงสถาปนาเจ้านาย ให้มีศักดิ์สูงขึ้น และชั้นสูงสุดของอิสริยยศสำหรับราชตระกูล คือ “พระมหาอุปราช” ซึ่งได้แก่ พระราชกุมารผู้ที่จะได้รับรัชทายาทสืบราชวงศ์ต่อไป

อิสริยยศสำหรับเจ้านาย รองจากพระมหาอุปราชลงมา ในชั้นแรกนั้นพระเจ้าแผ่นดินจะสถาปนาให้มีพระนามขึ้นต้นด้วยคำว่า “พระ” ซึ่งใช้เป็นพระราชประเพณีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย จนกระทั่งถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ตัวอย่างเช่น พระรามคำแหง , พระราเมศวร , พระบรมราชา

ครั้นต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจึงได้เลิกราชประเพณีนั้นเสีย เปลี่ยนมาเป็นสถาปนาให้เป็นอิสริยยศคือ “เจ้าต่างกรม” โดยเมื่อจะทรงยกย่องเจ้านายพระองค์ใด ก็จะโปรดให้ตั้งกรมขึ้น และเรียกพระนามตามกรมนั้นๆ มีเรียงลำดับจากต่ำสุดไปสูงสุดดังนี้

กรมหมื่น ,กรมขุน,กรมหลวง,กรมพระ,กรมพระยา และสมเด็จกรมพระยา

ราชอิสริยยศชั้นรองจากเจ้าต่างกรมลงมา ก็คือ “พระองค์เจ้า” ซึ่งเรียกกันว่า “พระองค์เจ้าตั้ง” คือ ทรงสถาปนาหม่อมเจ้าขึ้นเป็นพระองค์เจ้าและอาจได้เลื่อนขึ้นเป็นกรมหมื่น ,กรมขุน,กรมหลวงเป็นที่สุด แต่โอรสธิดาของ “พระองค์เจ้าตั้ง”นี้คงเป็นหม่อมราชวงศ์อยู่ตามสกุลศักดิ์

อิสริยยศรองจากชั้น “พระองค์เจ้าตั้ง”ลงมาก็คือ “หม่อมราชนิกูล” เป็นชั้นที่สุด เช่น หม่อมราโชทัย , หม่อมเทวาธิราช เรื่องราวเกี่ยวกับยศเจ้านายโดยย่อก็มีเพียงเท่านี้

( สรุปใจความสำคัญจากหนังสือ “ประวัติศาสตร์ไทย ฉบับพัฒนาการ ม.ศ.๔”ของเสทื้อน ศุภโสภณ )

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สูตรขนมที่คนไทยควรรับประทาน





เครื่องปรุง

อภัย ๑ ถ้วย

ความหวังดี ๑/๒ ถ้วย

ความปรารถนาดี ๒/๓ ถ้วย

วาจาไพเราะพอประมาณ

ความเห็นใจ ๑/๒ ถ้วย

ยิ้มสยามตามต้องการ

ความโอบอ้อมอารี ๒ ถ้วยใหญ่ๆ

วิธีปรุง

กวนความหวังดีและอภัยให้เข้ากัน เตรียมวาจาไพเราะพอประมาณ ค่อยๆผสมความปรารถนาดีลงไป ส่วนความเห็นใจกับความโออ้อมอารีบรรจงคนให้เข้ากับส่วนอื่นๆ นำไปอบในหัวใจที่อบอุ่น โดยมีน้ำใจหรือยิ้มสยามเป็นครีมราดหน้า แล้วแจกจ่ายรับประทานบ่อยๆโดยทั่วกัน

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เปาบุ้นจิ้น : ยมบาลตำหนักห้า

ตอนเรียนชั้นมัธยมเคยอ่านหนังสือ “เที่ยวเมืองนรก”ของ “ทันตแพทย์บัญชา ศิริไกร” และประจวบกับได้อ่านหนังสือ “กำเนิดเซียน”ของ “ชุดณรงค์ เสรีจินตกุล” ได้ความว่า

“ยมบาลตำหนักห้า (เซินหลออ๋อง)”

ข้าพเจ้าเป็นคนในสมัยราชวงศ์ซ่ง ชื่อเปาบุ้นจิ้น เป็นเทพบุ้นเขกมาจุติ ด้วยตอนคลอดจากท้องมารดามีผิวหนังสีดำทั้งตัว จึงมีชื่อเล่นว่า ดำ บิดาชื่อ เปาไหว มารดาชื่อ นางโจว มีพี่น้องทั้งหมด ๓ คน คือ พี่ชาย ๒ คน ข้าพเจ้าเป็นคนเล็กสุด ทางบ้านมีอาชีพทำไร่นา ฐานะค่อนข้างดี ตอนเด็กไปเรียนหนังสือที่หมู่บ้านใกล้เคียง อายุ ๑๖ ปีสอบได้ซิ่วไฉ ต่อมาได้เข้าเมืองหลวง สอบได้จิ้นซื่อ ได้รับตำแหน่งนายอำเภอเมืองติ้งเย่น

ระหว่างอยู่ในตำแหน่งได้ทำคดี “โคมดำ” เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นคนเข้มแข็งเด็ดขาดจนเกิดความผิดพลาด ทำให้ผู้ต้องหาถูกลงทัณฑ์จนเสียชีวิต จึงถูกปลดออกจากตำแหน่ง จากนั้นชีวิตต้องระหกระเหินอยู่หลายปี ต่อมาได้ถูกเสนอเป็นเจ้าเมืองไคฟง ระหว่างอยู่ในตำแหน่งนี้ได้คลี่คลายคดีมากมาย ตัดสินคดีอย่างยุติธรรมโดยไม่เกรงกลัวอำนาจอิทธิพลผู้ใด ทุกครั้งตัดสินคดีโดยยึดหลักกฎหมาย ผู้คนจึงเรียกข้าพเจ้าว่า “เปาชิงเทียน” หลังจากกลับสู่สวรรค์ได้รับราชโองการรับตำแหน่งยมบาลตำหนักห้าจนปัจจุบัน

แถมท้ายด้วยตำแหน่งยมบาล ๘ ตำหนัก ดังนี้ครับ
ยมบาลตำหนัก ๑ ฉินก่วงอ๋อง ชาติกำเนิดเดิมเป็นจอมยุทธ์ในสมัยราชวงศ์ซ่ง
ยมบาลตำหนัก ๒ หนังสือไม่ได้กล่าวถึง
ยมบาลตำหนัก ๓ ซ่งตี้อ๋อง ชาติกำเนิดเดิมคือ ชีซี ในยุคสามก๊ก
ยมบาลตำหนัก ๔ หนังสือไม่ได้กล่าวถึง
ยมบาลตำหนัก ๕ เซินหลออ๋อง หรือ เปาบุ้นจิ้น
ยมบาลตำหนัก ๖ ข่าเฉิงอ๋อง ชาติกำเนิดเดิมเป็นแม่ทัพสมัยราชวงศ์ถังชื่อ “หลินไค”
ยมบาลตำหนัก ๗ ไท่ซันอ๋อง ชาติกำเนิดเดิมคือเศรษฐีใจบุญในมณฑลเจ้าเจียง
ยมบาลตำหนัก ๘ โตวฉีอ๋อง ชาติกำเนิดเดิมคือชาวประมงชื่อ “หลินเฉียน”แห่งเกาะไต้หวัน

ไทยทีวีสีช่อง ๓ ได้นำภาพยนตร์จีนชุด “เปาบุ้นจิ้น”ชุดใหม่มาออกอากาศเลยนำมิวสิควิดีโอจากภาพยนตร์จีนชุดนี้มาให้รับชมกันครับ

บันทึกของพระยาคงคาธราธิบดี (พลอย ณ นคร)






พระยาคงคาธราธิบดี (พลอย) เป็นบุตรพระยาเสนานุชิต (นุช) ผู้ว่าราชการเมืองตะกั่วป่า ได้เข้ารับราชการในกองมหาดเล็กเวรศักดิ์ กรมมหาดเล็ก กระทรวงวัง เจริญในตำแหน่งหน้าที่มาตามลำดับ ในปี พ.ศ. 2447 ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระพนธิพยุหสงคราม เป็นเจ้าเมืองกระบี่ ต่อมาได้รับ พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาคงคาธราธิบดีฯ ตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลชุมพร (ต่อมาเป็นมณฑล สุราษฎร์) และได้รับการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งเป็นองคมนตรีในสมัยรัชกาลที่ ๖ถึงแก่นิจกรรมในปี พ.ศ. 2480 เมื่อครั้งมีการบูรณปฏิสังขรณ์อุโบสถวัดเสนานุชรังสรรค์ (วัดใหม่)ผมมีโอกาสได้เห็นหนังสือพระไตรปิฎกชุดหนึ่งซึ่งเดาว่าคงเป็นฉบับที่พระยาคงคาธราธิบดี (พลอย)คงอุทศถวาย เนื่องจากภายในมีภาพถ่ายของท่านแทรกอยู่ ดังภาพประกอบของท่านที่นำมาลงไว้ด้านบน

พระยาคงคาฯ ท่านเป็นนักบันทึกเหตุการณ์คนสำคัญคนหนึ่ง ท่านได้บันทึกเหตุการณ์ ชีวิตไว้ค่อนข้างละเอียดในช่วงระยะเวลาที่รับราชการอยู่ ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอย่างไรตลอดจนเรื่องราว ส่วนตัวและของลูกหลาน ท่านบันทึกกระทั่งการเลี้ยงดูบุตรของท่าน เช่น ชั่งน้ำหนักตัวบุตรเมื่อใด หนัก เท่าใด จะทำอะไรต่อไป เป็นต้น

จึงนับได้ว่า “บันทึกพระยาคงคา”เป็นเอกสารที่สำคัญชิ้นหนึ่งที่บันทึกเรื่องราวในเชิงประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเมืองกระบี่ และจังหวัดใกล้เคียง ในสมัยที่พระยาคงคาฯเป็นเจ้าเมือง ระหว่างปี รศ. 124 - 126


เนื้อหาสาระ

ตอนที่ 1 บันทึกเรื่องส่วนตัวและการเลี้ยงดูบุตรหลาน โดยบอกชื่อบุตรแต่ละคนว่าเลี้ยงดู มาอย่างไร
ตอนที่ 2 เป็นบันทึกการเดินทางข้ามแหลมจากกระบี่ไปสุราษฎร์ธานีในสมัยนั้นความว่า สมเด็จพระมาตุจฉาฯ ได้เสด็จประพาสเกาะพงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ท่านได้เดินทางไปรับเสด็จ แต่การเดิน ทางจากจังหวัดกระบี่ไปสุราษฎร์ธานีนั้นยากลำบากมาก เพราะไม่มียานพาหนะและถนนหนทางที่สะดวก เหมือนทุกวันนี้ ท่านบันทึกการเดินทางไว้ว่า เริ่มออกจากบ้านพักที่ตำบลแหลมโพธิ์ อำเภอเมืองกระบี่ โดย เรือแจวมาถึงบริเวณสะพานเจ้าฟ้าแล้วก็โดยสารเรือไปขึ้นที่ท่ากรวด กึ่ง อ.เหนือคลองในปัจจุบัน ต่อจากนั้น ก็ขึ้นช้างเดินทางผ่านไปห้วยยูง ห้วยคราม ห้วยเสียด พักแรมที่เขาพนม รุ่งขึ้นเดินทางต่อจนถึงบ้านสองแพรก ในเขตสุราษฎร์ธานี ลงเรือที่บ้านโตรมล่องเรือไปตามคลองโตรม คลองอีปัน ออกแม่น้ำหลวง (ตาปี) ที่บ้าน ย่านดินแดง อ.พระแสงปัจจุบัน ล่องเรือไปเรื่อยในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานีจนถึงอ่าวบ้านดอนต่อไปเกาะพงัน ซึ่งต้องเวลาหลายวัน

สิ่งที่ได้รับจากบันทึกพระยาคงคาฯ

(1) ทำให้ทราบวิธีการเลี้ยงดูบุตรหลานของท่านในขณะนั้น

(2) ทำให้ทราบวิถีชีวิตของชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ในสมัยนั้น

(3) ทำให้ทราบถึงวิธีการเดินทางของผู้คนในสมัยที่ยังไม่มียานพาหนะและถนนหนทาง ที่สะดวกสบาย

(4) จากเส้นทางชาวบ้านที่ใช้ ความจริงเป็นเส้นทางที่ใช้เดินข้ามฝั่งจากตะวันตกไป ตะวันออกมาช้านานตั้งแต่สมัยโบราณ

(5) ถนนปัจจุบันก็ได้ตัดทับเส้นทางเหล่านั้น เป็นถนนเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดกระบี่ และจังหวัดสุราษฎร์ธานี



สภาพของบันทึก

เนื่องจากเป็นสมุดบันทึกที่เขียนด้วยปากกาหมึกซึม เมื่อทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานอาจมีบางตอน เลือนไปบ้างกระดาษที่ใช้เขียนก็แห้งกรอบเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา
สถานที่เก็บรักษา

ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของทายาท คือ นายแพรว ณ นคร ซึ่งปรากฏชื่อในบันทึก แต่ปรากฏว่ามีการนำมาตีพิมพ์เผยแพร่ในงานพระราชทานเพลิงศพท่านนั้นเอง ลองเสิร์ชดูในกูเกิ้ลอีกทีแล้วกัน เพราะผมไม่มั่นใจว่าจะยังหาซื้อได้อีกหรือไม่

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ตรวจดวงชะตาด้วยคัมภีร์ทักษาพยากรณ์



จากภูมิพยากรณ์นี้วิธีพยากรณ์คือ ให้ตั้งอายุของผู้ประสงค์ตรวจดวงชะตาลง (อายุจริงบวก ๑)แล้วเอา ๘ หาร นับแต่วันเกิดของเจ้าชะตา เช่น เกิดวันจันทร์ก็เริ่มนับที่เลข ๒ , เกิดวันพฤหัสบดีก็เริ่มนับที่เลข ๕ อนึ่งผู้ที่เกิดวันพุธกลางวันเริ่มนับที่เลข ๔ ส่วนผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนเริ่มนับที่เลข ๘ ไปเท่าจำนวนเศษ (หากหารลงตัวให้ถือว่าเป็นเศษ ๘) จนถึงอายุของเจ้าชะตา(ที่บวก ๑ แล้ว) คือ นับเฉพาะตัวเลขรอบนอก ๑ ๒ ๓ ๔ ๗ ๕ ๘ ๖ (ไม่ต้องนับเลข ๙ ) ตกที่ดาวเคราะห์องค์ใดก็ให้พิจารณาทายตามดาวเคราะห์องค์นั้นๆดังคำพยากรณ์ต่อไปนี้

อายุถึงอาทิตย์(๑)
เกิดความผิดด้วยวงศา
คณาญาตินานา
คนแปลกหน้าห้ามอาศัย
ในเรือนของตนนั้น
จักเสกสรรให้ยุ่งใจ
ทิศอีสานอย่าได้ไป
อันตรายมาสู่ตน
ระมัดระวังคำ
วาจานำความทุกข์ทน
อีกหนึ่งห้ามคบคน
หน้าหก หน้างอ หน้าผากงอก
ปีนี้จักร้อนนัก
คำทายทักดังที่บอก
ปัญหามีทางออก
ใช้สติไว้จงดี

อายุถึงจันทร์(๒)เจ้า
โชคล้วนเข้านำสุขศรี
เป็นหญิงได้สามี
เป็นชายได้ภรรยา
ทั้งลาภผลเนืองนอง
อีกเงินทองนับคณา
ขุนนางท้าวพระยา
อำนวยโชคอำนวยชัย
ทำมาหากินดี
ความมั่งมีสุขสดใส
บูรพานำลาภให้
ท่านนั้นไซร้ได้ร่ำรวย

อายุถึงอังคาร(๓)
จะเกิดการเจ็บไข้ป่วย
ภายในครอบครัวด้วย
เกิดวิวาททะเลาะกัน
คนผิวเนื้อดำแดง
อีกตำแหน่งจมูกรั้น
จักนำทุกข์อาธรรม์
ให้ยุ่งยากลำบากใจ
ทำคุณบูชาโทษ
โปรดสัตว์ได้บาปไซร้
ภายหลังจักนำภัย
ทำบุญใครไม่ขึ้นเลย
เกิดเลือดตกยางออก
มิได้หลอกอย่านิ่งเฉย
ทำบุญสุนทานเชย
กรวดน้ำให้นายเวรเรา

อายุถึงพุธ(๔)นี้
ได้ผลดีทุกหมู่เหล่า
ลาภผลหลั่งไหลเข้า
กระเป๋าตุงอู๋หนักจริง
คิดการล้วนราบรื่น
สุขสดชื่นสมหวังทุกสิ่ง
อย่าประมาทอย่าละทิ้ง
ครองตนชอบตามครรลอง
ห้ามกินสัตว์จตุบท
ทวิบาทงดเถิดช่วยสนอง
จักป่วยเป็นโรคในท้อง
ตำราว่าไว้แต่เดิม

อายุถึงเสาร์(๗)นี้
ทุกข์ทวียิ่งเพิ่มเสริม
เกิดคดีความเพิ่มเติม
เสียทรัพย์สินแลเงินทอง
ของรักจักสูญหาย
ฤๅมลายให้เศร้าหมอง
เจ้านายแลเพื่อนพ้อง
จักผิดใจไม่ลงรอย

อายุถึงพฤหัส(๕)
ทำนายชัดมิได้ด้อย
สมหวังดั่งตั้งตาคอย
แม้เป็นถ้อยจักชนะความ
ผู้ใหญ่สมณะ
อีกทั้งพระคณาพราหมณ์
พร้อมจักช่วยเหลือตาม
ที่ท่านประสงค์จำนงแล

อายุถึงราหู(๘)
ให้หดหู่ในดวงแด
จักเสียทรัพย์เป็นแน่
ลาภผลขัดในปีนี้
สตรีนำโชคร้าย
ความวุ่นวายมาถึงที่
ความสุขยากจักมี
ผู้สูงศักดิ์จักรังแก
คิดเห็นผิดเป็นชอบ
ที่ถูกระบอบไม่แยแส
มั่นคงไว้ในดวงแด
หากผ่านพ้นย่อมสดใส

อายุถึงศุกร์(๖)นัก
ลาภผลจักพูนทวี
ไร่นาประดามี
อีกทรัพย์สินอเนกอนันต์
โชคดีทั้งด้านการงาน
รวมทั้งด้านชีวิตนั้น
ประเสริฐเลิศล้นครัน
นับได้ว่าเป็นปีทอง

ฝอยคำทำนายนี้
โบราณมีตามครรลอง
แต่งไปตามทำนอง
ตำราครูผู้ทรงญาณ
อ.เทพย์ สาริกบุตร
บริสุทธิ์ท่านแตกฉาน
เป็นยอดโหราจารย์
ไม่เป็นสองในแผ่นดิน
ทศพรรษ พชร
รจนาไว้ครบครันสิ้น
ตำรานี้คู่แผ่นดิน
แต่โบร่ำโบราณมา
หากถูกต้องโปรดสาธุ
ให้บรรลุสุขคณา
ผลบุญมอบบรรดา
คณาจารย์ครูหมอดู
หากทำนายผิดพลาด
ก้มแทบบาททั่วทุกผู้
เหตุข้ามิได้รู้
จบเจนทั่วทุกตัวคน
สุดท้ายขออวยพร
หมู่อมรเทวาดล
ให้เจริญจตุรพิธผล
สุขบันดลทั่วกันเทอญฯ

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เรื่องสั้นเร้บลับ ตอน บ้านเช่านี้....ผีดุ


สำหรับน้องๆที่เป็นนักเรียน นักศึกษาต่างจังหวัดที่จะเช่าบ้านหรือหอพักที่ใดก็ตามขอเตือนว่า ให้สืบประวัติของบ้านหรือห้องพักนั่นให้ดีเสียก่อนว่ามีประวัติอะไรหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นการโจรกรรม ฆาตกรรมหรือเรื่องลี้ลับต่างๆ เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ต่อให้คุณได้ประสบแม้เพียงครั้งเดียวแต่มันจะกลายเป็นความทรงจำที่เลวร้ายของคุณไปตลอดชีวิตเหมือนชีวิตของนักศึกษากลุ่มนี้

มีนักศึกษาสาว ๔ คนได้ตัดสินใจไปเช่าบ้านหลังหนึ่งไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในจังหวัดสงขลานัก บ้านเช่านี้มีลักษณะเป็นห้องแถวสามห้องเพิ่งสร้างใหม่ทาสีเขียวอ่อนๆ โดยหลังที่ทั้งสี่คนเช่านั้นเป็นบ้านหลังซ้ายสุดซึ่งมีบึงน้ำคั่นกลางระหว่างตัวบ้านกับทางรถไฟเก่า คืนวันหนึ่งขณะที่ทั้ง ๔คนกำลังดูทีวีกันอย่างเพลิดเพลิน ก็บังเอิญมีลมพัดประตูมาวูบหนึ่งทำให้ประตูเปิดแง้ม “หนิง”ซึ่งกำลังนอนจดจ่ออยู่กับละครโทรทัศน์ที่ทุกบ้านติดกันงอมแงมคิดว่ามีใครมาหาจึงพูดขึ้นมาว่า “เชิญเข้ามาข้างในเลยค่ะ” แล้วคำพูดนี้ก็นำฝันร้ายมาให้นักศึกษาสาวทั้ง ๔ คน ขอเล่าเหตุการณ์ชวนขนลุกเลยแล้วกันนะครับ

วันหนึ่งขณะที่ “ออ”กำลังนอนเล่นหลับอยู่ในห้องของตนเองแล้วเพื่อนอีกสี่คนกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่หน้าบ้าน จู่ๆออก็วิ่งหน้าตาตื่นออกมา หน้าของเธอซีดเผือด ผมของเธอดูยุ่งเหยิง ปากก็ร้องว่า “ไม่ไหวแล้วๆ” เพื่อนๆตกใจมากถามว่าเกิดอะไรขึ้น “หนูนา”โอบออไว้พลางเอามือลูบหลังอยู่พักใหญ่ เมื่อออเริ่มได้สติแล้วเธอก็เล่าให้ฟังว่า ขณะที่เธอเคลิ้มหลับไปนั้น เธอมีความรู้สึกว่ามีใครสักคนมานอนข้างๆเธอ ตอนแรกเธอคิดว่าหนูนาคงจะเข้ามานอนกลางวันข้างๆเธอด้วย จึงไม่ได้สนใจอะไร แต่เมื่อผ่านไปสักครู่หนึ่งเธอมีความรู้สึกเหมือนเส้นผมยาวๆของใครบางคนมาปัดๆกวาดๆบริเวณใบหน้าของเธอ ออรำคาญมากจึงลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว หากคุณเคยดูหนังเรื่อง “จูออน” ก็ขอบอกเลยว่าออก็คงจะเป็นคนที่ได้รับรู้จากของจริงคราวนี้นี่เอง ผู้หญิงคนนั้นเหมือนโผล่เฉพาะส่วนหัวออกมาจากกำแพง ใบหน้าสีดำคล้ำ นัยน์ตาแดงก่ำที่ห่างจากหน้าของออแค่หายใจรดกันฉายแววของความไม่พอใจอย่างรุนแรงโดยมีเส้นผมยาวหนาของเธอคลุมศีรษะของออไว้ โสตประสาทของเธอได้ยินเสียงหัวเราะแหลมเล็กก้องอยู่ข้างหูตลอดเวลา ออรวบรวมกำลังสุดชีวิตวิ่งออกมาหน้าบ้าน ตั้งแต่วันนั้นทั้งสี่คนที่ปกติออจะนอนกับหนูนา หนิงจะนอนกับจ๊ะจ๋า ทั้งสี่ก็ตัดสินใจมานอนรวมกันห้องเดียว โดยแยกอีกห้องไว้เก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวเท่านั้น

เหตุการณ์ต่อมาเป็นเรื่องของจ๊ะจ๋ากับหนิงนั่นเอง เย็นวันหนึ่งขณะที่ทั้งสี่กำลังช่วยกันทำอาหารเย็นกินกัน ออกับหนูนานั่งเตรียมอาหารอยู่ จ๊ะจ๋ากับหนิงที่เพิ่งกลับจากออกไปซื้อน้ำตาลกับผักสดมาเพิ่มก็เดินผ่านห้องเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวเข้ามา ทั้งสองเหลือบไปเห็นผู้หญิงผมยาวกำลังนั่งหวีผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ด้วยความปากไวหนิงจึงแซวไปว่า “สวยแล้วจ้า หนูนา มาทำกับข้าวแค่นี้ไม่ต้องแต่งหน้าหรอกจ้ะ” แต่เสียงตอบกลับนั้นไม่ได้มาจากในห้องนั้นแต่มาจากหลังบ้านในส่วนที่เป็นห้องครัวแทนว่า “นานั่งอยู่ตรงนี้ แกพูดกับใครน่ะ” จ๊ะจ๋ากับหนิงหันไปทางต้นเสียงพร้อมกันแล้วหันกลับเข้าไปมองในห้องเก็บเสื้อผ้าอีกครั้งโดยอัตโนมัติ แต่ร่างของผู้หญิงผมยาวที่นั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งนั้นได้อันตรธานไปแล้ว ทั้งสองรีบวิ่งไปที่หลังครัวแล้วถามหนูนาอย่างรวดเร็ว แต่คำตอบคือ หนูนานั่งเตรียมของทำกับข้าวกับออมาตลอด ไม่ได้เข้าไปในห้องนั้นเลย

ยังไม่จบครับ ทั้งสี่สาวค่อนข้างจะเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูงและห้าวนิดๆ หลายคนอาจจะบอกว่าเจอแค่นี้ยังไม่ย้ายออกอีกหรือ แต่การที่จะหาบ้านเช่าราคาถูกและสะดวกแบบนี้มันไม่ใช่ง่ายๆนะครับ เรื่องสุดท้ายที่ทั้งหมดพบในบ้านนี้คือ คืนหนึ่งออพาเพื่อนชายที่คบหากันมาได้ปีครึ่งชื่อ “ติ” มานอนค้างที่บ้านนี้ แต่จู่ๆกลางดึกติก็รีบบึ่งมอเตอร์ไซค์กลับไปนอนที่หอของตัวเอง เป็นเช่นนี้มาเรื่อยๆจนออตัดสินใจถามว่า ทำไมทุกครั้งไม่ว่าจะดึกแค่ไหน ติต้องกลับไปนอนที่หอ ไม่ค้างคืนที่บ้านเช่านี้ ติก็ยอมสารภาพว่า คืนแรกที่เขามานอนที่นี่ อยู่ดีๆก็เหมือนมีผู้ชายร่างดำๆใหญ่ๆนุ่งโจงกระเบนสีแดงมาเดินรอบๆตัวเขา ข้ามตัวเขาไปๆมาๆ แล้วติมีอาการเหมือนแน่นหน้าอก เขาพยายามข่มตาหลับแต่ก็อดทนไม่ไหว จนต้องกลับไปนอนที่หอพักทุกครั้ง

แม้ว่าทั้งหมดจะไปทำสังฆทาน ตักบาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นหลายครั้งแล้ว แต่เพื่อนๆที่ไปค้างคืนที่บ้านเช่านั้นส่วนใหญ่ก็มักจะมีเหตุการณ์ชวนสยองมาเล่าเสียเป็นส่วนใหญ่ ทุกครั้งที่ต้องเดินผ่านทางเดินจากหน้าห้องรับแขกเข้าไปยังห้องครัวหลังบ้าน อากาศที่เย็นชื้นและมีสายลมอ่อนๆพัดตลอดแม้ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกือบทุกคนจะต้องเหลือบเข้าไปดูในห้องเก็บเสื้อผ้าเหมือนจะมีสายตาของใครจ้องมองกลับออกมาด้วยสายตาเยือกเย็นจนทำเอาขนลุกทุกครั้ง

ตอนนี้ทั้งหนิง หนูนา จ๊ะจ๋า และออเรียนจบจากมหาวิทยาลัยนั้นมาหลายปีแล้ว แต่ความทรงจำครั้งนั้นก็ยังคงอยู่และมักจะนำมาเล่ากันเสมอในยามที่ได้พบปะสังสรรค์กัน ล่าสุดที่พวกเธอได้ข่าวเกี่ยวกับบ้านเช่านั้นคือ คนที่ไปเช่าต่อจากเธอนั้นผูกคอตายกับขื่อในห้องที่ทั้งสี่เคยใช้เป็นห้องเก็บเสื้อผ้านั้นเอง

ปัจจุบันบ้านเช่านี้ก็ยังมีหลายต่อหลายคนที่ได้เข้าไปเช่าอาศัยอยู่ ช่วงระยะเวลาสั้นบ้าง ยาวบ้าง หวังไว้เป็นอย่างยิ่งว่าคุณคงจะไม่ได้เช่าบ้านนั้นอยู่นะครับ

คำถวายเครื่องเซ่นเจ้าที่


(ไหว้เจ้าที่ ว่า ๓ ครั้ง)

สิบนิ้วข้าไหว้ เทวาท่านทาย เสด็จมาทุกหมู่ ตาบุตยายบัต ตาสีรัดยายพุทโธ ท่านนั้นเป็นตราชู รักษาอยู่สวนทุ่งนา นางเอื้อยและนางเอ เป็นเจ้าที่แต่ก่อนมา หกคนนั้นเล่าหนา เชิญท่านมาทั้งหกคน ตั้งแต่ในวันนี้ อย่าให้มีจราจล เชิญมาทั้งหกคน นางมณีเมขลา พระภูมิและเจ้าที่ นางธรณีนางคงคา ขอเชิญท่านมา รับเอาเครื่องกระยาบูชาสังเวย

xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

( ส่งเจ้าที่ ว่า ๓ ครั้ง)

ครั้นท่านเสวยแล้ว ยุรยาตรคลาดแคล้ว ไปสู่สถาน ยังแต่รอยเดน ยังแต่รอยชาน หมู่พวกบริวาร กินสำราญใจ ถือกล้องครองน้ำ ธงเทียวไสว ที่ยังอยู่ไซร้ รักษาจงดี ศัตรูหมู่ร้าย อย่าเข้ามาใกล้ ซึ่งของทั้งนี้ ยิกไล่ทุบตี ให้เร่งออกไป โอมปริภุญชันโต จะมหาเทวา

xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

สำนวนไทยถิ่นใต้ : สัตว์นรกกล่าวโศลก


ได้อ่านหนังสือ “วรรณกรรมทักษิณปริทัศน์” ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฎสุราษฎร์ธานีเป็นผู้รวบรวมขึ้น ได้กล่าวถึงสำนวนว่า “สัตว์นรกกล่าวโศลก” ซึ่งตรงกับสำนวนไทยถิ่นกลางว่า “มือถือสากปากถือศีล” แต่ผมว่าสำนวนไทยถิ่นใต้นั้นเมื่อนำมาใช้แล้วได้อารมณ์ความรู้สึกมากกว่านะครับ และยิ่งในปัจจุบันสัตว์นรกกล่าวโศลกนั้นมีมากเสียด้วยสิ เราแยกไม่ได้เลยว่าไอ้ที่ขึ้นพูดสุนทรพจน์สวยหรูที่ผ่านการเรียงร้อยถ้อยคำกลอนมาเป็นอย่างดีตามที่ต่างๆน่ะเป็น “เทวดา” หรือ “สัตว์นรก”

คนบางคนเมื่อกล่าวคำพูดอะไรออกมาแล้วรื่นหูฟังดูเพลิน คนฟังก็ฟังกันหูห้อย คนพูดก็พูดกันจนน้ำลายท่วมพื้น

“ถ้าเป็นผมน่ะผมไม่ทำอย่างนั้นหรอกนะ ผมจะวางระบบอย่างดีไม่ทำอะไรซี้ซั้วแบบนี้หรอก”

“ผมไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างอะไร เวลาทำงานก็สวมหัวโขน เวลาอื่นๆก็ถอดหัวโขน ผมไม่ใช่คนยึดติดกับตำแหน่งหรอก”

“เรื่องเงินๆทองๆน่ะเป็นสิ่งที่ต้องมีความโปร่งใส ผมไม่เคยคิดที่จะโกงเลยแม้แต่สลึงเดียว”

“การเอาความลับของคนอื่นไปโพนทะนาน่ะไม่ใช่นิสัยของผมเลย ผมเก็บความลับได้เป็นอย่างดี”

“...........................................................................”

“...........................................................................”

“...........................................................................”

“...........................................................................”

แล้วคุณเคยเห็นคนที่พูดแบบนี้นั้นทำได้อย่างที่ว่าหรือเปล่า?????????????????????????????????

อย่ามองคนแต่เพียงภายนอก



ในโลกยุควัตถุนิยม ไม้บรรทัดที่ใช้วัดว่าคนคนนั้นสมควรนิยมยกย่องหรือไม่กลับไม่ใช่ศีลธรรมหากแต่วัดกันด้วยเรื่องต่อไปนี้

๑. รับประทานอาหารราคาแพงหรือเข้าร้านหรูหรามากแค่ไหน

๒. สวมเครื่องแต่งกายยี่ห้อใด ราคาแพงและหรูหรามากแค่ไหน

๓. การแต่งกายเหมือนเดินออกมาจากหนังสือแฟชั่นมากแค่ไหน

๔. ใช้รถยนต์ยี่ห้ออะไร รุ่นอะไร ถ้ามอเตอร์ไซค์ล่ะก็ไม่คบหรอก

๕. ทันสมัยต่อเทคโนโลยีหรือเปล่า ทั้งๆที่ซื้อโทรศัพท์มือถือราคาแพงๆแต่ก็ยังกดหมายเลขโทรศัพท์จากสมุดโน้ตเล่มเล็กๆอยู่เลยก็ยังมี และรู้จักแต่รับสายกับโทรออกเท่านั้นก็มาก

๖. มีรสนิยมสูงในทุกๆเรื่อง แม้แต่การเลือกใช้กระดาษทิชชู่ พูดจาต้องใช้ไทยคำ อังกฤษคำ ทั้งๆที่บางทีก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไร และคำภาษาอังกฤษนั้นแปลว่าอะไร ใช้ถูกต้องหรือเปล่า

๗. การศึกษาสูงไหม จบจากที่ใด คณะอะไร จบในประเทศไทยหรือเมืองนอก อย่างน้อยต้องดีกรีปริญญาโทนะ แต่ขอโทษบางทีจบปริญญาโทแต่ผลงานหรือความคิดสร้างสรรค์ด้อยกว่าเด็กฝึกงานเสียอีก

๘. ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทั้งๆที่ขึ้นบัญชีดำทางการเงินทั้งเงินกู้ทั้งในและนอกระบบรุงรังไปหมด

๙. หน้าที่ ฐานะการงาน หรือนามสกุล เกียรติยศของพ่อแม่หรือญาติพี่น้องที่เป็นใหญ่เป็นโตของเขา
( แต่ขอบอกนะว่าบางทีคนพวกนี้ก็ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรงก็มากนะ )

อวดแผ่นเสียงการอ่านทำนองเสนาะ




สวัสดีครับ วันนี้ขอเอาสิ่งของที่หลายคนอาจจะลืมไปแล้วเนื่องจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าจนทิ้งอดีตไว้ไกลลิบในมุมหนึ่งของกาลเวลา นั่นคือแผ่นเสียงโบราณครับ แผ่นเสียงนี้ได้มาจากห้องหมวดวิชาภาษาไทย โรงเรียนตะกั่วป่า “เสนานุกูล” ในกองสิ่งของที่กำลังจะถูกทิ้ง ลักษณะเป็นซองกระดาษแข็ง แบนๆ ปกหน้าเป็นภาพตัวพระและเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ปกหลังเป็นบทกลอนที่บันทึกในแผ่นเสียงนั้นคือเรื่อง “พระอภัยมณี” ตอน “สงสารพระอภัยวิไลโฉม ลูบประโลมหลานน้อยละห้อยหา” กับ “กาพย์ห่อโคลงเห่เรือ” ตอน “ล่องลอยในน่านน้ำ เจ้าพระยา” นับเป็นสื่อการสอนที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น แต่แปลกที่ไม่มีใครเห็นคุณค่า ผมยึดคำของคุณอเนก นาวิกมูลที่ว่า “เก็บวันนี้ พรุ่งนี้ก็เก่า”ครับ

เรื่องสั้นเร้นลับ ตอน สู่แดนสามัญชน


คืนนั้นเวลาประมาณ ๑ ทุ่ม อากาศร้อนอบอ้าวเหมือนกับว่าจะมีฝนตกในไม่ช้า “เปรียว”ยืนชะเง้อคอยรถโดยสารที่เพื่อนๆเหมามาเพื่อไปร่วมงานศพของญาติพนักงานที่บริษัทคนหนึ่ง แต่เวลาก็ผ่านไปอย่างเชื่องช้า รถยนต์และจักรยานยนต์ผ่านไปคันแล้วคันเล่า เธอแต่งตัวเสร็จตั้งแต่ ๖ โมงครึ่งแต่ทว่าจนป่านนี้แล้วก็ยังไม่มีวี่แววของรถโดยสารที่เหมามาแม้แต่น้อย เปรียวตัดสินใจว่า ถ้าเกิดอีก ๑๕ นาทีรถยังไม่มา เธอก็คงจะกลับบ้านซึ่งต้องเดินเข้าซอยเปลี่ยวไปประมาณ ๑๐๐ เมตร เธอทนรออยู่อีกประมาณ ๕ นาที เสียงบีบแตรรถโดยสารดังมาแต่ไกล แสงไฟหน้ารถสาดกระทบใบหน้าจนเธอต้องหลับตา และแล้วรถโดยสารกลางเก่ากลางใหม่ก็มาจอดอยู่หน้าศาลาคอยรถโดยสารที่เธอยืนอยู่มาเกือบ ๑ ชั่วโมงแล้ว


“เอ้า....หนูจะไปงานศพหรือเปล่า ขึ้นรถมาเร็วๆ” ชายวัยกลางคนที่เป็นคนขับรถตะโกนเรียกเธอพร้อมทั้งกวักมือเร่งให้เธอก้าวขึ้นรถโดยฉับพลัน


เมื่อเปรียวได้ที่ว่างบนรถโดยสารแล้วเธอก็สังเกตว่าบนรถที่เธอนั่งไปนั้นไม่มีคนที่เธอรู้จักเลย ผู้หญิงวัยกลางคนหยอกล้อกับเด็กหญิงหน้าตาน่ารักซึ่งคงเป็นลูกสาวของเธอ ชายหนุ่มท่าทางคล้ายนักธุรกิจกำลังง่วนอยู่กับหนังสือเล่มโต เด็กนักเรียนชายประมาณชั้นมัธยมปลายคนหนึ่งก็กำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างลงในสมุดการบ้าน หญิงสาวหน้าตายุ่งก็กำลังมองแหวนเพชรที่สวมอยู่ในมือของตนเองโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เธอสังเกตเห็นว่าทุกคนแต่งกายด้วยชุดที่เหมือนกันคือ สวมเสื้อสีขาวและนุ่งผ้าถุงหรือกางเกงสีดำด้วยกันทั้งสิ้น
ครั้นเมื่อเธอจะถามใครต่อใครหรือแม้แต่คนขับรถก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆทั้งสิ้น เปรียวตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง รวบรวมความกล้าถามคุณยายท่าทางใจดีที่นั่งตรงกันข้ามกับเธออีกครั้งหนึ่ง


“ขอโทษนะคะ คุณยาย รถคันนี้จะไปงานศพคุณแม่ของอุทัยวรรณหรือเปล่าคะ” หญิงชรายิ้มกับเปรียวพร้อมทั้งพยักหน้าเบาๆแต่ไม่มีคำพูดใดๆออกมาทั้งสิ้น


ความอึดอัดเริ่มเกิดขึ้นกับเธอ ในสถานการณ์แบบนี้ยากนักที่เปรียวจะตัดสินใจได้ รถโดยสารยังคงแล่นต่อไปเรื่อยๆ เปรียวสังเกตสองข้างทางนั้นมีลักษณะคล้ายป่ายางยามที่ถึงฤดูผลัดใบ มันดูแห้งแล้งไปหมดคล้ายกับจะทำให้หัวใจที่เคยชุ่มชื้นนั้นเหี่ยวแห้งเหมือนใบไม้กรอบๆในฉับพลัน แสงสว่างของคืนข้างแรมนั้นชวนให้หญิงสาววัย ๒๙ ที่นั่งมาในรถโดยสารโดยที่ไม่รู้จักใครสักคนนั้นหวาดหวั่น แต่ด้วยดูสีหน้าท่าทางของผู้โดยสารในรถแล้วที่ดูไม่น่าจะเป็นที่อันตรายและการพยักหน้ารับคำของหญิงชรานั้นก็ทำให้เธอข่มสติอารมณ์ลงได้


เวลาผ่านไป ๒๐ นาทีรถโดยสารก็มาจอดยังลานวัดที่จัดงานศพ ผู้โดยสารทยอยลงจากรถ คุณยายที่เปรียวถามเมื่อสักครู่นี้หิ้วตะกร้าสานบรรจุเชี่ยนหมากไว้ภายในท่าทางงกๆเงิ่นๆค่อยๆก้าวลงจากรถ เปรียวช่วยประคองลงมา จนกระทั่งคุณยายเดินห่างออกไปได้ระยะหนึ่งเธอก็หันกลับมายังรถโดยสาร แต่บัดนี้กลับอันตรธานหายไปอย่างไร้วี่แวว


“เอ๊ะ....แล้วรถมันขับออกไปทางไหนนะ ก็ถนนมันก็ต้องออกทางนี้ทางเดียว” เปรียวนึกฉงนในใจ
รอบๆตัวของเปรียวนั้นมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ คล้ายกับจะมีงานวัดหรืออะไรสักอย่าง ผู้คนแต่งกายด้วยเสื้อสีขาวและนุ่งผ้าถุงหรือสวมกางเกงสีดำคล้ายๆกัน กลิ่นหอมอ่อนๆพัดต้องจมูกเธอเป็นระยะๆ ชาวบ้านเหล่านั้นจับกลุ่มเหมือนกำลังสนทนาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันอยู่เฉกเช่นการพบปะกันโดยทั่วไป หูของเปรียวเหมือนกับจะได้ยินเสียงอึกทึกอื้ออึง เสียงหัวร่อต่อกระซิก แต่ทว่าก็ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นแหล่งกำเนิดเสียงได้ เพราะผู้คนเหล่านั้นดูเหมือนจะสื่อสารกันด้วยแววตามากกว่าการพูด


เปรียวเดินไปรอบๆวัดด้วยความสับสน ครั้นจะออกปากถามใคร ทุกคนก็ไม่มีท่าทีจะโต้ตอบกับเธอเลย เปรียวเหมือนอากาศธาตุที่ไร้ตัวตนในวัดนั้นเสียมากกว่า เธอเดินไปเดินมาด้วยความกังวลจนมาหยุดที่ร้านขายของชำร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณวัด คุณตาสวมเสื้อสีขาวร่องสีน้ำตาลสวมแว่นกระกำลังถือไม้ขนไก่ปัดแผงจำหน่ายสินค้าอยู่โดยมีคุณยายสวมเสื้อสีบานเย็นตาหมากรุกเล็กๆร่องสีขาวที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆนั้นกำลังกินข้าวกับหลนปลาร้าและผักลวกอยู่ เปรียวมีความรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากับทั้งคู่มาก จึงตัดสินใจตรงเข้าไปถามว่า
“คุณตาคะ คุณยายคะ พอจะมีโทรศัพท์ไหมคะ หนูจะโทร.ให้แฟนมารับค่ะ สงสัยว่าหนูจะขึ้นรถมาผิดวัดค่ะ” น้ำเสียงของเปรียวสั่นเครือเหมือนกับหญิงและชายชรานั้นจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเธอแล้ว


หญิงและชายชรานั้นไม่ตอบอะไรทั้งสิ้นแต่ชี้ไปที่อุโบสถหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางวัด เปรียวเดินเข้าไปในบริเวณพัทธสีมาและสังเกตเห็นว่ามีผู้คนกำลังประกอบพิธีคล้ายการเวียนเทียน ทั้งๆที่เปรียวสังเกตว่าคืนนั้นเป็นคืนข้างแรม เธอแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าซึ่งบัดนั้นกลับมีแสงจันทร์วันเพ็ญส่องแสงนวลตาในฉับพลัน แสงนวลนั้นลอดผ่านประตูอุโบสถไปกระทบพระพักตร์ขององค์พระพุทธรูป โสตประสาทของเปรียวรับรู้ถึงเสียงสวดมนต์แว่วมาแต่ไกลๆ สะกดให้เธอเดินตามเสียงนั้นเข้าไปในโบสถ์ เมื่อเท้าก้าวแรกของเธอกระทบเข้ากับพื้นอุโบสถด้านใน พลันก็มีแรงผลักจากอะไรสักอย่างมากระทบกับหน้าอกเธอ


“ปึ้ก” มือของใครคนหนึ่งพาดกลางหน้าอกของเปรียว เธอสะดุ้งเฮือก


“ฮื้อ...ตายจริง ยัยปอย นอนดิ้นอีกแล้ว” เปรียวลืมตาขึ้นในความมืดแล้วค่อยๆยกมือของน้องสาวที่มานอนเป็นเพื่อนที่บ้านเนื่องจากสามีของเปรียวไปราชการต่างจังหวัด เธอทบทวนเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้แล้วรำพึงกับตัวเองเบาๆ


“เราฝันไปเหรอนี่”


เปรียวค่อยๆเอามือยันร่างตัวเองขึ้นเพื่อออกจากห้องนอนไปล้างหน้าล้างตาเนื่องจากนอนไม่หลับ เมื่อหันไปดูนาฬิกาบอกเวลาตีสามแล้ว แต่ก่อนที่เธอจะเดินไปเข้าห้องน้ำนั้นสายตาก็เหลือบไปมองภาพถ่ายขนาดใหญ่ใส่กรอบทอง ๒ ภาพซึ่งแขวนอยู่ใกล้ๆหิ้งพระ เป็นภาพชายชราสวมเสื้อสีขาวร่องสีน้ำตาลและภาพหญิงชราสวมเสื้อสีบานเย็นตาหมากรุกเล็กๆร่องสีขาวส่งสายตายิ้มอย่างอ่อนโยนมาที่เธอ


“คุณปู่.......คุณย่า”


xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


หมายเหตุท้ายเรื่อง


( แดนสามัญชน คือสถานที่ที่ดวงวิญญาณบริสุทธิ์อาศัยอยู่เพื่อรอเวลาของการไปเกิดยังภพภูมิใหม่ มีลักษณะคล้ายกับเมืองๆหนึ่ง ดวงวิญญาณจะประกอบอาชีพเหมือนกับตอนที่ยังมีชีวิต การแต่งกายก็แล้วแต่ตามยุคสมัยที่บุคคลนั้นเคยใช้ชีวิตในชาติที่แล้ว)

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “เกย์”




คงจะเป็นบทความที่หาอ่านกันได้เกร่อในหน้าอินเตอร์เน็ตหากแต่ต้องการจะนำเสนอความจริงในบางเรื่องที่คนมักจะเข้าใจผิดกัน ลองอ่านดูนะครับว่าคุณเคยคิดแบบนี้ไหม หากคุณคิดว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง คุณคิด “ผิด” ครับ

๑. เกย์ไม่จำเป็นจะต้องมีท่าทีวี้ดว้ายกระตู้วู้หรือดัดจริตเกินหญิงเสมอไป ไอ้ที่เห็นแมนเต็มร้อยอ่ะบางทีสมัครใจจะอยู่ในฐานะ “ภรรยา” เสียเป็นส่วนใหญ่

๒. เกย์ไม่จำเป็นจะต้องกระสันอยากจะแต่งหญิงเสมอไป บางทีเกย์อยากจะแต่งตัวให้เนี้ยบสมความเป็นชายเสียด้วยซ้ำ

๓. เกย์ไม่ใช่ “โรค” ที่จะรักษาหายได้ด้วยการให้คลุกคลีกับผู้ชายให้มากหรือจับให้ไปนอนกับผู้หญิงแล้วจะหาย สำนวนว่า “ได้หน้าแล้วลืมหลัง” ใช้ไม่ได้สำหรับเกย์ครับ

๔. เกย์ไม่ได้เกิดจากความ “อยากเป็น” แต่เพราะว่ามัน “เป็น” ตั้งแต่อุแว้แรกแล้ว

๕. เกย์ไม่ได้เกิดจากการคลุกคลีกับผู้หญิงมากเกินไป ไม่งั้นลูกนายทหารหลายๆคนหรือตำรวจหลายๆนายคงไม่ได้คนในเครื่องแบบเดียวกันเป็น “ผัว” หรือ “เมีย” หรอก

๖. เกย์ไม่ใช่ตัวตลกในสังคมหรือวิปริตทางเพศตามที่คนปกติตั้งให้ บางครั้งเขาน่ะดีกว่าไอ้พวกปกติทางเพศมากกว่าเสียด้วยซ้ำ

๗. เกย์ในเมืองไทยไม่ใช่จะเพิ่งมีในช่วงปี ๒๕๐๐ นี้หรอกนะครับ มีมาตั้งแต่ก่อนสมัยดินแดนสุวรรณภูมิปรากฏในประวัติศาสตร์เสียอีก

๘. เกย์ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ศีลธรรมเสื่อมทราม บางครั้งเขาเป็นผู้นำในการทำความดีหรือสร้างชื่อเสียงก็มาก

๙. ที่สำคัญคือ “เกย์” ไม่ได้ชอบอาหารประเภท “ถั่วดำ” หรอกนะครับ แต่คำว่า “ถั่วดำ” มีที่มาจากนายหน้าหาเด็กผู้ชายไปขายบริการให้เกย์สมัยช่วงรัชกาลที่ ๗ และมีความสัมพันธ์กับเด็กชายนั้นด้วยน่ะเขาชื่อว่า “นายถั่วดำ”

๑๐. เกย์สามารถมีเมียมีลูกได้ ลีลาอาจจะเด็ดกว่าชายแท้เสียอีก ไม่ใช่บ่มีไก๊อย่างที่ใครเข้าใจ สามีของคุณอาจจะแอบไปเป็นเมียของใครก็ได้

๑๑. เกย์ที่มีชื่อเสียงและเป็นบุคลสำคัญของโลกนั้นมีมากเกือบจะเป็นครึ่งหนึ่งของรายชื่อบุคคลสำคัญก็ว่าได้ เช่น ลีโอนาโด ดาวินชี , ไมเคิล แองเจลโล , อเล็กซานเดอร์มหาราช , จักรพรรดิปูยี , กรมหลวงรักษ์รณเรศ , อับราฮัม ลินคอร์น , และที่เห็นๆกันอยู่ในหน้าสังคมทุกวันนี้ก็มากจนยากที่คุณจะปฏิเสธได้

ตึกเก่าย่าน “จับเส”


บริเวณถนนอุดมธาราหรือ “จับเส” หรือ “จับเซ้” ซึ่งเป็นภาษาจีนฮกเกี้ยน แปลว่า “ท่าเรือ” นั้นคือบริเวณที่เคยเป็นท่าเรือเก่าของเมืองตะกั่วป่า หลักฐานยืนยันว่า บริเวณนั้นเคยมีเรือกลไฟ เรือสำเภาเข้ามาได้ก็คือ หม้อน้ำเรือกลไฟชื่อ “แมรี่” ที่ตั้งอยู่ในบริเวณวัดปทุมธารา ( วัดหน้าเมือง )
ตึกเก่าที่เรียงยาวในย่านนั้นเป็นตึกที่พระยาเสนานุชิต ( นุช ณ นคร ) ได้สร้างไว้ให้ลูกหลาน ดินและปูนที่นำมาสร้างนั้นนำเข้ามาจากปีนัง สมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมืองตะกั่วป่าในสมัยพระยาเสนานุชิต ( เอี่ยม ณ นคร ) ซึ่งเป็นบุตร พระองค์ได้กล่าวถึงตึกเก่าในย่านนี้ว่า อยู่ในสภาพทรุดโทรมเต็มที ด้วยลูกหลานของพระยาเสนานุชิต (นุช ณ นคร) นั้นมีมาก ที่ได้เรื่องได้ราวไปเป็นเจ้าบ้านผ่านเมือง มหาดเล็ก เจ้าจอมหม่อมห้ามก็มี แต่พวกที่คอหยักๆสักแต่เป็นคนก็มาก
เมื่อราวปี ๒๕๓๐ กว่าๆ ตึกแถวย่านนี้มีหลายห้องมากกว่านี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ตึกเก่าบางส่วนกลายเป็นลานประกอบพิธีกรรมของศาลเจ้าพ่อกวนอู ( อ๊ามใต้) และตึกแถวที่เรียงติดกันบางห้องก็อยู่ในสภาพทรุดโทรม ทิ้งร้าง ที่มีคนอาศัยอยู่ก็ถูกทุบกลายเป็นบ้านสมัยใหม่ไปเสียแล้ว น่าเสียดายจริงๆ

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ของแถมลูกอมซูกัส




เมื่อก่อนของแถมสินค้าสำหรับเด็กนั้นนับว่าเป็นตัวกระตุ้นยอดขายได้เป็นอย่างดี จะสังเกตว่าในช่วงก่อนเปิดเทอมแต่ละปีไม่ว่าจะเป็น รองเท้า ถุงเท้า ชุดนักเรียน ฯลฯจะต้องมีของเล่นออกโฆษณาทางโทรทัศน์เป็นของแถมเสมอ แต่เมื่อถึงยุคเศรษฐกิจตกต่ำ กลยุทธ์การตลาดแบบนั้นก็หายไป เหลือไว้แต่สิ่งของที่น้อยคนนักจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก เช่นเดียวกับลูกอมซูกัสยุคหนึ่งที่แถมหนังสือการ์ตูนภาพของฝรั่งเรื่อง “ฮีแมน” เป็นการ์ตูนเล่มเล็กๆ พิมพ์ภาพสีสวยงาม ความหนาประมาณ ๒๐ หน้า แถมมาพร้อมกับลูกอมซูกัสชนิดเม็ด (เมื่อก่อนยังไม่มีซูกัสแบบแท่ง) เห็นแล้วนึกถึงอดีตที่หลายคนนั้นลืมไปแล้ว ลองกลับไปค้นดูในบ้านคุณสิครับว่ามีอะไรที่เป็นอนุสรณ์ของอดีตบ้าง

ภาพโป๊เมื่อแรกมีกล้องถ่ายรูป



ประวัติศาสตร์การถ่ายภาพของโลกนั้น หากจะเทียบช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ไทยก็ประมาณช่วงรัชกาลที่ ๒-๓ หากอยากทราบรายละเอียดต้องไปอ่านงานเขียนของคุณเอนก นาวิกมูลจะได้ความรู้เกี่ยวกับการถ่ายภาพมากกว่านี้

ได้กล่าวไว้ในบทความ “หนังสือโป๊ : วรรณกามต้องห้ามอมตะ” แล้วครั้งหนึ่งว่าเมื่อมีกล้องถ่ายรูป ภาพนู้ดหรือภาพโป๊ก็เริ่มถือกำเนิดขึ้นเช่นกัน จากภาพเป็นภาพโป๊ภาพแรกของโลก ถ่ายในปี ค.ศ. ๑๘๓๙ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นภาพถ่ายเพื่อนำไปวาดเป็นภาพเขียนของศิลปินท่านใดท่านหนึ่ง ไว้โอกาสดีจะนำภาพโป๊แบบไทยๆสมัยช่วงรัชกาลที่ ๕ มาให้ชมนะครับ

เที่ยวตลาดน้ำคลองแห


คืนวันเสาร์ที่ ๘ พฤศจิกายน ได้โอกาสดีไปเที่ยวตลาดน้ำคลองแหซึ่งเปิดมาได้หลายเดือนแล้ว คนต่างจังหวัดเขามาเที่ยวกันคึกคัก ในขณะที่ผมอยู่แค่ปลายจมูกแต่เพิ่งจะมีโอกาสได้ไป ตอนนี้อยู่ในช่วงเทศกาลลอยกระทงพอดี บรรยากาศในงานจัดในแบบงานวัดย้อนยุค ซึ่งนายกฯคลองแหค่อนข้างมีความคิดสร้างสรรค์มาก หน้างานก็พบเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในชุดทหารไทยโบราณ วัสดุอุปกรณ์ทุกอย่างเน้นวิถีชีวิตแบบไทยเดิมแท้ๆ

ไม่ว่าจะเป็น เสื่อกระจูด ขนมหม้อแกงที่บรรจุในหม้อดินเผาขนาดเล็ก ขายหม้อละ ๓๕ บาท แต่คุ้มกับการซื้อหาเป็นของฝาก น้ำผลไม้แบบไทยๆ เช่น น้ำมะตูม น้ำกระเจี๊ยบ ในกระบอกไม้ไผ่ กระบอกเล็ก ๑๐ บาท กระบอกใหญ่ ๒๐ บาท แม้เป็นของที่หาได้ง่ายในชนบท แต่สำหรับหาดใหญ่นั้นถือว่าเป็นของหายาก

อาคารต่างๆก็ตกแต่งเลียนแบบกระท่อมไม้ไผ่สมัยก่อน หลังคามุงจาก ร้านขายเบียร์คล้ายโรงเตี๊ยมเก่า ร้านน้ำชาบนแพยื่นออกไปในคลองดูสวยงาม เสียดายที่ไม่ได้พากล้องถ่ายรูปไป

ตลาดน้ำมีด้วยกันสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งคือวัดคลองแหซึ่งเป็นลานจอดรถ และทำบุญหลากหลายรูปแบบ ริมตลิ่งมีเรือของพ่อค้าแม่ค้ามาจอดขายสินค้าที่บรรจุในกระทงใบตอง แทบจะหาวัสดุสังเคราะห์ไม่พบ มีที่นั่งพื้นปูเสื่อไว้ให้นั่งชมวิวและพักผ่อนรับประทานอาหารพื้นบ้านอย่างสบายใจ

จากนั้นซื้อโคมยี่เป็งขึ้นไปลอยกลางสะพานแล้วข้ามไปซื้อสินค้าและชมการแสดงอีกฝั่งหนึ่งของคลองแห ซึ่งจะมีเรือสะเดาะเคราะห์จอดอยู่ ถัดไปก็เป็นแผงขายสินค้ามากมายรอคุณไปจับจ่ายกันอย่างสนุกสนาน

วันที่ได้ไปเที่ยวมีการขอความร่วมมือผู้มาเที่ยวให้แต่งกายชุดไทยๆ ก็ดูน่ารักไปอีกแบบหนึ่ง หากคุณสนใจก็แวะไปเยี่ยมชมได้ทุกวันศุกร์-อาทิตย์ ช่วงเย็นเป็นต้นไป เปิดทุกสัปดาห์ครับ มาหาดใหญ่คราวหน้าอย่าลืมแวะตลาดน้ำคลองแหนะครับ ขอการันตี.......

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

การปรับตัวเข้าหากันเป็นสิ่งสำคัญ


จำได้ว่าเคยได้ยินเรื่องราวนี้จากภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นข้อความที่ประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องมีอยู่ว่า
“นานแสนนานมาแล้วในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง มีสองตายายคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้มานานมากแล้วจนไม่มีใครสามารถบอกได้ว่านานแค่ไหน รู้แต่ว่าเมื่อจำความได้ก็เห็นท่านทั้งสองแล้ว คุณตานั้นเป็นคนที่ชอบเดินอย่างรวดเร็ว ในขณะที่คุณยายนั้นจะเป็นคนที่เดินไปอย่างเชื่องช้า แต่ทว่าทุกๆเช้า ชาวบ้านจะเห็นคนทั้งคู่นั้นเดินคู่กันไปทำบุญที่วัดเป็นประจำทุกวัน”
อ่านแล้วจินตนาการถึงชายชราที่ต้องชะลอความเร็วในการเดินเพื่อรอหญิงชราคู่ทุกข์คู่ยากที่กำลังเร่งฝีเท้าให้ทันสามี ลองกลับไปคิดดูนะครับว่า คุณได้ปรับตัวเข้าหากันหรือยัง มันเป็นเรื่องของคนสองคนครับ ไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
“จงจุดเทียนให้แสงสว่าง ดีกว่า นั่งสาปแช่งอยู่ในความมืด” จากคำคมของภริยาประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาท่านหนึ่ง

เมื่อแรกใช้ช้อนส้อมรับประทานอาหารในเมืองไทย


เมื่อคนไทยเริ่มคบค้าสมาคมกับชาติตะวันตกมากขึ้น ความซึมซาบของวัฒนธรรมตะวันตกย่อมเกิดกับคนไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตั้งแต่เรื่องใหญ่โตไปจนถึงเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นการรับประทานอาหาร ดังข้อความจากหนังสือ “สาส์นสมเด็จ” เล่ม ๒๖ หน้า ๗๐-๗๑ ว่า
“ถ้าว่าถึงเมืองไทย ยังจำได้ว่าเพิ่งใช้มีดช้อนส้อมอย่างฝรั่ง เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จกลับจากประพาสเมืองสิงคโปร์ เมื่อปีมะเมีย พ.ศ.๒๔๑๓ เริ่มตั้งแต่เสวยที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ มีเจ้านายบางพระองค์เอาหัตถ์ซ้ายถือส้อม ปักแทงชิ้นอาหารให้ทะลุกรึงไว้กับจาน เอาพระหัตถ์ขวาถือมีดหั่น เป็นอาหารชิ้นน้อยๆเรียกเยาะกันว่า “แผลงศร” ก็เห็นจะมาแต่ลักษณะใช้ช้อนสองง่ามนั่นเอง”

แมลงวันอาละวาดที่พังงาสมัยรัชกาลที่ ๕


“เสือสีหมีแรดช้าง สับมัน ก็ดี
เสียงโห่เสียงปืนพลัน หลบลี้
เหลือแหล่แต่แมลงวัน ตอมเมื่อ นอนนา
ยิ่งไล่ยิ่งจู้จี้ เจาะจิ้มเจียนบอ”
โคลงสี่สุภาพข้างต้นเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในจดหมายเหตุรายวันเสด็จประพาสรอบแหลมมลายู พ.ศ.๒๔๓๓ เหตุเพราะทรงรำคาญแมลงวัน ดังข้อความว่า
“วันที่ ๓ วันเสาร์เดือน ๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เมื่อคืนนอนหลับยาก เพาระเมื่อยเต็มที พอรุ่งเช้า แมลงวันมาตอมจนเหลือทน เห็นว่าจะขืนสู้ไปไม่ไหว หนีลงไปนอนข้างล่างจะขอให้สงบดึงพอให้หลับ ไม่สงบได้ จนกินยานอนแล้ว ยังกระชากปอดตับเอาสะดุ้งร่ำไปเกือบเป็นบ้า ต้องกรี๊ดใหญ่จึงหลับได้ ตื่นเกือบ ๔ โมงเช้า นึกโคลงตั้งแต่แมลงวันตอมจนเกือบหลับลงบท.....”
ขณะพระราชนิพนธ์โคลงบทนี้พระองค์เสด็จประทับพักแรมที่อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา หากดูวันเดือนปีในจดหมายเหตุจะเห็นว่าอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นระยะที่แมลงวันชุมที่สุดเพราะเป็นระยะที่มีมะม่วง ทุเรียนออกผลนั่นเอง

ภาพแรกในชีวิต


จากที่เคยเขียนเล่าเรื่อง “ย้อนอดีตโรงเรียนเต้าหมิง”แล้วผมเคยพูดถึงเรื่องภาพถ่ายภาพแรกในชีวิตของผมถ่ายจากร้านถ่ายรูปในงานเต้าหมิงนั้น ครั้งนี้ได้โอกาสดีจึงนำภาพนั้นมาอวดกันครับ ข้างหลังภาพเขียนวัน เดือน ปีที่ถ่ายภาพไว้อย่างชัดเจน ใครมีรูปเก่าสวยๆก็นำมาอวดกันบ้างนะครับ ประวัติศาสตร์ในภาพถ่ายบางครั้งก็สามารถบอกเล่าเรื่องราวมากกว่าหนังสือหนาๆร้อยเล่มด้วยซ้ำ

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เรื่องสั้นเร้นลับ ตอน คาถาหัวใจผี


เป็นเวลาเกือบครึ่งปีแล้วที่ “วุฒิศักดิ์”ข้าราชการชั้นผู้น้อยเพิ่งบรรจุใหม่มาได้เกือบ ๕ ปีนั้นถูกกดดันอย่างรุนแรงจากเจ้านาย มันผิดด้วยหรือที่เขาจะดำเนินชีวิตตามอุดมการณ์ที่เขาเคยวาดไว้อย่างสูงส่ง แต่ในชีวิตจริงแล้วทุกอย่างที่เคยเรียนมานั้นกลับตาลปัตรไปเสียสิ้น คนทำดีก็ได้แค่ครึ่งขั้นปกติในขณะที่พวก “ลิ้นกระดาษทราย น้ำลายเชลแล็ค”นั้นได้ ๒ ขั้นทุกปี ครั้นจะไปถามเจ้านายในกองฯน่ะหรือ “จิ๋ม”หรือ “ผ.อ.จิ๋ม”ก็จะโยกโย้เฉไฉไปได้สารพัดชนิดน้ำกลิ้งบนใบบอน บอกว่าคนโน้นดีอย่างโน้น คนนี้ดีอย่างนี้ ทั้งที่จริงแล้วผลงานของพวกที่ได้สองขั้นเหล่านั้นก็มาจากการซื้ออาหารเช้าและชงกาแฟให้ ผ.อ.หรือไม่ก็มาจากการขัดรองเท้าส้นสูงให้แวววาวและไปซื้อของหรือไม่ก็เดินถือของเป็นบริวารติดสอยห้อยท้าย ผ.อ.จิ๋มไปนั่นเอง ในขณะที่เขานั่งพิมพ์งานและตรวจสอบบัญชีอยู่ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่มีค่าล่วงเวลาด้วยซ้ำ
ทุกเช้าที่วุฒิศักดิ์ตื่นขึ้นมา เขาแทบอยากให้ทุกวันนั้นเป็นวันหยุดราชการหรือไม่ก็ลาออกให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่เขาทำไม่ได้ด้วยเพราะความเป็นลูกคนเดียวของครอบครัวที่มีพ่อแม่เป็นแค่ลูกจ้างธรรมดาๆเท่านั้น วันที่เขาสอบบรรจุได้นั้น แม่กลั้นน้ำตาไม่อยู่กอดเขาด้วยความภูมิใจ และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้วุฒิศักดิ์มีกำลังใจที่จะพาร่างอันไร้จิตใจไปยังที่ทำงาน
ย้อนไปเมื่อปีกลาย มีการเขียนรายงานการปฏิบัติงานในหน้าที่รับผิดชอบเพื่อนำเข้าสู่การประเมินเลื่อนขั้นเงินเดือนนั้น วุฒิศักดิ์ได้เขียนระบายความคับแค้นใจลงไปในส่วนที่เป็นคำถามเกี่ยวกับปัญหาในการบริหารงานในกองฯและกระดาษแผ่นนั้นของเขาก็ได้รับการนำเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์ในการประชุมของสังกัดสูงสุดที่เขาทำงานอยู่ ผ.อ.จิ๋มถูกตำหนิอย่างรุนแรงต่อหน้าที่ประชุม หลังจากนั้นวุฒิศักดิ์ก็ได้แค่เลื่อนขั้นตามปกติโดยไม่มีขั้นพิเศษมาตลอด ทั้งๆที่ผลงานของเขาอยู่ในระดับที่ดีเด่นกว่าคนอื่นๆในกองฯ มีข่าวซุบซิบสารพัดเกี่ยวกับความบาดหมางระหว่างเขากับผ.อ.จิ๋ม แม้วุฒิศักดิ์จะพยายามเอาหูไปนา เอาตาไปไร่แต่มันก็อดไม่ได้ที่เขาอยากจะรู้ว่าคนอื่นๆคิดอย่างไร
“คาถาหัวใจผี เป็นคาถาโบราณมีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระโกศ พวกเสือป่าแมวเซาเวลาออกลาดตระเวนใช้เพื่อสืบข่าวจากฝ่ายข้าศึกศัตรูโดยใช้วิธีการเลี้ยงภูติผี เมื่อว่าคาถาบทนี้แล้วจะทำให้หูนั้นได้ยินเสียงของภูติผีมาบอกกล่าวในสิ่งที่ตนเองต้องการทราบ บริกรรมคาถาบทนี้ ๑๐๘ คาบเสกน้ำมันหอมหยอดหูทั้งสองข้างเป็นเวลา ๑๐๘ วัน แล้วจะทำให้มีหูทิพย์ แต่หากผู้ใช้ไม่รู้จักสำรวมสมาธิให้ดีหรือเลี้ยงภิผีไม่ดีจะทำให้หูแว่วกลายเป็นคนเสียสติคลุ้มคลั่งและภูติผีที่เคยเชื่อฟังจะกลับมารังควานผู้ที่หยอดน้ำมันหอมได้”
วุฒิศักดิ์มองไปตามตัวอักขระโบราณที่ถูกเขียนด้วยหมึกจีนบนสมุดไทยขาวเล่มเก่าคร่ำคร่าที่ปู่ของเขามอบให้ก่อนตายเมื่อนานมาแล้ว ตระกูลของวุฒิศักดิ์นั้นสืบเชื้อสายมาจากพราหมณ์เก่าในกรุงศรีอยุธยาที่อพยพมาอยู่ที่เมืองนี้เมื่อคราวกรุงแตก แม้เป็นเพียงเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาเป็นทอดๆแต่สมุดไทยขาวเล่มนี้ก็เป็นหลักฐานยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง
คืนหนึ่งในวันเพ็ญเดือนสิบสอง เสียงเพลงจากงานรื่นเริงแว่วมาที่ห้องเช่าราคาถูกของวุฒิศักดิ์แต่ในใจของเขานั้นคิดว่าวันสำคัญที่สุดของเขามาถึงแล้ว วุฒิศักดิ์หอบลังกระดาษลังใหญ่เดินขึ้นไปตามบันไดหนีไฟซึ่งปลายทางคือดาดฟ้าของอพาร์ทเมนต์นั่นเอง เขาล็อคประตูบันไดเพื่อกันเผื่อจะมีใครขึ้นมาในระหว่างการทำพิธีของเขา วุฒิศักดิ์หยิบอุปกรณ์ต่างๆขึ้นมาอย่างทะนุถนอม วันนี้จะเป็นวันที่ ๑๐๘ แล้วที่จะทำให้เขามีหูทิพย์จากคาถาหัวใจผี
เวลาเกือบเที่ยงคืนของวันเพ็ญเดือนสิบสอง ดวงจันทร์ส่องแสงงามเด่น ท้องฟ้าดูสว่างเหมือนกลางวัน ไม่มีเมฆหมอกใดๆทั้งสิ้นเหมือนจะมีเทพยดาลงมาประทานพรให้วุฒิศักดิ์ประสบความสำเร็จ เสียงบริกรรมคาถาดังหึ่งๆแข่งกับเสียงหรีดเรไร นานๆครั้งจะมีเสียงตูมตามจากการจุดพลุเฉลิมฉลอง และแล้วเมื่อเวลาเที่ยงคืนพอดี เขาก็ค่อยๆหยิบบาตรน้ำมนต์ที่บรรจุน้ำมันหอมอยู่ภายในขึ้นเหนือศีรษะแล้วเอาใบมะตูมจุ่มลงไป จากนั้นนำน้ำมันหอมที่ติดใบมะตูมหยอดใส่หูทั้งสองข้าง เป็นเวลาเดียวกับที่พลุสิบสองลูกถูกจุดขึ้นพร้อมๆกัน แสงพลุกระทบแววตาที่ชาเย็นของวุฒิศักดิ์ ไร้การกระพริบเหมือนแก้วที่มีหน้าที่สะท้อนแสงไฟเท่านั้น
วันรุ่งขึ้นที่สำนักงานที่วุฒิศักดิ์ทำงาน เขานั่งกระหยิ่มใจตลอดเวลา ขณะนี้หูของเขาได้ยินทุกถ้อยคำที่เขาอยากรู้แล้ว แม้จะมีเสียงที่เขาไม่อยากฟังเข้ามา แต่เมื่อสำรวมสมาธิเท่านั้นเสียงต่างๆก็จะอันตรธานหายไปเหลือแต่เพียงเสียงจากประเด็นเดียวที่เขาต้องการ ซึ่งดวงจิตของเขานั้นค่อนข้างจะควบคุมได้ง่าย
“เมื่อเช้าไอ้วุฒิมันโดน ผ.อ.จิ๋มด่าอีกแล้วว่ะ”
“สมน้ำหน้ามัน ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร”
“ก่อนมันทำไม่รู้ว่าใช้หัวแม่เท้าคิดหรือไงนะ”
“พี่เคยเตือนมันแล้ว แต่มันก็ไม่เชื่อ”
“เห็นว่าจะถูกแป๊กเงินเดือนด้วย น้องปิ๊กคุยกับพี่เมื่อวาน”
“ตอนนี้ใครรู้ข่าว ผ.อ.จิ๋มจะทำผลงานผู้บริหารดีเด่นระดับประเทศบ้างล่ะ”
“เห็นว่าเกณฑ์คนทำงานกันจ้าละหวั่นเลย”
“เขาสร้างภาพเก่ง ไม่มีปัญหาหรอกกะอีแค่รางวัลนี้”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้น เห็นว่ามะรืนนี้ก็ตัดสินแล้วนะ”
พลันวุฒิศักดิ์ก็ได้ความคิดอันแยบคาย เขาจดเบอร์อีเมล์ของกรรมการสูงสุดในการตัดสินครั้งนั้นแล้วรีบบึ่งมอเตอร์ไซค์ไปที่ร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ในอีกอำเภอหนึ่งอย่างรวดเร็ว
สามวันต่อมารางวัลผู้บริหารดีเด่นระดับประเทศก็หลุดลอยไปจาก ผ.อ.จิ๋ม ทั้งๆที่เป็นตัวเต็งมาโดยตลอดมีข่าวซุบซิบว่า มีคนส่งอีเมล์ไปหาประธานกรรมการตัดสินแฉเรื่องที่ ผ.อ.จิ๋ม ทุจริตเงินในโครงการต่างๆและสร้างหลักฐานเท็จพร้อมทั้งแนบคลิปวิดีโอขณะที่ ผ.อ.จิ๋มแสดงอาการเกรี้ยวกราดและด่าลูกน้องด้วยถ้อยคำเสียๆหายๆในการประชุมของกองฯ แต่นั่นกลับเป็นประกายไฟที่จุดลงในระเบิดอารมณ์ของ ผ.อ.จิ๋มให้เกลียดวุฒิศักดิ์มากขึ้นกว่าเดิม วันหนึ่งขณะที่เขากำลังปรึกษางานกันอยู่ ผ.อ.จิ๋มก็รี่เข้ามาตบโต๊ะดังปังใหญ่ ฉับพลันคนที่แวดล้อมก็หายไปสิ้นเหลือแต่เขานั่งประจันหน้ากับ ผ.อ.ตัวร้ายที่เขามองเหมือนคางคกตัวใหญ่ที่กำลังจะพ่นพิษใส่แมลงเล็กๆอย่างเขา
“ฉันรู้นะว่าเธอน่ะเป็นคนส่งบัตรสนเท่ห์ไปให้กรรมการ แกกล้าดียังไงถึงได้ทำกับฉันแบบนี้”
“แล้ว ผ.อ.กล้าดียังไงถึงได้ทำกับผมแบบนี้ล่ะ มันก็สมควรแล้วแหละ การกระทำแบบนี้เหรอจะคู่ควรกับตำแหน่งผู้บริหารดีเด่น”
“แกกล้ามากนะ รับรองว่าฉันจะทำให้แกอยู่อย่างไม่เป็นสุขแน่นอน”
“แน่ใจเหรอว่า ผ.อ.จะทำอะไรผมได้ ผ.อ.นั่นแหละเตรียมตัวอยู่อย่างไม่เป็นสุขได้เลย”
จะด้วยเหตุผลใดไม่อาจจะอธิบายได้ ผ.อ.จิ๋มกลายเป็นคนเก็บตัวและมีท่าทีไม่ค่อยเป็นมิตรมากกว่าเดิม เมื่อมีใครจับกลุ่มพูดอะไรก็ตามแม้แต่เรื่องละครโทรทัศน์เมื่อคืนหรือเรื่องสียาทาเล็บใหม่ที่เพิ่งไปเข้าร้านเสริมสวยมาเมื่อวาน แกจะมีอาการหวาดระแวงเหมือนกับว่าทุกคนกำลังนินทาว่าร้ายแกอยู่ บางครั้งแกจะพร่ำเพ้อไปต่างๆนานา เวลากินข้าวก็ต้องมีคนยกใส่ถาดเข้าไปให้กินในห้องส่วนตัวจากเดิมที่มักจะมานั่งกินที่โต๊ะกลางห้องสำนักงานห้อมล้อมด้วยบริวารที่จัดเตรียมอาหารรสเลิศมาบริการ มาระยะหลังแกก็ปิดม่านบังตาหมด จากที่ปกติจะเปิดไว้คอยจับผิดพฤติกรรมของลูกน้อง
สภาพของ ผ.อ.จิ๋มตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับซากคางคกที่นอนพังพาบหายใจโรยๆรอวันที่มัจจุราชจะมารับกลับไปยังขุมนรก โดยมีวุฒิศักดิ์คอยยิ้มเยาะที่มุมปากเมื่อนำเอกสารเข้ามาให้แกเซ็น เขาเองสังเกตว่าบนโต๊ะของ ผ.อ.จิ๋มมียาระงับประสาทตั้งอยู่ซองใหญ่ จากผู้บริหารที่เคยเป็นที่นับหน้าถือตาด้วยความเป็นคนเล่นละครเก่งกลายเป็นหมาหัวเน่าที่ไม่มีใครสนใจแม้แต่ลูกผัวของตัวเอง
และแล้วอวสานของ ผ.อ.จิ๋มก็มาถึงเมื่อเวลาบ่ายโมงของเช้าวันจันทร์ “กุ๊ก”เลขาหน้าห้องนำถาดอาหารเข้าไปให้ ผ.อ.จิ๋มทานเหมือนปกติกรีดร้องดังลั่นจนทุกคนกรูกันเข้ามาดู ภายในห้องส่วนตัวของ ผ.อ.จิ๋มคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดสดๆ ผ.อ.จิ๋มนั่งตาเหลือกลานจ้องเขม็งมาที่หน้าประตู ในมือกำมีดปอกผลไม้เปื้อนเลือดไว้แน่น ที่น่าสยดสยองคือใบหูทั้งสองข้างของแกถูกเฉือนไม่มีชิ้นดี ส่วนรูหูก็มีร่องรอยของการเอามีดปอกผลไม้นั้นคว้านเข้าไปข้างในจนเป็นรูกลวง เลือดไหลไม่หยุดเปื้อนเสื้อบาติกสีแดงชุ่ม ปากของ ผ.อ.จิ๋มเองพึมพำแต่คำว่า “พอทีๆหยุดพูดได้แล้วๆ” ทุกคนถูกตรึงอยู่กับภาพนั้นจนแทบไม่ได้ยินแม้เสียงลมหายใจของใคร
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาหลังงานฌาปนกิจศพ ผ.อ.จิ๋ม ตำรวจและทีมแพทย์ก็สรุปสาเหตุการเสียชีวิตของ ผ.อ.ว่าเกิดจากอาการหลอนทางจิตประสาทจนทำให้หูแว่วว่ามีคนกำลังนินทาตัวเองอยู่ แต่ผู้ที่รู้ดีว่า ผ.อ.จิ๋มตายด้วยสาเหตุใดนั่นคือ “วุฒิศักดิ์”นั่นเองที่มีท่าทีร่าเริงขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะทุกครั้งที่มองไปยังห้องที่ ผ.อ.จิ๋มเคยใช้เป็นห้องส่วนตัว
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
กุ๊กค่อนข้างจะหวาดๆหลังเหตุการณ์วันนั้นจึงชวนพนักงานคนหนึ่งเข้าไปหยิบเอกสารที่ยังหลงอยู่ในห้องของ ผ.อ.จิ๋มที่กำลังจะถูกปิดตาย เพราะคงจะไม่มีใครกล้าเข้าไปใช้ห้องที่มีคนตายมาก่อนเป็นแน่
“นี่ แฟงอย่าเที่ยวไปหยิบอะไรซี้ซั้วล่ะ ผ.อ.จิ๋มแกหวงของมากเลยนะ”
“แหม...ของติดไม้ติดมือนิดหน่อยเอง คนตายไปแล้วจะมาหวงอะไรอีกล่ะ”สายตาของเธอกวาดสำรวจไปรอบๆห้อง
“แล้วนั่นหยิบอะไรมาล่ะ” กุ๊กมีท่าทีดุในน้ำเสียงที่พูดออกมา
“กล่องคอทตอนบัทน่ะ แต่เอ๊ะ!พี่กุ๊กคะ ทำไมมันหอมน่าขนลุกเหมือนพวกน้ำอบโบราณอะไรพวกนั้นเลยล่ะคะ” พนักงานสาวคนนั้นหยิบก้านคอทตอนบัทขึ้นมา กุ๊กหยิบมาดม
“อือ...จริงด้วย ทำไมคอทตอนบัทกล่องนี้มันถึงหอมเหมือนน้ำมันหอมโบราณๆเลยนะ เธอกล้าที่จะเอาไปใช้จริงเหรอ” กุ๊กมองด้วยสายตาหวาดๆ
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

เล่าไอ่ : องคชาตล่มปฐพี


เรื่องนี้เก็บตกมาจากยุคชุนชิวของจีน โดยในประวัติ “หลี่ปู้เหว่ย” ซึ่งเป็นบทที่ ๒๕ ของ “สื่อจี้” ของซือหม่าเซียนได้เขียนเล่าเรื่องราวไว้ว่า “ฉินอ๋องนับวันเติบโตขึ้น แต่จ้าวจียังหมกมุ่นในโลกียกิจมิยอมหยุด หลี่ปู้เหว่ยเกรงว่าเรื่องราวจะแดงขึ้น ภัยพิบัติจะตกมาอยู่ถึงตัว จึงไปค้นหาพบชายคนหนึ่ง มีองคชาตใหญ่โตชื่อว่า เล่าไอ่ จึงชักนำให้เข้ามาเป็นบริวารในบ้านตน จัดให้มีการส้องเสพกามกิจอย่างเอิกเกริก ให้เล่าไอ่สอดองคชาตลงไปในรูดุมล้อแทนเพลารถและเดินไปมา ให้ไทเฮาทรงทราบเรื่องนี้ เพื่อล่อให้ไทเฮาสนพระทัย เมื่อไทเฮาทรงทราบแล้ว ก็ใคร่จะได้ตัวมาอยู่ด้วย หลี่ปู้เหว่ยจึงเข้าเฝ้าถวายหลี่ปู้เหว่ยให้ โดยมีแผนการว่า ให้จัดคนฟ้องร้องเล่าไอ่ให้มีโทษถึงตัดองคชาต แล้วก็จักได้ตัวเล่าไอ่ไว้ ไทเฮาจึงลอบนำสิ่งของเงินทองเป็นอันมากติดสินบนแก่ขุนนางผู้มีหน้าที่ตัดองคชาต ให้ถอนคิ้วถอนหนวดเหมือนขันที จึงนำเข้ามาปรนนิบัติไทเฮา ไทเฮาร่วมกามรสกับเล่าไอ่ พอใจในตัวเล่าไอ่เป็นอันมาก” นี่เป็นปฐมบทของความเสื่อมทรามในวังหลวงก่อนที่จิ๋นซีฮ่องเต้จะขึ้นครองราชย์
ประวัติของเล่าไอ่นั้นเป็นแต่เพียงคนจรจัดในเมืองเสียนหยาง แต่มีองคชาตใหญ่โตประกอบกับเป็นคนเสเพลจึงลักลอบได้เสียกับผู้หญิงรักสนุกเกือบทั้งเมืองเสียนหยางทั้งที่โสด หรือมีครอบครัวแล้ว จนเป็นที่ชิงชังของพวกผู้ชาย แต่เวลาที่เล่าไอ่มีเรื่องคราวใดก็จะมีผู้หญิงที่เคยร่วมเสพกามกิจมาช่วยทุกครั้ง อนึ่งในสมัยนั้นการเสพกามกิจโดยเปิดเผยถึงขนาดจัดเป็นงานนั้นถือเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในวังหลวง นักโบราณคดีเดยขุดพบอวัยวะเพศชายปลอมทำจากทองคำและหยกที่โคนมีรูสำหรับใช้เชือกร้อยสอดไว้ได้ สันนิษฐานว่าเป็นเครื่องใช้ของนางสนมที่แอบให้ขันทีหรือนางกำนัลสวมสมมติว่าเป็นบุรุษในการร่วมเสพกามกิจกับพระสนมเอง ใครที่คิดว่ากามวิปริตเพิ่งมามีในสมัยดิจิตอลนี้คิดผิดแล้วนะครับ มันมีมาตั้งแต่สมัยที่มนุษย์ยังไม่เริ่มมีวัฒนธรรมด้วยซ้ำครับ

คำสาปของจระเข้


ในนารายณ์สิบปางมีเรื่องเล่าว่า จระเข้เป็นสัตว์พาหนะของพระอิศวร จระเข้กำเริบไปกินคน พระอุมาจึงให้ฤๅษีเอาตัวไปผูกทรมานไว้ จระเข้อดก็อ้าปากคอยกินสัตว์ที่เข้ามาใกล้ พระฤๅษีสงสาร จึงว่ามึงเป็นสัตว์น้ำมากินมนุษย์กินสัตว์บกจึงต้องทรมานไว้ จระเข้เถียงว่า ทีมนุษย์ยังลงไปหาสัตว์น้ำกินได้ทำไมไม่เอาตัวมาผูกทรมานบ้าง ตัดสินไม่ยุติธรรม ถึงจะตายก็จะอ้าปากคอยฮุบอาหารเสมอ พระฤๅษีไปเล่าให้พระอุมาฟัง พระอุมาก็เอาขมิ้นมาบันดาลให้เป็นจักรสาปว่า เวลาเข้าไปอยู่ในปากจระเข้ให้พัดลิ้นจระเข้ให้ขาด อย่าให้รู้รสชาติอาหาร สาปแล้วก็โยนจักรลงไปในปากจระเข้ จระเข้ฮุบ จักรก็พัดลิ้นขาด จระเข้จึงไม่มีลิ้น กลัวขมิ้นและอ้าปากอยู่เสมอ ที่หัวแบนเป็นแท่นสี่เหลี่ยมเพราะเคยเป็นบัลลังก์ของพระอิศวร เวลาคาบคนได้ก็ต้องชูถวายพระอิศวร

ท้าวอิลราช : เมื่อชายเป็นหญิง


เรื่องนี้ปรากฏในวรรณคดีเรื่อง “อิลราชคำฉันท์”กล่าวถึง ท้าวอิลราชและข้าราชบริพารเสด็จประพาสป่าหิมพานต์ แล้วบังเอิญล่วงล้ำเข้าไปในตำบลที่พระอิศวรทรงจำแลงเป็นสตรีเพื่อล้อพระอุมาเล่น ทำให้ต้นไม้และสัตว์ต่างๆในบริเวณนั้นรวมทั้งท้าวอิลราชและข้าราชบริพารกลายเป็นเพศหญิงหมด ท้าวอิลราชตกพระทัยมากจึงได้ทูลอ้อนวอนพระอิศวร แต่พระอิศวรไม่โปรดประทานพร พระอุมาทรงเห็นพระทัยท้าวอิลราชจึงประทานพรให้กึ่งหนึ่งว่า ให้ท้าววอิลราชกลับกลายเพศเป็นชายหนึ่งเดือนและเป็นหญิงหนึ่งเดือนสลับกันไป และเมื่อเป็นเพศชายก็ให้ลืมเรื่องตอนเป็นเพศหญิง ตอนเป็นเพศหญิงให้ลืมเรื่องตอนเป็นเพศชาย (ตอนเป็นเพศหญิงมีชื่อว่า “นางอิลา”)
ต่อมานางอิลาไปพบพระพุธฤๅษีแล้วได้เสพสังวาสกันจนมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อว่า “พระปุรุรพ” ตัวของพระพุธฤาษีทราบเรื่องคำสาปของท้าวอิลราชมาโดยตลอดก็มีฐานะ ๒ ฐานะคือ ตอนเป็นท้าวอิลราช พระพุธก็มีศักดิ์เป็นฤๅษี แต่ตอนเป็นนางอิลา พระพุธก็มีฐานะเป็นสามี สุดท้ายแล้วท้าวอิลราชก็พ้นคำสาปด้วยพิธีอัศวเมธ
อ่านเรื่องนี้แล้วงงๆกันไหมครับ ผมว่าหลายๆคนคงจะมี “ทำไม....”กันหลายข้อแน่เลยใช่ไหมครับ ลองไปหาอ่านดูกันนะครับ รับรองว่าสนุกแน่นอน

เรื่องสั้นเร้นลับ ตอน นอนคุยกับความตาย


ผมนอนพักรักษาตัวที่นี่มา ๓ เดือนกว่าแล้ว น่าเจ็บใจจริงๆครับสำหรับความประมาทของผมที่อวดเก่งลงไปเล่นน้ำทะเลโดยที่ว่ายน้ำไม่เป็นแล้วเกิดจมน้ำ หมอเอกซเรย์แล้วบอกว่าให้ผมนอนพักรักษาตัวก่อน วันทั้งวันก็ผ่านไปอย่างช้าๆ ก็มันไม่มีอะไรให้ทำและจะทำอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น โทรศัพท์หาใครก็ไม่มีใครรับสาย บรรดาเพื่อนๆผมน่ะเหรอ มาแค่วันแรกมาร้องห่มร้องไห้แล้วหลังจากนั้น ๖-๗ วันก็หายไปหมด มันก็เป็นแบบนี้แหละครับ การที่เข้ามาทำงานต่างบ้านต่างเมืองแล้วขาดการติดต่อกับครอบครัวไปนาน จะว่าผมใจร้ายก็ไม่ได้นะครับก็ในเมื่อพ่อแม่ผมนั้นท่านไม่มีปัญญาจะส่งเสียผมเรียนต่อ ผมจึงออกจากบ้านมาตั้งแต่ชั้นมอหก ทำงานเก็บเงินเรียนเองจนจบปริญญาตรี ที่บ้านนั้นนานๆครั้งจึงจะกลับ ปีใหม่ สงกรานต์ หรือวันหยุดอะไรๆผมก็ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเองมาตลอด
การอยู่คนเดียวนั้นมันเหงาจริงๆครับ บางครั้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาว่าจะโทรไปหาพ่อแม่ที่บ้าน แต่ด้วยความจนครับ ที่บ้านผมอย่าว่าแต่โทรศัพท์มือถือเลยครับ ไฟฟ้ายังใช้เครื่องปั่นไฟอยู่เลย หลายคนไม่เชื่อหรอกว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑๐ แล้วเมืองไทยยังมีหมู่บ้านตกสำรวจแบบนี้อีกเหรอ ส่วนแฟนน่ะเหรอครับ อย่าให้พูดเลย เคยได้ยินไหมครับว่า คนลองดวงตกแล้ว ขนาดเดินดีๆแล้วก็ยังหกล้ม เธอเพิ่งเลิกกับผมไปได้ก่อนที่ผมจะจมน้ำสัก ๓ วันได้ครับ ที่ผมเล่าให้ฟังคุณคงยังไม่เบื่อนะครับ
เมื่อไหร่กันนะที่ผมจะได้ออกไปจากห้องนี้เสียที มองไปรอบๆเตียงก็มีแต่คนป่วยสารพัดรูปแบบ ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ คุณลุงคนหนึ่งที่เคยนอนเตียงข้างๆผมแกต้องนอนพักอยู่เกือบเดือนกว่าที่ลูกหลานจะมารับ คุณยายอายุ ๙๐ คนหนึ่งแกบอกว่าแกนอนพักรักษาตัวที่นี่มาเกือบ ๒ ปีแล้วหลานแกก็ไม่เคยมาเหลียวแลเลย สังคมไทยทำไมมันถึงได้ทุเรศแบบนี้ครับ เล่าถึงตอนนี้แล้วคิดถึงแม่ผมปีนี้คงจะอายุประมาณ ๖๐ ต้นๆได้แล้วมั้ง ไม่รู้เวลาท่านไปนอนโรงพยาบาลท่านจะเล่าเรื่องชีวิตตัวเองอย่างไรบ้างนะ
อาหารที่โรงพยาบาลทำเหรอครับ อย่าให้พูดเลย ก็จะเอาอะไรมากสำหรับห้องผู้ป่วยรวม ผมมันได้มีสิทธิ์เบิกค่าห้องพักได้เหมือนพวกข้าราชการนี่ ที่จะเปิดห้องพิเศษได้ สวัสดิการของรัฐบาลไทยก็แค่เศษเงินที่เขาโยนให้เท่านั้นเองแล้วก็สามารถอ้างเป็นบุญคุณไปได้อีกหลายครั้งเวลาออกหาเสียงเลือกตั้ง
ผมชักง่วงแล้วสิครับ ผมรู้นะว่าคุณก็เบื่อผมแล้ว คิดเสียว่านานๆครั้งผมจะได้ระบายความรู้สึกออกมาบ้างนะครับ อย่าให้ผมเป็นเหมือนในนิทานเรื่อง “พระราชากินรำ”เลยนะครับ ขอบคุณที่ฟังผมนะครับ ขอตัวนอนก่อนแล้วกัน ราตรีสวัสดิ์ครับ
( เรื่องนี้เป็นเรื่องของนายกฤษฎางค์ โคกสูงเนิน พนักงานโรงแรมxxxxxxx ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สึนามิแต่มาเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในอีก ๒ วันต่อมาด้วยอาการช้ำในเนื่องจากน้ำซัดไปปะทะกับต้นมะพร้าวและสมองมีอาการติดเชื้อ เล่าให้นายกรกฎ วิจิตรเสรีกุล ที่มานอนบนเตียงที่นายกฤษฎางค์เคยนอนพักรักษาตัวในคืนวันหนึ่งฟัง ซึ่งนายกรกฎนั้นไม่ทราบหรอกว่าขณะนั้นศพของนายกฤษฎางค์ยังถูกเก็บไว้ในห้องดับจิตของโรงพยาบาล และในเวลาที่คุณกำลังอ่านเรื่องสั้นนี้ศพของนายกฤษฎางค์ก็มีญาติมานำไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่จังหวัดมหาสารคามแล้ว )

มาตราตัวสะกดไทยไม่มีแม่เกอว



ในปัจจุบันนี้หากพูดถึงมาตราตัวสะกดแล้วก็จะมีแม่ ก.กา แม่กง แม่กน แม่กม แม่เกย แม่เกอว แม่กก แม่กด แม่กบ ใช่ไหมครับ แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่าตำราภาษาไทยสมัยโบราณนั้นจะไม่มีแม่เกอวครับ ลองอ่านข้อความตอนหนึ่งจากหนังสือ “นิติสารสาธก” ของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)ความว่า

“เปน กน กง กก กด กบ กม เรียง
ที่สุดเพียงแม่เกยเปรยพิปราย
...........................ฯลฯ........................
ต่อบรรจบแม่กมตัวมอหนอ
แม่เกยนั้นรวมทั้ง ย ว อ”

จากนั้นในตอนท้ายของบทกลอนพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)ได้ให้คำอธิบายเพิ่มเติมไว้อีก
ว่า
“ขอแจ้งความให้ท่านทั้งหลายทราบ เมื่อข้าฯคิดแบบมูลบทบรรพกิจนั้น ข้าฯคิดเห็นว่า เกย ยอ เกย วอ มีคำใช้ในสยามพากย์น้อยนัก จึ่งมิได้จัดลงไว้ในแบบสอน บัดนี้มีนักปราชญ์ทักท้วงว่ายังบกพร่องอยู่ เพราะฉะนั้นข้าฯจะขอเพิ่มแบบ เกย ยอ เกย วอ ลงไว้ในท้ายนิติสารสาธกเล่มหนึ่งนี้ เพื่อจะได้ครบแบบเกยเต็มที่ แลแบบเกย ยอ เกย วอ นั้นคือดังนี้.............................................” บอกให้ทราบอีกนิดหนึ่งว่าคำที่ใช้สระเอียและสระเอือโดยไม่มีตัวสะกดก็จัดอยู่ในแม่เกยเช่นกัน ผมก็ไม่ทราบหรอกว่าแม่เกอวนี้เริ่มมีการกำหนดเมื่อไรแต่ว่าก่อนรัชกาลที่ ๗ นั้นยังไม่มีแม่เกอวเกิดขึ้นแน่นอน แม้แต่ในหนังสือ “หลักภาษาไทย” ของพระยาอุปกิตศิลปสาร

เกนติ้ง : สวรรค์บนยอดเขา




เกนติ้งสูงสุดฟ้า ชะลอสวรรค์
เนรมิตแดนมหัศจรรย์ สุขล้น
นานาสรรพพร้อมครัน ครบสูตร สนุกแฮ
ประชาต่างดั้นด้น เหยียบยอดวิมานสถาน

กระเช้านำคนขึ้น ยอดเขา
หวาดเสียวหวั่นใจเรา ตระหนกยิ่ง
ระยะทางนานเกินเดา ลิบลิ่ว จริงเฮย
หวั่นสายขาดหลุดกลิ้ง ดิ่งเบื้องพสุธา

การเรียกชื่อช่วงเวลาของคนไทยถิ่นใต้สมัยโบราณ


เช้า , รุ่งเช้า ประมาณ ๐๖.๐๐ น.
แดดอุ่น , แดดผาด ประมาณ ๐๗.๐๐-๐๘.๐๐ น.
แก้ไถ ประมาณ ๑๑.๐๐น.
เที่ยง ประมาณ ๑๒.๐๐ น.
ใช้ (ช้าย) ประมาณ ๑๓.๐๐ น.
บ่ายควาย,ควายบ่ายหน้า ประมาณ ๑๕.๐๐ น.
ภายค่ำ,เท้าค่ำ ประมาณ ๑๗.๓๐-๑๘.๐๐ น.
ไก่ขึ้นร้าน ประมาณ ๑๘.๐๐ น.
เด็กนอนหลับ ประมาณ ๒๐.๐๐ น.
เชลียง (เฉลียง) ประมาณ ๒๓.๐๐ น.
เที่ยงคืน ประมาณ ๒๔.๐๐ น.
รุ่ง,เท้ารุ่ง ประมาณ ๐๖.๐๐ น.

นางอรพิม : เมื่อหญิงเป็นชาย

เรื่องนี้ปรากฏในวรรณคดีชาดกเรื่อง “ปาจิตกุมารชาดก”กล่าวถึงนางอรพิมพลัดพรากจากพระปาจิตกุมารแล้วต้องผจญเคราะห์ด้วยความงามของตนเองจากพรานป่าและสามเณรนอกรีต ด้วยความโศกเศร้านางอรพิมได้เข้าไปในวิหารร้างแห่งหนึ่งแล้วตั้งสัตยาธิษฐานด้วยพระคาถาว่า
“ภนฺเต ภควา โลกนาโถ สุนฺทโร โลกนายโก อุโภ ถนา ตุจฺฉา โหตุ เวสโปโส ภวิสฺสติ”
แปลว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์โลก พระองค์เป็นนายกผู้นำสัตว์โลกเป็นอันดี ขอให้นมทั้งสองในกายของข้าพเจ้านี้อันตรธานหาย แล้วเพศชายจงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้า” ด้วยคำอธิษฐานนั้นปรากฏว่า
“พระเต้าถันนมของฉันอันเต่งตั้ง
ดูเปล่งปลั่งตั้งตูมเป็นภูมิฐาน
ฉันขอฝากให้พฤกษาพยาบาล
จงเป็นภารพาธุระช่วยบำรุง
อธิษฐานมิได้นานในเดี๋ยวนั้น
เต้านมถันขึ้นไปติดต้นงิ้วสูง
เป็นปุ่มตาติดที่ต้นดูโตตุง
บุญบำรุงอุปถัมภ์เหมือนคำนาง
.............ฯลฯ...............................
โยนีนางขึ้นไปตั้งติดกิ่งสำโรง
ห้อยระโยงลูกระย้าเหมือนโยนี
โยนีหายที่ในกายนางนิ่มนาฏ
องคชาติก็บังเกิดแทนอิตถี”
ต่อมานางอรพิมในเพศชายนั้นได้ออกบวชจนได้เป็นถึงสังฆราช ท้ายที่สุดนางกับพระปาจิตกุมารได้มาพบกันอีกครั้งหนึ่งนางจึงได้อธิษฐานกลับคืนเพศเดิมของตนและเป็นตำนานเกี่ยวกับรูปร่างของต้นงิ้วและต้นสำโรงว่า
“ต้นสำโรงที่นางฝากโยนีใน
จึงออกน้อยมาก็คล้ายเหมือนโยนี
ต้นงิ้วนั้นที่เอาถันนางไปฝาก
ครั้นถันนางมาเสียจากอิตถี
ด้วยนิสัยไว้เป็นเดิมยังอยู่ดี
จึงปุ่มงิ้วนั้นมามีเหมือนนมคน”
ใครว่าวรรณคดีไทยน่าเบื่อ ยังมีที่แปลกๆกว่านี้อีกนะครับคราวหน้าจะเอามาเล่าใหม่ อ้อ...แถมท้ายให้อีกนิดหนึ่ง เรื่องปาจิตกุมารชาดกนี้เป็นตำนานท้องถิ่นที่ดังมากทางภาคอีสาน และลูกสำโรงที่คนโบราณว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับโยนีนั้นมีชื่อเรียกว่า “ลูกหีผี”หรือ “โยนีปิศาจ”ครับ ยังมีชื่อภาษาเขมรอีกลองไปค้นคว้ากันต่อดูนะครับ

ผู้ชายสามารถเข้าไปในเขตฝ่ายในได้หรือไม่


ด้วยเหตุที่พระราชสำนักฝ่ายในเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์และนางใน จึงไม่อนุญาตให้ผู้ชายอื่นอยู่หรือผ่านเข้าออก แต่หากมีเหตุหรือธุระจำเป็นโดยหน้าที่ราชการ ก็จะต้องมีระเบียบปฏิบัติถือเป็นธรรมเนียมว่า ผู้ชายจะอยู่หรือเดินลำพังคนเดียวในเขตพระราชฐานชั้นในไม่ได้ ต้องมีผู้ควบคุมเพื่อรู้เห็นเป็นพยานความเคลื่อนไหวตลอดเวลา ผู้ที่ทำหน้าที่ควบคุมผู้ชายก็คือตำรวจวังสังกัดกรมโขลน เมื่อเสร็จกิจธุระแล้วตำรวจวังจะควบคุมออกไปส่งทางประตูเดิม จะยกย้ายเข้าทางหนึ่งออกทางหนึ่งไม่ได้
หากผู้ชายมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในตลอดคืน ซึ่งโดยมากจะเป็นแพทย์เข้าไปรักษาพระอาการประชวร จะต้องได้รับอนุมัติให้นอนค้างได้ แต่มีระเบียบว่า ชายนั้นจะต้องนอนโดยไม่กางมุ้งและต้องนอนพักในที่ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถมองเห็นตัวได้ตลอดเวลา

สุนทรภู่ขี้เมาจริงหรือ


จากบทความของอ.ล้อม เพ็งแก้วในคอลัมน์ “ค้นคำเค้นความ”ได้ให้ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับสุนทรภู่ในเรื่องของความขี้เมาไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งเรานั้นทราบกันโดยทั่วไปว่า สุนทรภู่นั้นขี้เมา เจ้าชู้ เรื่องของความเจ้าชู้นั้นมีหลักฐานปรากฏแน่ชัด แต่ในเรื่องความขี้เหล้านั้น อ.ล้อมกล่าวว่าน่าจะพิจารณาจากผลงานเป็นประเด็นแรกกล่าวคือ
๑.พระอภัยมณี ความยาว ๒๓,๕๘๘ คำกลอน
๒.สิงหไกรภพ ความยาว ๖,๕๔๐ คำกลอน
๓.ลักษณวงศ์ ความยาว ๔,๕๔๖ คำกลอน
๔.โคบุตร ความยาว ๒,๖๐๖ คำกลอน
๕.นิราศ ๘ เรื่อง ความยาว ๓,๑๗๔ คำกลอน
๖.เสภา ๒ เรื่อง ความยาว ๑,๗๙๘ คำกลอน
๗.โคลง ๑ เรื่อง ๔๖๓ บท
๘.กาพย์ ๑ เรื่อง ๑๑๙ บท
๙.บทเห่กล่อม ๔ เรื่อง ๗๗๘ บท
๑๐.งานประเภทอื่นๆที่สูญหายไปแล้วหรือยังไม่พบต้นฉบับ
รวมเป็นจำนวนบทประพันธ์ไม่น้อยกว่า ๖๐,๐๐๐ คำกลอน เมื่อคำนวณดูผลงานทั้งหมดของสุนทรภู่เริ่มสร้างผลงานตั้งแต่อายุ ๒๐จนถึงอายุ ๗๐ปีจึงถึงแก่กรรม เท่ากับเวลารวมในการเขียนบทประพันธ์คือ ๑๖ ปี ลองคิดเล่นๆว่า ๑๖ ปี สุนทรภู่มีผลงาน ๖๐,๐๐๐ คำกลอน เฉลี่ยปีละ ๓,๖๐๐ คำกลอน เดือนละ ๓๐๐ คำกลอน วันละ ๑๐ คำกลอน ก็เป็นอันว่าตลอดชีวิตสุนทรภู่ต้องเขียนกลอนวันละ ๑๐ คำกลอนทุกวัน (เว้นไม่ได้ด้วย) ก็น่าคิดนะครับว่า ขี้เมาคนไหนบ้างที่จะทำได้อย่างสุนทรภู่